พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1804.2 สนับสนุนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่สุดกำลัง (2)
เพื่อที่จะรับประกันผลประโยชน์ของตัวเอง ระหว่างพวกเขาก็จะเฝ้าอาณาเขตของตัวเองให้ดี ไม่ให้อำนาจอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยว ไม่อย่างนั้นจะทำให้เกิดความขัดแย้ง พอเป็นแบบนี้ อำนาจในมือคุณชายแต่ละท่านก็จะเป็นเอกภาพชัดเจนมาก
ถ้าอยากจะก่อกบฏเพียงลำพังก็ทำไม่สำเร็จ คุณชายบางคนต้องใช้ข่าวสารข้อมูลมาคอยสนับสนุน คุณชายบางคนต้องใช้กำลังทรัพย์มาสนับสนุน แต่ทุกคนก็ไม่อยากถูกอำนาจฝ่ายอื่นบงการ ดังนั้นสำหรับคุณชายแต่ละท่าน ทั้งรับประกันการสนับสนุนระหว่างกันและกัน ทั้งรับประกันว่าสามารถตั้งตนเป็นอิสระจากกัน นี่ต่างหากที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของพวกเขาที่สุด ไม่มีใครหวังให้ตระกูลเซี่ยโห้วเกิดความวุ่นวาย เมื่อเกิดความวุ่นวานแล้วก็ไม่มีประโยชน์ต่อใครทั้งนั้น ถ้าใครกล้าก่อเรื่อง ก็จะทำให้เกิดการโจมตีหมู่แน่นอน ไม่มีใครอยากทิ้งผลประโยชน์มหาศาลในมือตัวเองไปขอเพิ่งพาตำหนักสวรรค์เพื่อเป็นขุนนางไร้ศักดิ์ศรีเดาอนาคตยากหรอก มิหนำซ้ำเมื่อทรยศตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ก็ใช่ว่าตำหนักสวรรค์จะปกป้องเขาได้เสมอไป”
เซี่ยโห้วลิ่งมีสีหน้าสับสน ทำท่าอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่บางอย่างไม่อาจพูดต่อหน้าได้เหมือนที่พูดกับฟู่ถงลูกน้องคนสนิทที่ตัวเองฆ่าทิ้งไป อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่ถึงขั้นพูดทุกอย่างกับเว่ยซูได้ เขาจึงเปลี่ยนเป็นถอนหายใจ “ท่านพ่อทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แต่ข้ากังวลว่ายามเผชิญปัญหา ทุกคนจะรวมใจเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ได้!”
เว่ยซูจึงบอกว่า “อย่างน้อยสำหรับนายท่านใหญ่ ต่อให้ตระกูลเซี่ยโห้วเผชิญปัญหาใหญ่ แต่โครงสร้างแบบนี้ก็ทำให้ไม่มีอำนาจใดๆ มาถอนรากถอนโคนตระกูลเซี่ยโห้วได้ แม้แต่คนตระกูลเซี่ยโห้วเองก็ยังไม่รู้ชัดเลยว่าภายในมีหนวดสัมผัสอยู่มากเท่าไร ต่อให้เผชิญกับคลื่นลมที่ใหญ่กว่านี้ แต่ก็ยังเหลือรากฐานที่รอวันเติบโตใหม่ได้เสมอ ไม่ถึงขั้นทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วดับสูญไปโดยสิ้นเชิง…บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนายท่านใหญ่ แม้แต่นายท่านใหญ่เอง ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่เคยหวังให้ตระกูลเซี่ยโห้วเผชิญความราบรื่นตลอดไป”
เซี่ยโห้วลิ่งหลับตาลงช้าๆ แล้วกล่าวเสียงเอ่ย “แต่นี่กลับเป็นปัญหาต่อการควบคุมตระกูลเซี่ยโห้วอย่างเบ็ดเสร็จของข้า”
“บางทีสิ่งที่นายท่านใหญ่กังวลที่สุดก็คือการที่นายท่านควบคุมตระกูลเซี่ยโห้วอย่างเบ็ดเสร็จ” เว่ยซูกล่าว
เซี่ยโห้วท่าพลันลืมตามองมา “หมายความว่ายังไง?”
เว่ยซูตอบว่า “นายท่านยังจำสิ่งที่บ่าวเคยเตือนได้หรือไม่? ที่จริงแล้วนั่นคือสิ่งที่นายท่านใหญ่ฝากข้าน้อยมาบอกต่อขอรับ”
เซี่ยโห้วท่าตาเป็นประกาย “เตือนว่าอะไร?”
เว่ยซูตอบว่า “นายท่านใหญ่หวังว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะรักษาสภาพหลบซ่อนอย่างนี้ตลอดไป นายท่านใหญ่กังวลว่าหลังจากผู้สืบทอดรู้ก้นบึ้งและกำลังของตระกูลเซี่ยโห้วแล้วจะไม่ยอมอยู่ใต้คนอื่น จะแสดงกำลังทั้งหมดของตระกูลเซี่ยโห้วเพื่อไต่ขึ้นที่สูง นายท่านใหญ่เคยทำนายไว้ ถ้ามีวันนั้นจริงๆ วันที่ตระกูลเซี่ยโห้วจะย่อยยับก็อยู่อีกไม่ไกลแล้ว ถ้าวางทุกอย่างไว้ในที่แจ้ง หอกทวนที่แจ้งหลบง่าย ธนูที่ลับยากหลีก ต่อให้เป็นกำลังที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่กว่านี้ แต่ก็ต้านทานการวางแผนต่อสู้ทั้งในที่ลับและที่แจ้งของคนในใต้หล้าไม่ไหว พระปีศาจหนานโปก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว!”
เซี่ยโห้วท่าเงียบไปนานมาก แล้วถามเสียงเบาว่า “ก็อย่างที่บอก ถ้าในบรรดาพี่น้องของข้ามีคนก่อกบฏล่ะ?”
เว่ยซูอธิบายว่า “นายท่านสร้างระบบควบคุมที่ดีมากเอาไว้แล้ว ถ้ามีคนก่อกบฏจริงๆ ก็ยังยืนยันคำเดิม ต่อให้ทำเพื่อผลประโยชน์ของทุกคนเอง เมื่อนายท่านออกคำสั่งลงไป แต่ละฝ่ายก็จะต้องยุติความวุ่นวายภายในตามคำสั่งหัวหน้าตระกูลแน่นอน ตอนที่นายท่านใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ ที่จริงก็ไม่ได้เปลืองแรงปกครองลูกน้องมากนัก เขากุมไว้เพียงสิ่งเดียว นั่นก็คือรักษาระบบควบคุมที่สร้างไว้ เพียงจับตาดูว่าขอบเขตอำนาจของคุณชายแต่ละท่านออกนอกลู่นอกทางหรือไม่ ถ้าพบก็จะปราบปรามทันที วิธีการแบบนี้จะทำให้ได้รับแรงสนับสนุนเต็มที่จากคุณชายที่ถูกรุกล้ำขอบเขตอำนาจ ตราบใดที่ให้คุณชายแต่ละท่านแบ่งแยกขอบเขตอำนาจกันต่อไป ตราบใดที่กุมจุดนี้เอาไว้ ตระกูลเซี่ยโห้วก็จะไม่เกิดความวุ่นวายภายในง่ายๆ”
เซี่ยโห้วท่าหันหน้าช้าๆ กลับไปมองห้องที่เซี่ยโห้วท่าเคยนอน แล้วกล่าวเหมือนพึมพำถามตัวเองว่า “ท่านพ่อเพิ่งจากโลกนี้ไป เกรงว่าข้าจะหลีกเลี่ยงลมพายุไม่พ้น…”
“กำลังติดต่อใคร?”
จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล พอเหมียวอี้กลับมาก็ถือระฆังดาราติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง อวิ๋นจือชิวที่เดินตามเข้ามาในห้องไม่ได้รบกวน จนกระทั่งเขาติดต่อเสร็จแล้ว นางถึงได้เอ่ยถาม
“หยางชิ่ง” เหมียวอี้ตอบ
อวิ๋นจือชิวเข้าใจเขาดีเกินไป อดไม่ได้ที่จะมองประเมินเขาศีรษะจดเท้า “เจอเรื่องอะไรมาเหรอ?”
“ก่อนหน้านี้ตอนอยู่จวนท่านปู่สวรรค์ข้าก็ส่งข่าวมาถามเจ้าแล้ว”
“โอรสสวรรค์ชิงหยวนจุน?”
“อืม”
“ข้าเคยเจอเขาหลายรอบแล้ว เขาเป็นอย่างนั้นแหละ เวลาเจอคนที่ไม่ชอบก็จะแสดงออกทางสีหน้า ต่อให้ควบคุมอารมณ์แล้วแต่ก็จะไม่แยแสไม่พูดด้วย เมื่อเจอคนที่รู้สึกดีด้วยถึงจะพูดมากหน่อย นี่แสดงว่าความประทับใจแรกที่เขามีต่อเจ้าก็ไม่เลวเลย เจ้าควรจะวางใจสิถึงจะถูก”
“เติบโตขึ้นมาจากวังหลังที่ใช้เล่ห์เพทุบายสู้กัน เขาจะธรรมดาขนาดนั้นเชียวเหรอ?”
“หึหึ! แม้ตามหลักจะเป็นอย่างนั้น แต่ก็ต้องดูเป็นคนๆ ไป อย่างไรเสียคนในวังสวรรค์ที่กล้าชักสีหน้าใส่เขาก็มีไม่เยอะ เขาเคยผ่านอุปสรรคอะไรเสียที่ไหนกัน แม้จะแสร้งทำท่าเหมือนเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว แต่ที่จริงแล้วยังอ่อนหัดมาก”
เหมียวอี้ฟังแล้วก็พยักหน้าเบาๆ แล้วกล่าวพร้อมยิ้มเย้ย “ถ้าพูดแบบนี้ก็แสดงว่าข้าคิดมากเกินไป ชิงหยวนจุนเจอข้าครั้งแรกก็ถามข้าอย่างนั้นเป็นชุด ตลอดทางที่กลับมาข้าเลยรู้สึกไม่มั่นใจตลอด ถึงได้ถามความเห็นหยางชิ่งสักหน่อย”
“หยางชิ่งมีความเห็นยังไงบ้าง?” อวิ๋นจือชิวแปลกใจ
เหมียวอี้กล่าวพลางครุ่นคิด “โดดเดี่ยวเดียวดาย แต่กลับไม่สามารถตัดขาดจากโลกภายนอก ตราบใดที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ต้องการ และพวกเราสามารถทำได้ ก็ให้สนับสนุนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่อย่างเต็มกำลัง ชิงหยวนจุนคือสิ่งล้ำค่าของนาง มีแต่ต้องผูกมิตร ตั้งตัวเป็นศัตรูไม่ได้! นี่ก็คือทิศทางใหญ่ในตอนนี้”
อวิ๋นจือชิวกะพริบตา “เซี่ยโห้วท่าตายไปแล้ว ดีไม่ดีอาจจะมีคนต้องการหยั่งเชิงเซี่ยโห้วลิ่ง สนับสนุนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ หยางชิ่งก็ไม่กลัวว่าไฟจะมาถึงตัวเหรอ?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ข้าก็กังวลเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ที่หยางชิ่งพูดก็มีเหตุผล ข้าเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว มีประมุขชิงข่มอยู่ ขุนนางในราชสำนักไม่มีใครกล้าสนับสนุนข้าอย่างโจ่งแจ้ง อาศัยกำลังของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลยังไม่พอให้ต้านทานอันตรายที่มาจากราชสำนัก นอกเสียจากข้าจะอยากทิ้งรากฐานที่วางไว้ตอนนี้ ไม่อย่างนั้นก็หัวเดียวกระเทียมลีบ ตอนนี้ต้องวางแผนรับมือปัจจุบันก่อน แม้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะไม่ใช่ที่พึ่งพิงที่ดีที่สุดของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล แต่กลับเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ ความเห็นของหยางชิ่งก็คือ ตราบใดที่ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ล้ม เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็จะไม่ลงจากตำแหน่งง่ายๆ อย่างไรเสียชิงหยวนจุนก็เป็นลูกชายของประมุขชิง ไม่ว่าในภายหลังจะเป็นยังไง แต่ชิงหยวนจุนในตอนนี้ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะทำให้ประมุขชิงทอดทิ้งได้ นอกเสียจากชิงหยวนจุนจะโง่จนเกินเยียวยา ดังนั้นตราบใดที่ได้รับการสนับสนุนจากทั้งบิดาและมารดา เมื่อมองจากอีกมุม ก็อาจจะได้รับการสนับสนุนจากประมุขชิงและตระกูลเซี่ยโห้วมนระดับหนึ่ง”
“ตระกูลเซี่ยโห้วยังง่ายหน่อย เดิมทีก็อยู่ในแผนการของพวกเราอยู่แล้ว แต่เจ้าเคยทรยศประมุขชิง เกรงว่าจะเปลี่ยนทัศนคติของประมุขชิงที่มีต่อเจ้าไม่ได้ง่ายๆ” อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างลังเล
“สมองของหยางชิ่งยังใช้งานได้ดี” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ แล้วบอกว่า “ไป ให้เฟยหงมาพบข้า”
อุทยานหลวง สร้างวังหลังใหม่ไว้เมื่อเก้าพันปีก่อน ชื่อว่า ‘วังเหนือสวรรค์’ เป็นวังที่ตั้งใจสร้างให้โอรสสวรรค์ชิงหยวนจุน
หลังจากโอรสสวรรค์เติบโตแล้ว ประมุขชิงก็ออกคำสั่งให้สร้างวังหลังนี้ เพราะวังหลังมีสนมอยู่เยอะเกินไป ชิงหยวนจุนย้ายออกมาอยู่ข้างนอกก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
ในวัง ชิงหยวนจุนกำลังฝึกตนอยู่ในตำหนักเล็ก จู่ๆ นอกประตูก็มีเสียงคนรายงาน “องค์ชาย ฝ่าบาทเรียกพบขอรับ”
ชิงหยวนจุนได้ยินแล้วรีบหยุดฝึกวิชา ก่อนจะเดินออกมาข้างนอก
เย่เสี้ยว ผู้การวังเหนือสวรรค์กำลังรออยู่ด้านนอก เป็นชายวัยกลางคนที่ใบหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอด เป็นพ่อบ้านที่ประมุขชิงเลือกให้ชิงหยวนจุน
ชิงหยวนจุนที่เดินออกประตูมาถามว่า “เสด็จพ่อออกจากการฝึกตนแล้วเหรอ?” ตั้งแต่กลับมาจากตระกูลเซี่ยโห้ว ประมุขชิงก็เก็บตัวฝึกตน สองพ่อลูกไม่ได้เจอหน้ากันเลย
เย่เสี้ยวโค้งเล็กน้อย “น่าจะใช่ขอรับ”
ชิงหยวนจุนกลอกตามองเขา ก่อนจะรีบแฉลบขึ้นฟ้าไป โดยมีองครักษ์กลุ่มหนึ่งเหาะตามไปทันที
…………………………