พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1819 ไม่แยแส
พอได้ยินคำสั่งนี้ก็รู้สึกแปลกนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าสาเหตุที่สั่งระดมพลมาเตรียมไว้ก็เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่ญาติสนิทมิตรสหาย ไม่เคยเห็นหน้าอีกฝ่ายก็ตัดสินแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาดี อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็มาแสดงความยินดี แต่ฝั่งกลับต้องการระดมพลมาเตรียมป้องกัน
แน่นอน แม้คำสั่งที่ถ่ายทอดลงจะไปแปลกๆ แต่ทุกคนก็เข้าใจได้ ถึงอย่างไรทุกคนก็กังวลเหมือนกัน เพราะการที่หนิวโหย่วเต๋อถ่อมาในเวลานี้ ทำให้ทุกคนรู้สึกกดดันแล้วจริงๆ
“ขอรับ!” กลุ่มลูกน้องเอ่ยรับคำสั่งเสียงดัง ต่างคนต่างรีบหยิบระฆังดาราระดมกำลังพลของตัวเอง
ส่วนหวังจัวก็รีบหันตัวเดินเข้าไปในโถงด้านหลัง ไม่มีอารมณ์จะอยู่กับพวกลูกน้องกลุ่มนี้แล้ว
เหยียนซู่ที่เห็นฉากนี้แอบทอดถอนหายใจไม่หยุด ยังไม่ทันเห็นตัวหนิวโหย่วเต๋อ แค่ได้ยินว่าคนจะมาก็ทำให้ทั้งน่านฟ้าชวดเกิงตกใจจนลุกลี้ลุกลนแล้ว ลองนึกย้อนไปถึงฉากที่คนกลุ่มหนึ่งพูดเหยียดหยามแสดงความอัปยศต่อหนิวโหย่วเต๋อในปีนั้น แล้วลองมาดูตอนนี้อีก ก็พบว่าแตกต่างกันไม่ใช่น้อยๆ แม้แต่นางเองก็ยังคิดไม่ตกว่าคนกลุ่มนั้นอาศัยอะไรไปเหยียดหยามอีกฝ่าย? โง่เง่านัก ไม่ได้โง่ธรรมดา เรียกได้ว่าเรื่องราวเปลี่ยนแปลงรุ่งเรืองตกต่ำไม่แน่นอน ภาพตรงหน้าก็คือตัวอย่างแล้วว่าอย่ารังแกเด็กแล้วคนจน คนที่ในปีนั้นอาศัยภูมิหลังเล็กน้อยรังแกคนไม่มีภูมิหลัง ในตอนนี้ไม่มีใครชีวิตดีกว่าหนิวโหย่วเต๋อสักคน
หวังจัวที่เดินเข้าโถงด้านหลังหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อฝั่งตระกูลเซี่ยโห้วทันที จะถามว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ คุยกันแล้วไม่ใช่หรือว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่แตะต้องเขา แล้วจู่ๆ หนิวโหย่วเต๋อโผล่มาที่นี่หมายความว่าอย่างไร? แม้หนิวโหย่วเต๋อจะดูเหมือนไม่ใช่คนของตระกูลเซี่ยโห้ว แต่กลับเป็นคนของราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ก็นับว่าเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนกันน่ะสิ? เจ้าเวรนี่ถ่อเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย น่าตกใจแทบตาย สร้างความกดดันยิ่งกว่าคนตระกูลเซี่ยโห้วแอบส่งคนมาเสียอีก มาอย่างสง่าผ่าเผยโดยอ้างว่าจะแสดงความยินดี ทำให้ไม่รู้ว่าจะเชิญเข้ามาหรือไม่เชิญเข้ามาดี ถ้าให้เข้ามาก็กลัวอีกฝ่ายจะมาหาเรื่อง ถ้าไม่ให้เข้ามาก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะเสียหน้าจนหาโอกาสอาละวาด
เมื่อนึกเชื่อมโยงกับพฤติกรรมในอดีตของเจ้าบ้านั่น กฎหรือธรรมเนียมของตำหนักสวรรค์มีผลกับเขาด้วยเหรอ? นั่นคือคนที่กล้านำกำลังพลมาจ่อนอกตลาดสวรรค์แล้วประกาศอย่างโจ่งแจ้งว่าจะล้างเลือดทั้งเมือง เจอกับคนที่ไม่สนใจกฎกติกาแบบนี้น่าปวดหัวที่สุด
หนิวโหย่วเต๋อ? ตระกูลเซี่ยโห้วได้ข่าวแล้วแปลกใจมาก ให้เขาพยายามคุมสถานการณ์ไว้แล้ว ทางนี้จะรีบสืบให้ชัดเจนว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่
หวังจัวที่เดินออกจากโถงด้านหลังมาปรึกษากับชายชราสามคนที่แต่งกายเหมือนผู้ใต้บังคับบัญชา พวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมือที่ตระกูลเซี่ยโห้วส่งมา ทั้งสามเป็นนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ ทั้งยังมีนักพรตบงกชกลายอีกยี่สิบคนที่ซ่อนตัวอยู่ในจวนด้วย
หวังจัวเองก็ไม่รู้ว่าสามคนนี้เป็นใคร ปกติจะเรียกว่าฉินใหญ่ ฉินรองและฉินสาม ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นชื่อปลอม ยังไม่ต้องสนใจว่าชื่อจริงของอีกฝ่ายคืออะไร ตอนนี้ให้อีกฝ่ายเตรียมตัวคุ้มกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“หนิวโหย่วเต๋อ?” ทั้งสามได้ยินแล้วพึมพำ ฉินใหญ่ขมวดคิ้วถาม “เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นหนิวโหย่วเต๋อ?”
หวังจัวส่ายหน้า “ทางฝั่งข้าก็ไม่แน่ใจว่ามีใครเคยเห็นเขาหรือเปล่า แต่เดาว่าน่าจะไม่ใช่ตัวปลอม ใครจะถ่อมาปลอมเป็นเจ้าหมอนั่นล่ะ?”
ฉินใหญ่ถามว่า “มีกำลังพลมาเท่าไร?” เห็นได้ชัดว่าอีกสองคนก็สนใจจุดนี้เช่นกัน เป็นเพราะกำลังคนที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลไม่อ่อนแอเลย
หวังจัวตอบว่า “ภายนอกพาผู้ติดตามมาด้วยสองคน แต่แอบมีกำลังพลดักซุ่มหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ฉินใหญ่ค่อนข้างงง “แค่สองคนเองเหรอ? ใช่ชิงเยว่กับหลงซิ่นหรือเปล่า? ถ้าเป็นสองคนนี้ก็ยุ่งยากนิดหน่อย เพราะทั้งสองล้วนเป็นขุนพลตอนที่ทำศึกบุกยึดใต้หล้า ในปีนั้นชิงเยว่คือขุนพลที่มีอยู่จำนวนน้อยนิดของฮ่าวเต๋อฟาง แค่นางคนเดียว พวกเราสามคนก็อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง”
หวังจัวฝืนยิ้ม “ไม่รู้สิ ทางฝั่งข้าอาจจะไม่มีใครรู้สักพวกเขาสองคน”
ฉินใหญ่เอียงหน้าบอกทันที “ฉินสาม เจ้ารีบไปดู”
ฉินสามพยักหน้าแล้วรีบออกไป ไปเร็วมาเร็ว ทางนี้รอได้ประเดี๋ยวเดียว ฉินสามก็วิ่งกลับมาแล้ว “เป็นชิงเยว่ ส่วนอีกคนไม่รู้จัก ไม่ใช่หลงซิ่น หน้านิ่งมาก มีพลังระดับไหนก็ไม่รู้ แต่ถ้าสามารถเคียงกับชิงเยว่ได้ คาดว่าพลังคงไม่ได้น้อยกว่าชิงเยว่”
“ในเมื่อชิงเยว่มาแล้ว สงสัยจะไม่ต้องเดา คงจะเป็นหนิวโหย่วเต๋อนั่นจริงๆ” ฉินรองกล่าวเสียงต่ำ
หวังจัวรีบถาม “ถ้าหนิวโหย่วเต๋อมาหาเรื่อง คนที่ทั้งสามท่านพามาจะต้านไหวหรือเปล่า?”
ทั้งสามอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันเลิกลั่ก มีกำลังพลกลุ่มใหญ่อยู่ในจวนหัวหน้าภาค บวกกับยอดฝีมืออย่างพวกเขา พวกนี้ล้วนใช้รับมือกับการลอบจู่โจม ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะรับมือกับการรุกโจมตีของทัพใหญ่ ตระกูลเซี่ยโห้วที่วางกำลังไว้ล่วงหน้าก็ไม่อาจรุกโจมตีอย่างโจ่งแจ้งได้เช่นกัน การวางกำลังพลไว้ในที่แจ้งแล้วสู้กันไม่ใช่ลักษณะของตระกูลเซี่ยโห้ว จุดอ่อนที่ใหญ่ขนาดนี้ตระกูลเซี่ยโห้วอาจรับไม่ไหว ต้องทราบไว้ว่านี่คือการสังหารสนมของราชันสวรรค์ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ได้ไม่คุ้มเสีย ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้โง่ขนาดนั้น
แต่นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าหนิวโหย่วเต๋อที่ข่าวคราวเงียบหายไปหลายปีจะโผล่มาแล้ว เจ้าคนทึ่มนี่ไม่ได้ยึดหลักการ ‘ได้ไม่คุ้มเสีย’ อะไรทั้งนั้น ขนาดหลานชายทั้งอ๋องก็ยังฆ่าเลย เรื่องที่ได้ไม่คุ้มเสียเขาทำมาเยอะแล้ว เป็นพวกที่ชอบก่อเรื่องก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องเช็ดก้นทีหลัง นี่มาหาถึงประตูบ้าน ทั้งยังมาอย่างสง่าผ่าเผยด้วย แสดงลักษณะของเจ้านกโง่ให้เห็นแล้ว
ถ้าหนิวโหย่วเต๋อใช้วิธีการแข็งกร้าว สั่งให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลบุกโจมตี ทางฝั่งนี้ก็ไม่มีความมั่นใจอะไรเลยจริงๆ
“ถ้ามีแค่สามคนนี้ก็ยังจัดการง่ายหน่อย แต่พวกเราถ่วงเวลาพวกเขาไว้ได้ แล้วให้ทัพใหญ่ของหัวหน้าภาควางกำลังช่วยเหลือ ก็น่าจะไม่มีปัญหา แต่ถ้าอีกฝ่ายซ่อนทัพใหญ่เอาไว้ คาดว่าหัวหน้าภาคหวังคงเคยได้ยินเรื่องทัพใหญ่แดนรัตติกาลมาแล้วเหมือนกัน ฝ่ายเราอาจจะลำบากแล้ว” ฉินใหญ่ไม่มั่นใจ
หวังจัวฟังแล้วเครียด รีบกุมหมัดคารวะ “หวังว่าท่านจะรีบรายงานท่านอ๋อง รีบส่งยอดฝีมือมาสนับสนุน”
ฉินใหญ่พยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว หัวหน้าภาคหวังก็ควรแจ้งท่านโหวหวงทันที ให้ระดมทัพใหญ่มาสนับสนุน ไม่อย่างนั้นอาศัยแค่กำลังพลน่านฟ้าชวดเกิง เกรงว่าจะต้านทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่ไหว!”
“เข้าใจแล้ว!” หวังจัวกุมหมัดคารวะทั้งสามอีกครั้ง “ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไร ทั้งสามจะต้องคุ้มครองครอบครัวข้าก่อน” การที่พูดแบบนี้ได้ ก็แสดงว่าไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดว่ากำลังพลของตัวเองจะต้านทัพใหญ่แดนรัตติกาลไหว ยังไม่ต้องพูดถึงปัจจัยอื่น แค่ที่หนิวโหย่วเต๋อเคยนำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์โจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงจนแตกยับก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว
“พวกเราย่อมทำสุดความสามารถ” ฉินใหญ่พยักหน้าเอ่ยรับ
ฉินสามบอกอีกว่า “เพื่อความปลอดภัย หัวหน้าภาคหวังให้สนมฉินติดต่อขอความช่วยเหลือจากวังสวรรค์ก็ได้ ขอเพียงราชันสวรรค์ห้ามราชินีสวรรค์ไว้ เมื่อคำสั่งราชินีสวรรค์ออกมาเมื่อไร หนิวโหย่วเต๋อกับหัวหน้าภาคหวังไม่ได้มีความแค้นอะไรกัน คาดว่าคงไม่อยากก่อเรื่องนี้ เดี๋ยวก็ย่อมถอยไปเอง”
“ข้าก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน!” หวังจัวกุมหมัดคาระวแล้วไม่อิดออด รีบไปจัดการตามนั้นทันที
ฉินใหญ่และอีกสองฉินสบตากันแวบหนึ่ง พวกเขารู้สึกปวดประสาท พบว่าการที่หนิวโหย่วเต๋อมาถึงประตูบ้านอย่างสง่าผ่าเผยทำให้ทางนี้เป็นฝ่ายถูกกระทำมาก ต่อให้อีกฝ่ายมีเพียงสามคน แต่ทางนี้ก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม อีกฝ่ายมาอย่างสง่าผ่าเผย ถ้าบุ่มบ่ามลงมือกับคนตำแหน่งใหญ่ของตำหนักสวรรค์ ข้อหาก็ไม่ใช่เล็กๆ เจ้าคงเอาเยี่ยงอย่างหนิวโหย่วเต๋อที่ชอบทำซี้ซั้วไม่ได้หรอก อย่างไรเสียก็ต้องดูก่อนว่าหนิวโหย่วเต๋อจะเป็นฝ่ายก่อเรื่องก่อนหรือไม่
ถ้าหาข้ออ้างไปหาเรื่องให้หนิวโหย่วเต๋อลงมือก่อนล่ะ? เกรงว่าจะสมความปรารถนาของอีกฝ่ายพอดี ดีไม่ดีอีกฝ่ายอาจกำลังกลุ้มใจที่หาโอกาสลงมือไม่ได้ เจ้าลองเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนดูสิ คาดว่าน่านฟ้าชวดเกิงคงจะโดนตีจนฟ้าพลิกทันที เจ้าเอ๋อนั่นเป็นประเภทที่กลัวว่าเรื่องราวจะไม่ใหญ่โตอยู่แล้ว
ในเรือนที่อยู่ลึกเข้าไปข้างใน ที่พักของสนมฉิน มีคนของวังสวรรค์เฝ้าอยู่ ไม่ต่างอะไรกับการถูกกักบริเวณไว้ในบ้าน
หวังฮูหยินมารดาของนางมักจะมาอยู่เป็นเพื่อนลูกสาวเพื่อคลายความกังวล เรื่องบางเรื่องคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดก็อาจเป็นคนที่รู้น้อยที่สุด จนป่านนี้หวังฮูหยินก็ยังไม่รู้เลยว่าลูกสาวตัวเองเกี่ยวข้องกับเรื่องที่โอรสสวรรค์ถูกลดตำแหน่ง คนที่ไปมาหาสู่ด้วยไม่โง่จนถึงขั้นเปิดเผยต่อหน้านาง หวังจัวและลูกสาวก็ไม่บอกนางเพราะกลัวนางกังวล แค่อ้างไปว่าผู้หญิงของราชันสวรรค์มาเยี่ยมญาติก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว สนมของราชันสวรรค์ไม่สะดวกจะคลุกคลีกับผู้ชายข้างนอก หาข้ออ้างดีๆ เพื่อการกักบริเวณครั้งนี้ได้แล้ว
ตอนที่หวังจัวมาถึง สองแม่ลูกก็กำลังคุยกันอยู่พอดี
“หนิวโหย่วเต๋อ? กล้ามาก่อเรื่องที่นี่ด้วยเหรอ? ไม่ดูเสียบ้างว่าที่นี่คือที่ไหน!” พอได้ยินว่าสามีบอกว่าหนิวโหย่วเต๋ออาจจะมาก่อเรื่องที่นี่ หวังฮูหยินก็ตบโต๊ะถลึงตา มองลูกสาวแวบหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างภูมิใจว่า “ลูกสาวข้าเป็นสนมรักของฝ่าบาท หนิวโหย่วเต๋อจะกล้ากบฏเหรอ เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วละมั้ง?”
ใบหน้างามของสนมฉินเจือรอยยิ้มอ่อน ยกน้ำชาในมือจิบอย่างสง่างาม ผู้หญิงที่ราชันสวรรค์โปรดปราน ในใจย่อมมีความภาคภูมิใจเล็กๆ ไม่แยแสหัวหน้าภาคเล็กต่ำต้อยคนหนึ่งเลยจริงๆ ปกติตอนอยู่วังสวรรค์นางเจอบุคคลระดับไหนบ้างล่ะ? แน่นอนว่าตัดบิดาตัวเองออก นางไม่ได้ดูถูกบิดาตัวเอง
นอกจากนี้ยังรู้สึกหยิ่งในศักดิ์ศรีนิดๆ พอกลับมาที่บ้านตัวเอง ก็อยากจะวางมาดผู้หญิงของราชันสวรรค์บ้าง
ทางนี้กำลังอกสั่นขวัญแขวนที่ภัยมาถึงตัว แต่ดูท่าทีของสองแม่ลูกนี่สิ เหมือนจะไม่สนสี่สนแปดอะไรเลย! หวังจัวเห็นแล้วเดือดดาลนิดหน่อย อย่างไรเสียลูกสาวก็เป็นสนมของราชันสวรรค์ เขาไม่สะดวกจะพูดอะไรมาก ได้แต่จ้องฮูหยินพลางตะคอก “เจ้าจะเข้าใจอะไรล่ะ?”
หวังฮูหยินลุกขึ้นยืน แล้วถามอย่างรู้สึกขำ “เป็นความผิดของข้ารึไง? หนิวโหย่วเต๋อคิดจะก่อกบฏเหรอ?”
นางพูดไม่ผิดเลยจริงๆ พูดได้ถูกจุดแล้ว
สนมฉินเห็นบิดาทำท่าจะอาละวาด จึงปลอบว่า “ท่านพ่อ หนิวโหย่วเต๋อนั่นลูกก็รู้จักเหมือนกัน เคยได้ยินมาด้วย ไปมีเรื่องด้วยยากจริงๆ แต่ยังไงก็ต้องรู้สึกบันยะบันยัง ลูกเป็นสนมของฝ่าบาท อาศัยฐานะเขาตอนนี้ เขากล้าแตะต้องลูกด้วยเหรอ? เขาไม่มีความกล้านั่นหรอก! ท่านพ่อ อีกฝ่ายอาจจะมาแสดงความยินดีจริงๆ ก็ได้ค่ะ ท่านคงคิดมากไปแล้ว”
หวังจัวอดกลั้นไม่ไหวแล้ว สุดท้ายก็โพล่งคำพูดแรงๆ ออกมา “สุดท้ายทั้งใต้หล้านี้ก็ยังดูกันที่ว่าใครมีศักยภาพแข็งแกร่งกว่า ดูว่าในมือใครมีกำลังทหารเข็มแข็งกว่า! เป็นสนมของฝ่าบาทแล้วยังไง? ในสายตาของขุนนางที่มีอำนาจ เจ้าไม่นับเป็นอะไรทั้งนั้น! แม้แต่โอรสสวรรค์ยังกล้าวางแผนเล่นงาน เจ้าคิดว่าตัวเองสำคัญกว่าโอรสสวรรค์รึไง! เรื่องตัดหัวคนน่ะ หนิวโหย่วเต๋อนั่นเคยทำมาน้อยเหรอ? เคยดูหมิ่นสนมสวรรค์ต่อหน้าอ๋องสวรรค์อิ๋ง เจ้าลองเทียบตัวเองกับสนมสวรรค์ดูว่าเป็นยังไง? หนิวโหย่วเต๋อเริ่มตั้งแต่สังหารข้าทาสขุนนางใหญ่ที่ตลาดสวรรค์จนเลือดนองเป็นแม่น้ำ…”
เขาเล่าเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อเคยทำออกมาทีละเรื่อง ใช่ว่าสองแม่ลูกจะไม่เคยได้ยินมาก่อน เพียงแต่สิ่งที่ได้ยินล้วนเป็นเรื่องของคนอื่น ไม่เคยเกี่ยวข้องกับตัวเองเลย จึงไม่เก็บมาใส่ใจ ในสายตาพวกนาง เรื่องพวกนั้นไม่สำคัญเท่าการเลือกเสื้อผ้าใส่ในชีวิตประจำวันด้วยซ้ำ และไม่มีใครเคยวิเคราะห์ถึงความเกี่ยวโยงที่ร้ายแรงให้พวกนางฟังด้วย หลังจากเข้าใจอย่างแท้จริงแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อมีคุณสมบัติอย่างไร สองแม่ลูกก็เริ่มสีหน้าเปลี่ยน
“ที่นี่ไม่มีคนนอก ข้าจะพูดอย่างไม่กลัวเสียหน้าเลยแล้วกัน ข้าไม่มีความมั่นใจเลยว่ากำลังพลในมือข้าจะต้านทานกำลังพลในมือเจ้าบ้านั่นไหว ฟางเอ๋อร์ เจ้าอย่าลืมนะว่าหนิวโหย่วเต๋อคือขุนพลสายตรงของตำหนักนารีสวรรค์ มีความเป็นไปได้สูงว่าครั้งนี้ราชินีสวรรค์ส่งเขามา!”
เพล้ง! สนมฉินมือสั่น ถ้วยชาตกพื้นแตกกระจาย น้ำชาสาดกระเซ็น นางลุกพรวดด้วยสีหน้าซีดเผือด กล่าวอย่างลนลนว่า “ท่านพ่อ ท่านบอกว่าท่านคุยกับฝั่งตระกูลเซี่ยโห้วแล้วไม่ใช่เหรอ?”
หวังฮูหยินตกใจ “ราชินีสวรรค์? เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับราชินีสวรรค์? แล้วทำไมราชินีสวรรค์ต้องส่งคนมาหาเรื่องพวกเรา?” นางหันกลับมามองลูกสาว “ฟางเอ๋อร์ หรือว่าเจ้าหาเรื่องใส่ตัว ไปแย่งชิงความรักกับราชินีสวรรค์?”
……………………