พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1817 หนิวโหย่วเต๋อมาแสดงความยินดี
และเนื่องจากน้ำตากลั่นไม่สามารถเก็บรักษาได้เป็นเวลานาน จึงทำให้อำนาจแต่ละฝ่ายล้วนอยากสร้างอุปสงค์อุปทานโดยตรงที่กลุ่มปีศาจเทพอสรพิษดำ ใช่ว่าจะซื้อจากมือคนอื่นไม่ได้ ราคาสูงก็คือความไม่สะดวกอย่างหนึ่ง สาเหตุรองก็เป็นเพราะในมือคนทั่วไปไม่อาจเก็บรักษาของสิ่งนี้ไว้ได้ ของที่สามารถเก็บรักษาไว้ได้เพียงสามปี สำหรับนักพรตถือว่าเวลาสั้นเกินไป ถ้าไม่ระวังก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอยคามือ ดังนั้นส่วนใหญ่จะซื้อสิ่งนี้โดยตรงจากมือของเผ่าเทพอสรพิษดำ
เผ่าเทพอสรพิษดำในฐานะที่เป็นผู้ผลิตเพียงหนึ่งเดียวก็ย่อมหยิ่งผยองอยู่แล้ว นอกจากขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์และอำนาจบางฝ่าย พวกเขาก็ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเลยจริงๆ ราคาสินค้าในตลาดนั้นมีไว้แสดงเฉยๆ พุ่งเป้าไปที่กลุ่มพิเศษที่กล่าวถึงข้างต้นเท่านั้น เพราะยามเผชิญหน้ากับคนพวกนี้ เผ่าเทพอสรพิษดำไม่อยากสร้างปัญหา ส่วนคนอื่นๆ เผ่าเทพอสรพิษดำอยากจะขายก็ขาย ถ้าไม่อยากขายก็จะไม่ขาย ราคาก็เดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ ทำให้คนประสาทกินจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะตำหนักสวรรค์ควบคุมทั้งเผ่าและจำกัดอิสระเอาไว้ที่นี่ คาดว่าคงยกหางขึ้นฟ้าได้แล้ว
และแน่นอน ก็เพราะความวุ่นวายนี้เอง อำนาจภายนอกถึงอยากจะสร้างเครือข่ายการซื้อขายที่แน่นอนกับเผ่าเทพอสรพิษดำ ทำอย่างไรถึงจะสร้างเครือข่ายการซื้อขายที่มั่นคงได้ล่ะ? ก็ย่อมต้องสร้างเส้นสายกับคนที่พูดจามีน้ำหนักในเผ่าเทพอสรพิษดำอยู่แล้ว
นี่ก็คือจุดประสงค์ที่สวีถังหรานมาที่นี่ เป็นคำชี้แนะของอวิ๋นจือชิวเช่นกัน ดังนั้นสวีถังหรานถึงได้ออกหน้าเอง
สำหรับเหมียวอี้ การมีความสัมพันธ์ที่ดีเผ่าเทพอสรพิษดำคือเรื่องที่ต้องทำแน่นอนอยู่แล้ว ไม่แน่ว่าเมื่อไรเขาอาจจำเป็นต้องใช้น้ำตากลั่นจำนวนมากก็ได้
พอเข้าใกล้ดาวเคราะห์ที่อยู่ตรงหน้า แต่ละคนก็นำใบไม้สีเขียวขจีอมไว้ในปาก ความหอมเย็นซึมซาบเข้าหน้าอกทันที สิ่งนี้ชื่อว่า ‘หัวใจสีเขียว’ นำมาเพื่อแก้พิษ เป็นเพราะบนดาวเคราะห์ดวงนี้เต็มไปด้วยอากาศพิษประหลาด เกราะอิทธิฤทธิ์ต้านทานได้ในเวลาสั้นๆ เท่านั้น ใช้งานนานๆ ไม่ได้ เพราะอากาศพิษที่นี่สามารถซึมเข้าเกราะอิทธิฤทธิ์ ถ้าถูกพิษของที่นี่เมื่อไร กายเนื้อก็จะถูกทำให้กลายเป็นไม้ กลายเป็นของประเภทไม้แกะสลัก
สำหรับเผ่าเทพอสรพิษดำ พวกเขาไม่กลัวอากาศพิษของที่นี่ เพราะยิ่งอากาศพิษเข้มข้ม พวกเขาก็ยิ่งได้เสพสุข แต่สำหรับคนนอก ‘หัวใจสีเขียว’ คือยาถอนพิษเพียงชนิดเดียว แต่ ‘หัวใจสีเขียว’ ก็ดันถูกควบคุมอยู่ในมือเผ่าเทพอสรพิษดำเท่านั้น ถูกเผ่าเทพอสรพิษดำถือไว้ขาย เท่ากับว่าคนที่จะไปมาตลาดผีของที่นี่ล้วนต้องจ่ายค่าผ่านทางให้เผ่าเทพอสรพิษดำก่อน
ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้บังคับ เจ้าอยากจะซื้อก็ได้ หรือจะไม่ซื้อก็ได้ ถ้าเก่งนักก็ไปต้านทานเอาเอง ไม่มีใครบังคับให้พวกเจ้ามา
คนกลุ่มนี้ฝ่าชั้นบรรยากาศอย่างรวดเร็ว ทะลุผ่านเมฆครึ้มที่มีสายฟ้าไปโดยตรง พลังอิทธิฤทธิ์ม้วนกระเพื่อมออกมา กระจายไปที่เมฆครึ้มแล้ว
แสงแดดส่องลงมาเป็นเส้นตรงราวกับเสาต้นหนึ่ง ส่องสว่างพื้นดินด้านล่าง พื้นดินที่นี่ค่อนข้างแปลก ราวกับมีวัตถุรูปตาข่ายครอบอยู่ มองจากบนฟ้าเหมือนห่อชะลอมเอาไว้
คนนับร้อยเหาะลงมาจากฟ้า หลังจากได้เหยียบบน ‘ชะลอม’ แล้วถึงได้พบว่า สิ่งที่มองไกลๆ เหมือน ‘ชะลอม’ พอมองใกล้ๆ ถึงรู้ว่าเป็นเส้นใยที่ใหญ่หยาบเหมือนลำต้นของต้นไม้ ใหญ่จนคนสิบคนโอบไม่มิด ที่เล็กก็มีขนาดเท่าลำตัวของผู้ใหญ่คนหนึ่งเท่านั้น ที่จริงแล้วนี่ก็คือลำต้น เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า ‘สับปลับ’ เพียงแต่ต้นไม้ชนิดนี้ไม่รู้ว่ายอดไม้อยู่ที่ไหน และไม่รู้ด้วยว่ารากที่อยู่ใต้ดินเป็นของต้นไหน ลำต้นของต้นไม้ต้นหนึ่งไม่รู้แผ่ขยายไปที่ไหนบ้าง ว่ากันว่าไม่มีใครรู้ว่าลำต้นยาวเท่าไร เพราะระหว่างที่ลำต้นเติบโตคดเคี้ยวยาวเหยียด มันก็จะมีรากงอกแทงลงไปใต้ดินด้วย ผิวไม้ที่แตกบนลำต้นเต็มไปด้วยมอส มองไม่เห็นกิ่งใบ เหมือนจะมีแค่ลำต้นแต่ไร้ใบ ที่จริงแล้ว ‘หัวใจสีเขียว’ ก็ได้มาจากต้นไม้ชนิดนี้
พวกสวีถังหรานที่ยืนบนลำต้นที่ไขว้ตัดสลับกันเหมือนกรงได้กลิ่นเหม็นรุนแรง กลิ่นเหม็นนี้มาจากลำต้น และเป็นที่มาของอากาศพิษบนดาวเคราะห์ดวงนี้ด้วย โชคดีที่ในปากอม ‘หัวใจสีเขียว’ เอาไว้ กลิ่นหอมช่วยขจัดอากาศพาได้ ไม่อย่างนั้นก็ทำให้คนรู้สึกเหม็นจนอยากสลบ
เสาแสงที่ส่องทะลุเมฆครึ้มเหนือศีรษะของทุกคนยังคงอยู่ เมฆครึ้มยังไม่ทันกลับมาประสานกันดี ผู้ที่มาครั้งแรกล้วนมองโลกประหลาดรอบๆ สวีถังหรานที่วิ่งเต้นไปทั่วในหลายปีมานี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นดาวเคราะห์ประหลาดแบบนี้ แม้จะได้ยินชื่อเสียงมานานแล้วก็ตาม
ตรงจุดไกลๆ มีเมฆครึ้มแยกออกจนปรากฏเสาแสงส่องลงมา เป็นคนที่สัญจรไปมากับที่นี่
คนหนึ่งร้อยรีบแยกย้ายกันเฝ้าระวังรอบๆ รักษาความปลอดภัยให้สวีถังหราน
สวีถังหรานที่ชื่นชมไปนิดหน่อยพลันชักกระบี่วิเศษออกมา แล้วฟันไปที่ลำต้นด้านข้างเสียงดังฉึก ผลปรากฏว่าคมกระบี่เพิ่งจมลงครึ่งเดียว ก็มีของเหลวสีเขียวโผล่ออกมาแล้ว กลิ่นเหม็นรุนแรง สิ่งนี้พิสูจน์คำบอกเล่าแล้วจริงๆ ว่าต้นสับปลับนี้แข็งแรงทนทานมาก สวีถังหรานชัดกระบี่วิเศษกลับมา เห็นเพียงรอยแผลบนลำต้นกำลังสมานตัวอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงใช้พลังอิทธิฤทธิ์ฟันลงไปอีกที ถึงทำให้ลำต้นในแนวราบตรงหน้าขาดได้
หลังจากตัดขาดสองท่อนแล้ว ตรงจุดที่ขาดก็เริ่มกระเพื่อม เห็นเพียงรอยขาดที่มีของเหลวสีเขียวซึมเริ่มเลื้อยขยุกขยิกเติบโตอย่างรวดเร็ว มันไต่ไปบนลำต้นตามอำเภอใจ และไม่นานก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ตรงรอยขาดทั้งสองท่อนล้วนเป็นเช่นนี้ ราวกับไม่เคยถูกตัดมาก่อน มีเพียงร่องรอยสดใหม่ที่พิสูจน์ได้ว่าเคยเกิดอะไรขึ้น
สวีถังหรานที่ถือกระบี่เดาะลิ้นกล่าวว่า “สมคำร่ำลือ ต้นสับปลับนี้ทนทานจริงๆ งอกใหม่เร็วอย่างที่คาดไว้” เขากันกลับมาถามว่า “ไหนบอกว่าหัวใจสีเขียวก็มาจากต้นสับปลับไง ทำไมไม่เห็นล่ะ?”
ยอดฝีมือบงกชกลายคนหนึ่งที่ชื่อต้วนอวิ๋นเปียวตอบพร้อมรอยยิ้ม “หัวใจสีเขียวไม่ใช่ว่าจะเกิดที่ไหนก็ได้ มันเกิดแค่บนรากแก้วของต้นสับปลับเท่านั้น เติบโตอยู่บนเส้นฝอยของส่วนราก พวกเรายืนอยู่ในตำแหน่งนี้มองไม่เห็นหรอก หัวใจสีเขียวสามารถขายได้ จุดที่มีหัวใจสีเขียวงอกก็ย่อมมีเผ่าเทพอสรพิษดำเฝ้า คนนอกเข้าใกล้ได้ยาก”
สวีถังหรานมองที่ใต้เท้าตัวเอง ตลอดทางมานี้ไม่รู้ว่ามีลำต้นที่ไขว้ตัดสลับกันในแนวนอนกี่ต้น มีสิ่งเหล่านี้บังตาก็ไม่อาจมองเห็นพื้นดินได้เลย ต้องร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจลึกลงไปห้าร้อยกว่าจั้ง พลังอิทธิฤทธิ์ถึงจะสำรวจเจอพื้นดิน
วงแสงรอบด้านเริ่มกดเล็กลงเรื่อยๆ พอเงยหน้ามอง ก็เห็นว่าเมฆครึ้มบนฟ้ากำลังจะสมานตัวแล้ว
พอเก็บสายตากลับมา สวีถังหรานก็ถามว่า “บอกว่าสานสัมพันธ์กับคนเผ่าเทพอสรพิษดำดีแล้วไม่ใช่เหรอ? คนที่มารับอยู่ที่ไหนล่ะ?”
หยวนกงกำลังมองสำรวจรอบๆ พอได้ยินก็บอกต้วนอวิ๋นเปียวว่า “รบกวนพี่ต้วนไปตรวจสอบสักหน่อย”
ต้วนอวิ๋นเปียวพยักหน้า แล้วโบกมือเรียกสองคนที่ถูกบังอยู่ใต้ตาข่ายลำต้นแนวราบที่อยู่ไกลๆ
ขณะที่กำลังรอ วงแสงบนท้องฟ้าก็หายไปโดยสิ้นเชิง ด้านล่างมืดสลัวเป็นแถบๆ สายฟ้าที่กระพริบเลื้อยอยู่บนฟ้าทำให้ทั้งโลกนี้ตกอยู่ในสภาพเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง
เมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีใคร หยวนกงก็มองสวีถังหรานที่ยืนเอามือไขว้หลังครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ถามด้วยรอยยิ้ม “ช่วงนี้นายท่านเหมือนจะสนใจหัวหน้าภาคหวังจัวทางน่านฟ้าชวดเกิง!”
สวีถังหรานหันกลับมามองเขาแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าเบาๆ “แค่ปฏิบัติตามที่หัวหน้าภาคสั่งก็พอ”
หยวนกงบอกว่า “หวังจัวเป็นบิดาของสนมฉิน ได้ข่าวว่าที่โอรสสวรรค์ถูกลดตำแหน่งนั้นเกี่ยวข้องกับสนมฉิน ที่หัวหน้าภาคจับตาดูหวังจัว เพราะเกี่ยวข้องกับทางตำหนักนารีสวรรค์หรือเปล่า?”
สวีถังหรานถอนหายใจแล้วบอกว่า “ใครจะไปรู้ล่ะ แต่ขอให้ไม่มีเรื่องอะไรแล้วกัน ในเมื่อนายท่านหัวหน้าภาคกำชับแล้ว พวกเราก็จับตาดูให้มากหน่อยแล้วกัน”
หยวนกงพยักหน้า “นั่นก็แน่อยู่แล้ว พวกเรา…” เสียงพูดหยุดชะงัก จู่ๆ ก็หันกลับไป
เห็นเพียงแมลงเปลือกแข็งสีน้ำตาลที่ลำตัวยาวโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ ยาวเท่าแขน บนตัวเป็นโลหะมันเลื่อม บนเปลือกยังมีมอสงอกอีกด้วย ตอนนอนหมอบอยู่บนลำต้นนั้นเหมือนกับเป็นเนื้อเดียวกับลำต้นรอบๆ จู่ๆ มันก็ยิงฟันแหลมในปากมาทางนี้
สวีถังหรานเอียงหน้ามองไปเช่นกัน คาดว่านี่คงเป็นแมลงสับปลับ ปกติแฝงตัวบนต้นสับปลับ ดูดของเหลวจากต้นสับปลับเพื่อดำรงชีวิต เมื่อโดนมันกัด ก็มีผลไม่ต่างอะไรกับโดนอากาศพิษ ทำให้คนเป็นอัมพาตได้ ถ้าไม่รักษาให้ทันเวลา คนก็จะกลายเป็นไม้ได้เช่นกัน
สัตว์ตัวนี้ไม่ต่างกับยุงในป่าสักเท่าไร ว่ากันว่าเป็นอาหารเลิศรสที่เผ่าเทพอสรพิษดำชื่นชอบ
ตรงนี้ยังไม่ทันได้คิดอะไรมาก ก็ไม่รอให้หยวนกงลงมือ ใต้ลำต้นที่งอกในแนวขวางจู่ๆ ก็มีงูใหญ่เกล็ดดำตัวใหญ่เท่าถังน้ำตัวหนึ่งกระโจนออกมาราวกับลูกธนูพุ่งออกจากสาย มันอ้าปากที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคม พอแลบลิ้นสีแดงออกมา ก็ตวัดแมลงสับปลับเช้าปากทันที หลังจากบิดร่างกายกลางอากาศกลืนแมลงสับปลับลงท้องไปแล้ว ถึงได้ทะยานไปตกลงบนลำต้น แล้วเลื้อยบนลำต้นเข้ามาอย่างนี้อย่างช้าๆ
ผู้คุ้มกันหลายคนปรากฏตัวรอบทิศ จ้องมาทางนี้เตรียมโจมตี หยวนกงยกมือห้ามแล้ว
งูใหญ่เกล็ดดำแลบลิ้นเลื้อยเข้ามา ในดวงตามีขอบสีทองวงหนึ่ง สองข้างของหัวมีหูหยักเหมือนขน
สวีถังหรานเดาว่านี่คือคนของเผ่าเทพอสรพิษดำ ที่เรียกว่าเผ่าเทพอสรพิษดำก็คืองูชนิดหนึ่ง ที่จริงก็คือเผ่างู งูชนิดนี้เรียกว่าเทพอสรพิษดำ ทั้งยังมหัศจรรย์กว่างูธรรมดาทั่วไป ไม่เหมือนงูทั่วไปที่ต้องเบิกสติปัญญาก่อนแล้วถึงจะบำเพ็ญเพียรได้ หลังจากเผ่าเทพอสรพิษดำเติบโตเต็มวัยก็สามารถแปลงร่างเป็นคนได้เลย หลังจากมีพลังอิทธิฤทธิ์ก็สามารถสร้างเมฆเรียกฝนได้โดยธรรมชาติ เปรียบเทียบตัวเองเป็นมังกร ถึงได้เรียนสถานที่ที่ตัวเองอาศัยอยู่ว่าสระน้ำมังกรดำ
เป็นอย่างที่คาดไว้ งูใหญ่เกล็ดดำมันวาวเลื้อยมาตรงหน้าทั้งสองแล้วกลายร่างเป็นคน กลายเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมยาวประบ่า
ผมยาวดำขลับปลิวไสว เรือนร่างงดงามเย้ายวนใจ ไม่ใส่เสื้อผ้าสักชิ้น หน้าอกอิ่มเอิบและจุดลับด้านล่างถูกเกล็ดดำปกปิดเอาไว้ บนหน้าผากมีเกล็ดดำปกปิดอยู่จำนวนบ้าง ยืนเปลือยเท้าอยู่บนลำต้น วงแหวนสีทองในดวงตายังอยู่ นับว่าเป็นสาวงามคนหนึ่ง
“มาจากไหน?” ผู้หญิงเผ่าเทพอสรพิษดำถามเสียงเรียบ
หยวนกงตอบว่า “มาเดินดูเรื่อยเปื่อย”
นี่คือคำพูดที่เป็นสัญญาณลับ นับว่าสอดคล้องกันแล้ว ผู้หญิงเผ่าเทพอสรพิษดำหยักหน้า “ข้าจะพาพวกเจ้าไปดู” พูดจบก็กระโดดลงไปในตาข่ายลำต้นด้านล่าง
หยวนกงพยักหน้าให้สวีถังหราน แล้วกวักมือเรียกทหารยามที่อยู่โดยรอบ คนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันมุดลงด้านล่างทันที ตามเผ่าผู้หญิงเทพอสรพิษดำที่ถลันตัวลงไปด้านล่างแล้ว…
น่านฟ้าชวดเกิง จวนหัวหน้าภาค เรื่องทิวทัศน์งดงามของที่นี่ก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง จวนของผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในอาณาเขตนี้มีหรือที่จะแย่
ตอนนี้เรียกได้ว่ามีคนไปมาหาสู่ แสดงความยินดีที่ท่านหัวหน้าภาคหวังตัวได้เลื่อนตำแหน่ง
เดิมทีหวังจัวไม่อยากทำเรื่องนี้ ในใจรู้ดีว่าอาศัยลูกสาวตัวเองทำเรื่องอย่างนี้เพื่อให้เลื่อนตำแหน่งนั้นไม่มีเกียรติ ทว่ากลุ่มลูกน้องขอแล้วขออีกว่าให้จัดงานฉลอง จึงปฏิเสธการเชิญชวนได้ยาก กอปรกับทางด้านจวนอ๋องสวรรค์บอกใบ้ว่าให้จัดได้ ถึงได้ถ่วงเวลามาถึงตอนนี้แล้วค่อยจัดงาน
ทางจวนอ๋องสวรรค์บอกใบ้เจตนามาแล้ว คาดว่าคงมีคนต้องการจะทำไม่ดีกับเขา ป้องกันแน่นหนาเกินไปไม่ใช่เรื่องดี ให้จงใจหาโอกาสให้คนลงมือ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือวางกับดัก ทางจวนอ๋องสวรรค์ส่งยอดฝีมือมาเพียงพอแล้ว
หวังจัวแอบรู้สึกขำกับสิ่งนี้ เขารู้ดีว่าจวนอ๋องสวรรค์วางกับดักรออะไร แต่ในใจเขาเข้าใจดี ว่าคนทางนั้นไม่มีทางฆ่าเขาได้ เพราะเขาเป็นคนของฝ่ายนั้นอยู่แล้ว
งานเลี้ยงยังไม่เริ่ม หวังจัวกำลังต้อนรับแขกอยู่ในโถงหลัก มีลูกน้องมาแสดงความยินดีต่อหน้าไม่ขาดสาย บรรยากาศก็รื่นเริงเช่นกัน
ในขณะนี้เอง จู่ๆ ด้านนอกก็มีคนมารายงาน “นายท่าน หนิวโหย่วเต๋อหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลมาแสดงความยินดีขอรับ!”
หนิวโหย่วเต๋อ? เป็นคนแปลกหน้าไม่เคยติดต่อกันมาก่อน เขาจะมาทำไม? หวังจัวงงไปชั่วขณะ แต่ในใจกลับแอบตกใจ ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ พลันลุกยืนขึ้นแล้ว
……………………