พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1809 ยอมรับผิด
“ถ้าเสด็จแม่รู้เรื่อง จะ…” ชิงหยวนจุนสับสนแล้ว เรื่องแบบนี้จะให้เขาอธิบายกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่อย่างไร?
“โถ่องค์ชายของข้าน้อย ตอนนี้ไม่ใช่เวลามากลัวเสียหน้า ยิ่งไปกว่านั้นท่านก็ไม่ได้ตั้งใจเลย เหตุใดต้องกินปูนร้อนท้อง?”
เมื่อถูกเย่เสี้ยวโน้มน้าว ชิงหยวนจุนก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามแล้ว
จากนั้นทั้งสองก็รีบแบ่งกันดำเนินการ ชิงหยวนจุนติดต่อเสด็จแม่ เย่เสี้ยวรีบไปสืบข่าวจากองครักษ์พวกนั้น
ที่นาหลวง ในสายตาประมุขชิงไม่มีใครอื่น ได้แต่ใช้จอบก้มตัวถากดินอยู่ระหว่างต้นกล้าเขียว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่อยู่ไม่ไกลคอยทำงานตามสามีด้วยความกลมเกลียว
เสียงระฆังดาราจากลูกชายทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หยุดทำงานชั่วคราว หลังจากหยิบระฆังดารามาติดต่อแล้วก็สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เรียกเอ๋อเหมยเข้ามา แล้วส่งต่องานในมือให้นางชั่วคราว ส่วนตัวเองก็แสร้งทำเนียนกลับมาที่ชายป่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นก็เหาะขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว
ประมุขชิงปรนนิบัติต้นกล้าในนาอย่างไม่วอกแวก ซ่างกวนชิงปรากฏตัวที่ชายป่าตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ จ้องเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่เหาะออกไป แล้วเขย่าระฆังดาราอันหนึ่งในแขนเสื้อ ไม่นานก็มีทหารสวรรค์ของคนตามเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไปอย่างเงียบๆ
จากนั้นซ่างกวนชิงก็เดินเข้ามาในนา เดินตามข้างกายประมุขชิง แล้วถ่ายทอดเสียงพึมพำไม่กี่ประโยค “ทางกองทัพองครักษ์ส่งข่าวมาแล้วขอรับ…”
ประมุขชิงหยุดเคลื่อนไหวครู่หนึ่ง แล้วเอียงหน้าถ่ายทอดเสียงถาม “สืบได้หรือยังว่าเป็นใคร?”
“น่าจะเป็นสนมฉินขอรับ” ซ่างกวนชิงตอบ
ประมุขชิงขยับคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะแสยะยิ้มอย่าไม่แยแส แล้วไม่ได้พูดอะไรอีก ทำงานในมือของตัวเองต่อไปอย่างเป็นขั้นตอน
เมื่อเห็นเขาไม่ได้ชี้แนะใดๆ ซ่างกวนชิงก็ถอยกลับไปที่ชายป่า สายตามองสำรวจความเคลื่อนไหวรอบๆ
พอมาถึงวังสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ให้นางในที่ติดตามรออยู่ข้างนอก ตัวเองเดินสาวเท้าเข้าไปคนเดียว
ชิงหยวนจุนกำลังร้อนรนเหมือนมดในกระทะ เมื่อเห็นมารดามาถึง ก็ราวกับเห็นดาวช่วยชีวิต รีบก้าวเข้ามาต้อนรับ”เสด็จแม่!”
เพี้ยะ! เซี่ยโห้วเฉิงอวี่โบกมือตบหน้าเสียงดังฟังชัด ตบจนชิงหยวนจุนโซเซ พร้อมชี้หน้าตะคอกด่า “เจ้าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง อยู่ในวังนี้เจ้าไม่รู้แม้กระทั่งว่าควรจะหลบเลี่ยงของต้องห้ามยังไงเหรอ? ต่อให้ในวังนี้จะมีสาวงามเยอะขนาดไหน ต่อให้เปื่อยอยู่ในหม้อแต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ชายอื่นจะหมายปองได้ ไม่อย่างนั้นจะต้องหัวหลุด เข้าใจมั้ย?”
ชิงหยวนจุนยิ่งหวาดกลัว คุกเข่าลงบนพื้น กล่าวเสียงตระหนกว่า “เสด็จแม่ ลูกไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ลูกนึกไม่ถึงว่าจะไปบังเอิญเจอ ไม่ได้ตั้งใจสบประมาทใดๆ เสด็จแม่ช่วยข้าด้วย!”
“เรื่องเป็นยังไงกันแน่ เล่ามาให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
จนป่านนี้แล้วมีหรือที่ชิงหยวนจุนจะกล้าปิดบัง เล่ารายละเอียดในตอนนั้นให้ฟังทุกอย่าง
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ฟังจบแล้วถามอย่างละเอียด “เป็นใครที่กำลังอาบน้ำ?”
ชิงหยวนจุนส่ายหน้า “ลูกจำได้ไม่ชัดเจนว่าเป็นใคร แต่เคยเห็นมาคำนับเสด็จแม่ที่ตำหนักนารีสวรรค์”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยกเท้าถีบบ่าเขาจนล้มลงพื้น แล้วเดินไปเดินมาด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด ในเวลานี้คนที่นางนึกถึงไม่ใช่ตระกูลเซี่ยโห้ว แต่นางติดต่อเหมียวอี้ทันที แล้วเล่าสถานการณ์ให้ฟัง
เหมียวอี้ได้ข่าวแล้วถามรายละเอียดสองประโยค สุดท้ายก็ตอบว่า : สิ่งที่ควรจะมาก็มาถึงแล้ว เหนียงเหนียงโปรดใจเย็น ข้าน้อยเคยบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าองค์ชายจะต้องได้รับความลำบากนิดหน่อย ก็อย่างที่บอก อยู่ในสถานการณ์หวาดเสียวแต่ไร้อันตราย!
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อึ้งชั่วขณะ นึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่เหมียวอี้บอกไว้ตอนแรก จึงถามซักไซ้ทันที : เจ้ากำลังบอกว่า อุบัติเหตุครั้งนี้คือกับดักที่วางไว้ดักจุนเอ๋อร์เหรอ?
เหมียวอี้ : สนมสวรรค์ทั้งคนอาบน้ำอยู่ข้างนอก มีหรือที่จะไม่มีใครดูต้นทางให้? องค์ชายมุ่งหน้าไปที่หุบเขา ทำไมไม่สังเกตเห็นตั้งแต่แรกล่ะ ดันรอให้องค์ชายไปเจอก่อนค่อยสังเกตเห็น?
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ขบคิดนิดหน่อย ตอนนี้เข้าใจแล้ว พรึ่บ! ไฟโกรธลุกพรึ่บในใจ ในอกในสมองมีแต่ไฟโกรธ ชั่วร้ายเกินไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้วิธีการต่ำช้าอย่างนี้กับลูกชายนาง อย่าไปมองว่าวิธีการต่ำช้าอย่างนี้จะประกาศให้ใครรู้ไม่ได้ เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นกลับวางกับดักให้คนตายได้ นี่ไม่ใช่แค่จะเสี้ยมพ่อลูกให้แตกคอกัน ทั้งยังจะทำลายชื่อเสียงของลูกชาย ทำให้ลูกชายเงยหน้าไม่ขึ้นไปทั้งชีวิตด้วย!
ถ้าต้องแบกรับชื่อเสียงเสื่อมเสียอย่างนี้จริงๆ ต่อให้จะไม่เป็นอะไร แต่อนาคตก็พังทลายโดยสิ้นเชิงแล้ว ลูกชายคนนี้คือความหวังเดียวของนาง ไม่น่าเชื่อว่าจะต้องการทำให้ลูกชายนางกลับตัวไม่ได้ตลอดไป!
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ในดวงตาเต็มไปด้วยความดุร้าย ปากก็สาปแช่งไม่หยุด “นางตัวดี! ข้าจะทำให้เจ้าไม่ตายดี!”
ชิงหยวนจุนที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่ามารดากำลังด่าใคร ตอนเห็นนางหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อภายนอก ก็ยังนึกว่ากำลังติดต่อหาตระกูลเซี่ยโห้ว
ที่จริงชิงหยวนจุนรู้แค่ความสัมพันธ์ฉากหน้าระหว่างเหมียวอี้กับตำหนักนารีสวรรค์เท่านั้น ความสัมพันธ์ประเภทที่แอบติดต่อกันส่วนตัว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่ได้บอกให้เขารู้ นี่ก็คือผลจากการที่เหมียวอี้ย้ำกับนาง
เหมียวอี้ถามต่อว่า : เหนียงเหนียง สนมที่อาบน้ำคนนั้นคือใคร?
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : ในวังมีสนมเยอะเกินไป จุนเอ๋อร์แค่เคยเห็นเท่านั้น ไม่รู้จักฐานะของนาง เป็นเพราะเจ้าเด็กนี่โง่เง่า เจอเรื่องแบบนี้แต่ไม่รู้จักปิดปาก!
เหมียวอี้ : ปิดปากไปก็ไม่มีประโยชน์ อีกฝ่ายวางกับดักรอไว้แล้ว ถ้าองค์ชายกล้าปิดปาก อีกฝ่ายย่อมมีทางทำให้เรื่องราวใหญ่โตอยู่แล้ว เมื่อเปิดตาข่ายที่ใช้วางกับดักองค์ชายแล้ว อีกฝ่ายไม่มีทางปล่อยให้องค์ชายหลุดไปง่ายๆ เพียงแต่อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ในที่สุดเรื่องนี้ก็ปะทุออกมาแล้ว ดีกว่าคอยพะวงอยู่ตลอด
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : เจ้าแน่ใจนะว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้วแต่จุนเอ๋อร์จะยังไม่เป็นอันตรายได้อีก?
เรื่องนี้ไปเทียบกับเรื่องอื่นไม่ได้ ลูกชายไปแอบดูผู้หญิงของพ่ออาบน้ำ ถ้าให้ประมุขชิงรู้เข้า นางก็ไม่มีทางจินตนาการผลที่ตามมาได้เลย ยิ่งตำแหน่งสูงเท่าไร ความกระหายของเพศผู้ที่ต้องการครอบครองเพศเมียก็ยิ่งสูง ต่อให้วางไว้โดยไม่ใช่งาน แต่ก็ไม่ให้คนอื่นมาชุบมือเปิบ กอปรกับอีกฝ่ายจงใจวางกับดักแล้ว เกรงว่าคงจะไม่เห็นพ้องว่าชิงหยวนจุนบังเอิญไปเห็น ถ้าอีกฝ่ายยืนกรานว่า ‘แอบดู’ แค่คิดนางก็ขนลุกแล้ว
เหมียวอี้ : เหตุใดเหนียงเหนียงจึงประเมินฝ่าบาทต่ำขนาดนั้น? วังสวรรค์เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ปิดบังความจริงจากสายตาฝ่าบาทไม่ได้อยู่แล้ว ให้องค์ชายไปยอมรับผิดเถอะขอรับ
หลังจากทั้งสองปรึกษากันสักพัก เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ติดต่อไปหาตระกูลเซี่ยโห้วอีก เรื่องใหญ่ขนาดเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่แจ้งให้ตระกูลเซี่ยโห้วรู้
เซี่ยโห้วลิ่งก็บอกให้นางใจเย็นๆ เช่นกัน บอกว่าตราบใดที่มีตระกูลเซี่ยโห้วอยู่ก็ไม่ต้องกลัวฟ้าพลิก ให้ใช้ความนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว ดูให้ชัดเจนก่อนว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่ อย่างน้อยก็ต้องรู้ชัดให้ได้ก่อนว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ดูว่าฝ่าบาทเป็นผู้กำกับการแสดงนี้หรือไม่ หรือว่ามีคนกำลังขัดคอ จากนั้นค่อยตัดสินใจอีกที
เขาเองก็พูดไว้ไม่ผิดเช่นกัน แต่กลับทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รังเกียจและดูถูกแล้ว ทางหนิวโหย่วเต๋อคาดเดาได้นานแล้วว่าประมุขชิงต้องการจะลับคมลูกชาย เดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเกิดเรื่องกับลูกชาย แต่เซี่ยโห้วลิ่งกลับยังให้ทำความเข้าใจสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อน ทำอะไรของเจ้าน่ะ นางพบว่าเซี่ยโห้วลิ่งกับท่านปู่แตกต่างกันไม่ใช่น้อยๆ
ไม่พูดอะไรมากกว่านี้แล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ่งเชื่อมั่นฝั่งเหมียวอี้มากกว่าเดิม นางติดต่อเหมียวอี้อีกครั้ง บอกเจตนาของตระกูลเซี่ยโห้วให้รู้ ถามเหมียวอี้ว่าความเห็นของตระกูลเซี่ยโห้วเป็นอย่างไรบ้าง? เหมียวอี้ก็ยังบอกเหมือนเดิม ว่าให้ชิงหยวนจุนไปยอมรับผิด!
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่มีความมั่นใจ นางไม่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเหมือนเหมียวอี้ หลังจากถามรายละเอียดชัดเจนแล้วก็ตัดสินใจแน่วแน่ แข็งใจจูงลูกชายเดินออกไป คอยสั่งตลอดทางว่าควรจะทำอย่างไร
“เป็นอะไรไปอีก? เขาทำให้เจ้าโกรธอีกแล้วเหรอ?”
ตำหนักใหญ่ของพระตำหนักอุทยาน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่บอกให้ซ่างกวนชิงไปเชิญประมุขชิงที่อยู่ในชุดชาวนามาหา พอซ่างกวนชิงเดินตามประมุขชิงเข้ามาในตำหนัก ก็เห็นชิงหยวนจุนที่สวมชุดชาวนาเช่นเดียวกันนั่งคุกเข่าอยู่กลางตำหนัก เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำลังถือกิ่งไม้ด้ามหนึ่งฟาดจนชิงหยวนจุนเกิดแผลหลายรอย
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ ประมุขชิงที่เดินเข้ามาก็ย่อมอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม ขณะเดียวกันก็คว้าข้อมือเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เอาไว้ ห้ามไม่ให้นางตีเขาอีก มองประเมินลูกชายที่ถูกตีจนเสื้อผ้าขาดเห็นรอยเลือดและกำลังก้มหน้าไม่พูดอะไร เป็นอาการบาดเจ็บภายนอกเท่านั้น ไม่บาดเจ็บถึงกระดูก
ตีลูกชายในฐานะมารดา แม้แต่ประมุขชิงก็ยังไม่สะดวกจะพูดอะไร เป็นหลักการธรรมชาติที่มิอาจเปลี่ยนแปลง
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หันตัวไปคุกเข่า แล้วกล่าวพร้อมน้ำตาพราก “ล้วนเป็นหม่อมฉันที่สั่งสอนลูกไม่ดี ขอยอมรับโทษกับฝ่าบาทเพคะ!”
ประมุขชิงที่ถือไม้อยู่ในมือถามเสียงเรียบว่า “พวกเจ้าสองแม่ลูกไปก่อเรื่องอะไรมา?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ส่ายหน้าน้ำตานอง “หม่อมฉันเอ่ยปากไม่ได้จริงๆ เพคะ”
ประมุขชิงหักไม้ในมือทิ้ง “งั้นเจ้าเรียกข้ามาทำอะไร? ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็ถอยไปเถอะ” พูดจบก็หันตัวเดินออกไป
“ฝ่าบาท!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่คลายเข่าไปข้างหน้า กอดต้นขาประมุขชิงเอาไว้ “หม่อมฉันไม่กล้าปิดบัง หม่อมฉันเลี้ยงลูกไม่ดี วันนี้หยวนจุนเรียนรู้การทำนาจากฝ่าบาท พอทำงานเสร็จแล้วก็เหนื่อยจนเหงื่อท่วมตัว เลยไปอาบน้ำที่สระมรกตตามความเคยชินที่ทำมาหลายปี…”
นางเล่ารายละเอียดทุกอย่าง ชิงหยวนจุนกลับเหงื่อแตกด้วยความกลัว ก้มหน้ามองหน้าอก ตกใจจนตัวสั่นแล้ว
หลังจากเล่าจบ ในตำหนักใหญ่ก็เงียบจนน่ากลัว สายตาประมุขชิงเปลี่ยนแปลงยากคาดเดา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เงยหน้ามองสีหน้าเขาอย่างอกสั่นขวัญแขวน ชิงหยวนจุนคุกเข่าตัวสั่นอยู่อย่างนั้น ซ่างกวนชิงกม้หน้าเล็กน้อยด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
“ฝ่าบาท จุนเอ๋อร์ไม่ได้มีใจโสมมแน่นอน เขาบังเอิญไปเจอพอดี” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ส่ายหน้ากอดขาประมุขชิงพลางตะโกนทำลายความเงียบ นางทำสีหน้าวิงวอนขอร้อง พูดไปตั้งมากมาย ประโยคนี้เพิ่งจะกล่าวถึงประเด็นสำคัญ
เดิมทีนางอยากจะบอกว่ามีคนวางแผนทำร้ายลูกชาย แต่ทางฝั่งเหมียวอี้ย้ำมา ว่าอย่าบอกว่ามีคนวางแผนทำร้าย ให้ประมุขชิงไปตัดสินด้วยตัวเอง
ประมุขชิงก้มมองด้วยสายตาเย็นเยียบ “เจ้าหมายความว่า ข้าควรจะชมเขางั้นเหรอ? พวกเจ้าสองแม่ลูกกำลังเล่นละครบทเศร้าให้ข้าดูที่นี่ ใครสอนพวกเจ้า? ตระกูลเซี่ยโห้วเหรอ?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ส่ายหน้าหวาดกลัว “ไม่มีใครสอนเพคะ หม่อมฉันพาจุนเอ๋อร์มารับโทษอย่างจริงใจ”
“เจ้ากล้าบอกไหมว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้ติดต่อตระกูลเซี่ยโห้ว?” ประมุขชิงถามด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก้มหน้าตอบ “ติดต่อแล้วเพคะ แต่ทางบ้านหม่อมฉันสงสัยว่ามีคนกำลังวางแผนทำร้ายจุนเอ๋อร์ ให้หม่อมฉันคอยดูสถานการณ์เงียบๆ ทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้กระจ่างก่อนแล้วก็ว่ากัน” นางเงยหน้าบอกอีก “แต่เรื่องแบบนี้หม่อมฉันไม่กล้าถ่วงเวลานาน ถ้ายื้อเวลาต่อไป เกรงว่าถึงตอนนั้นฝ่าบาทจะเข้าใจผิดว่าหม่อมฉันมีแผนร้ายในใจ ฝ่าบาท จุนเอ๋อร์ไม่ได้ตั้งใจนะเพคะ!”
ต่อให้ประมุขชิงไม่ถาม นางก็จะพูดอย่างนี้ นางไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเหมียวอี้ดึงดันจะให้นางทำอย่างนี้ หารู้ไม่ว่าเหมียวอี้ก็แค่รู้สึกกังวลกับสมองของนาง กลัวว่านางจะใช้อุบายตื้นๆ จนเสียเรื่อง จึงให้นางทำตัวจริงใจสักหน่อย
ประมุขชิงแววตาวูบไหว ก็ใช่น่ะสิ เขารู้สึกว่าตระกูลเซี่ยโห้วยังไม่ถึงขั้นให้สองแม่ลูกมาเล่นละครบทเศร้า ในช่วงเวลาแบบนี้ตระกูลเซี่ยโห้วไม่น่าจะแสดงความอ่อนแอได้ ไม่อย่างนั้นจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงบารมีของหัวหน้าตระกูลของเซี่ยโห้วลิ่ง สงสัยจะเป็นการกระทำของผู้หญิงคนนี้เอง
ชั่วขณะนี้ เขารู้สึกได้ว่าการตายของเซี่ยโห้วท่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆ ของตระกูลเซี่ยโห้วเท่านั้น เพราะสภาพจิตใจของผู้หญิงคนนี้ก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
พอคว้าข้อมือเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ดึงให้หลบไปด้านข้าง ประมุขชิงก็หันตัวช้าๆ ไปตรงหน้าชิงหยวนจุน แต่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่กำลังคุกเข่าก็ยังวิงวอนอีกว่า “ฝ่าบาท จุนเอ๋อร์ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เพคะ!”
เมื่อเห็นชิงหยวนจุนตกใจจนตัวสั่น ประมุขชิงก็ทำสีหน้าดุร้ายทันที เขาโกรธมาก ไม่ใช่เพราะอะไร แค่เพียงเพราะตื่นตระหนกของชิงหยวนจุน นี่คือลูกชายของเขานะ!
“ถ้าในใจไร้ความผิด เจ้าจะก้มหน้าทำไม? เอาหน้าของเจ้า…” พอประมุขชิงพูดถึงตรงนี้ก็หยุดชะงัก แล้วพลันเปลี่ยนเป็นตะคอกอย่างเดือดดาลว่า “เงยขึ้นมา!” เสียงดังก้องทั้งตำหนักใหญ่
………………………