พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1820 ปล่อยเสือออกจากภูเขา
จากคำพูดพวกนี้ก็สามารถฟังออก ต่อให้จนกระทั่งตอนนี้ สำหรับหวังฮูหยินแล้ว หนิวโหย่วเต๋อต่ำต้อยคนเดียวไม่ได้น่ากลัวเท่าราชินีสวรรค์เลย คนที่นางกลัวไม่ใช่หนิวโหย่วเต๋อแต่เป็นราชินีสวรรค์ เพราะในสายตานาง ฐานะสำคัญกว่าอำนาจทางหทาร ไม่แปลกใจที่หนิวโหย่วเต๋อมีความกล้าหาญมาขู่คุกคามถึงฝั่งนี้ ที่แท้ก็มีราชินีสวรรค์หนุนหลังอยู่นี่เอง!
หวังจัวไม่มีอารมณ์มาเถียงกับฮูหยินต่อแล้ว ปัญหาเรื่องแนวคิดใช่ว่าพูดนิดหน่อยแล้วจะโน้มน้าวได้ โดยเฉพาะระหว่างสามีภรรยา ถึงได้โน้มน้าวอีกฝ่ายหนึ่งแทน ทำได้เพียงพูดกับลูกสาวว่า “เป็นเรื่องอะไรกันแน่ข้าก็ไม่รู้ชัด แต่จิตใจของราชินีสวรรค์น่ะ เจ้าอยู่ในวังน่าจะรู้ดีกว่าข้า หนิวโหย่วเต๋อนั่นไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น กันไว้ดีกว่าแก้”
การวางแผนเล่นงานโอรสสวรรค์กลายเป็นเงามืดในใจสนมฉินไปแล้ว นางกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “แต่ลูกไม่สามารถติดต่อฝ่าบาทโดยตรงได้!” ประโยคเดียวก็เปิดเผยระดับความโปรดปรานที่ราชันสวรรค์มีต่อนางแล้ว ความหยิ่งในเกียรติยศยามกลับมาเยี่ยมบ้าน ตอนนี้หายไปราวกับฟองอากาศที่โดนจิ้มแตก ผู้หญิงในวังหลังที่สามารถติดต่อกับประมุขชิงได้โดยตรงมีน้อยจนนับนิ้วได้ ราชินีสวรรค์กับสนมสวรรค์ย่อมสามารถติดต่อได้โดยตรง เพียงแต่ในสถานการณ์ปกติ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจทราบได้ว่าประมุขชิงกำลังยุ่งกับงานอะไร ไม่มีใครกล้าไปรบกวน ล้วนต้องให้คนไปรายงานก่อนตามธรรมเนียม
ส่วนสถานการณ์อีกอย่างหนึ่งก็คือ ส่วนใหญ่ถ้าผู้หญิงในวังมีเรื่องอะไรก็จะไปหาราชินีสวรรค์ผู้ซึ่งคุมวังหลัง ถ้าตอนนี้นางติดต่อหาราชินีสวรรค์ ราชินีสวรรค์จะบอกต่อให้หรือไม่ก็ยังเป็นปัญหาเลย ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ไม่กล้าติดต่อไปหาราชินีสวรรค์ด้วย
หวังจัวพบว่าลูกสาวลนลานแล้ว จึงเอียงหน้าไปข้างนอกพร้อมบอกว่า “บอกให้คนในวังรู้ ถ้าข่าวไปถึงหูคนที่ดูแลงานในวัง เสียงก็ย่อมดังไปถึงสวรรค์!”
สนมฉินเข้าใจทันที บิดากำลังหมายถึงคนที่ในวังส่งมาจับตาดูนาง เพียงแต่อยู่ต่อหน้ามารดาจึงไม่สะดวกจะพูดชัดเจนเกินไป
สนมฉินพยักหน้าและจัดการตามที่บอกทันที สั่งให้นางในตะโกนเรียกแม่ทัพใหญ่เกราะแดงที่รับหน้าที่คุ้มครองเข้ามา โดยทั่วไปเมื่อสนมออกจากวัง ก็ล้วนมีคนทำหน้าที่คุ้มครองโดยเฉพาะ ไม่เหมือนในวังที่มียอดฝีมืออยู่เยอะ
แม่ทัพใหญ่ชื่อว่ามู่ตั๋ว พอได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อจะมาหาเรื่อง เขาก็พูดไม่ออกนิดหน่อย หนิวโหย่วเต๋อก็เป็นคนที่ออกไปจากกองทัพองครักษ์เช่นกัน ทั้งสองเคยเจอกันตอนเฝ้าอุทยานหลวง แต่เขาก็รู้ดี ว่าถ้าหนิวโหย่วเต๋อจะลงมือจริงๆ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนมากมาย เกรงว่าคงจะไม่เห็นแก่ไมตรี มีแต่จะต้องฆ่าปิดปากเขาไปด้วย!
มู่ตั๋วขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่เดียว จากนั้นก็พยักหน้าแล้วหันตัวเดินออกไป
จากนั้นหวังจัวก็กำชับให้สองแม่ลูกไปหาเรือนอื่นหลบสักหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ให้โอกาสคนเล็งเป้าหมายได้โดยตรง เตรียมหนีออกไปจากที่นี่ได้ทุกเมื่อหากเกิดเรื่องขึ้น
สองแม่ลูกเตรียมตัวอย่างลนลาน ในจวนหัวหน้าภาครีบเตรียมแบ่งสรรกำลังพล บรรยากาศทั้งจวนเริ่มตึงเครียดแล้ว
จวนท่านปู่สวรรค์ ตำหนักหลัก เซี่ยโห้วลิ่งกำลังเรียกรวมคนในจวนมาประชุม
เว่ยซูที่หลบไปชั่วคราว ตอนนี้ออกมาจากตำหนักด้านหลังแล้ว เดินมาข้างกายเซี่ยโห้วลิ่งแล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “นายท่าน หนิวโหย่วเต๋อไปที่จวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิงแล้ว!”
เซี่ยโห้วลิ่งกระปรี้กระเปร่าทันที กล่าวขออภัยทุกคนตรงนั้น แล้วลุกขึ้นเดินไปที่ตำหนักหลังกับเว่ยซู
เมื่อข้างกายไม่มีคนอื่นเห็นแล้ว เซี่ยโห้วลิ่งก็ยังถ่ายทอดเสียงถามว่า “สถานการณ์เป็นยังไง หนิวโหย่วเต๋อลงมือแล้วเหรอ?”
เว่ยซูตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่ลงมือ บ่าวตรวจสอบข่าวมาจากคุณชายห้าแล้ว ทางจวนหัวหน้าภาคยังไม่ได้ให้หนิวโหย่วเต๋อเข้าประตู ฉากหน้าหนิวโหย่วเต๋อพามาแค่ชิงเยว่กับเหยียนซิว แต่ในจวนหัวหน้าภาคเริ่มตึงเครียดทันที เหมือนเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจแล้ว เร่งระดมกำลังพลสายต่างๆ ให้เตรียมตัวแล้ว ข่าวนี้คุณชายเก้าส่งมาก่อน คุณชายเก้าเหมือนจะไม่ค่อยพอใจ ถามว่าหมายความว่าอะไร ถามว่าราชินีสวรรค์ไม่ให้ร่วมมือใช่หรือเปล่า? ถ้าหากใช่ ก็ขอให้พวกเราหยุดนางเดี๋ยวนี้!”
เซี่ยโห้วลิ่งตะลึงงัน “ไม่ให้เข้าประตู? ภายนอกพาคนไปด้วยแค่สองคน? หนิวโหย่วเต๋อไปหาถึงที่อย่างสง่าผ่าเผยเหรอ?”
“ใช่ขอรับ อ้างว่าไปแสดงความยินดีที่ได้เลื่อนตำแหน่ง” เว่ยซูตอบ
“นี่เขาคิดจะทำอะไร? กำลังพลของขวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลมีความเคลื่อนไหวหรือเปล่า?” เซี่ยโห้วลิ่งแปลกใจ
เว่ยซูตอบว่า “หลังจากได้ข่าวจากคุณชายเก้า บ่าวก็ไปตรวจสอบกับคุณชายสามแล้ว ทางคุณชายสามพบว่าทัพใหญ่แดนรัตติกาลมีเค้าว่าแอบเคลื่อนพล เหมือนจะมีกำลังพลหายตัวไปไม่น้อย ตอนหลังก็ตรวจสอบกับคุณชายหกอีก คุณชายหกสืบจำนวนที่แท้จริงมาแล้ว หนิวโหย่วเต๋อแอบย้ายทัพใหญ่แปดหมื่นออกจากแดนรัตติกาล ภายนอกเหลือกำลังพลเอาไว้ประกอบฉากนิดหน่อย รายละเอียดว่าไปที่ไหนก็ไม่ทราบแน่ใจ”
“ทัพใหญ่แปดหมื่น…” เซี่ยโห้วลิ่งใบหน้ากระตุกเล็กน้อย ถาเหมือนพึมพำกับตัวเองว่า “เจ้าหมอนั่นคงไม่คิดจะใช้กำลังหรอกใช่มั้ย?”
เว่ยซูกล่าวว่า “ต่อให้ใช้กำลัง แต่เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อก็คงไม่ได้เปรียบเท่าไรนัก ต่อทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะต่อสู้เก่งขนาดไหน แต่นั่นคือเขตใจกลางของทัพตะวันออก ทัพตะวันออกจะสามารถระดมกำลังพลกลุ่มใหญ่ล้อมปราบได้ทุกเมื่อ ถ้าสู้กันขึ้นมาเกรงว่าจะแพ้ยับเยิน ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะใช้งานกำลังพลสำรองจากหกลัทธิได้หรือเปล่า”
เซี่ยโห้วลิ่วเงียบไปครู่หนึ่ง เจ้าเก้าต้องการจะเก็บคนไว้ เขาไม่สะดวกจะไม่ไว้หน้า แต่ก็อยากจะกำจัดหวังจัวทั้งตระกูลอีก เขาจึงคิดจะยืมมือหนิวโหย่วเต๋อ เขารู้จักนิสัยเซี่ยโห้วเฉิงอวี่พอสมควร รู้อย่างลึกซึ้งว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะต้องไปหาหนิวโหย่วเต๋อแน่นอน แต่ใครจะคิดหนิวโหย่วเต๋อจะเล่นลูกไม้นี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะไปหาถึงประตูบ้านอย่างเปิดเผย ทำเอาเขากลายเป็นฝ่ายโดนกระทำ ต้องเชื่อฟังเจ้าเก้า ให้ราชินีสวรรค์ไปห้ามหนิวโหย่วเต๋องั้นเหรอ?
พอครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็บอกว่า “เจ้าถ่วงเวลาเจ้าเก้าไว้ก่อน บอกว่าทางราชินีสวรรค์ไม่รู้เรื่อง กำลังตรวจสอบสถานการณ์ ดูความเคลื่อนไหวทางน่านฟ้าชวดเกิงก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เว่ยซูเข้าใจเจตนาของเขา อยากจะดูว่าหนิวโหย่วเต๋อจะสามารถช่วงชิงโอกาสหุงข้าวสารให้เป็นข้าวสุก[1]ได้หรือไม่ สำหรับสิ่งนี้เว่ยซูไม่ได้แสดงความเห็นอะไร พยักหน้าเอ่ยรับ “ขอรับ!”
จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ริมลำธารที่มีสะพานเล็ก พ่อกับลูกชายกำลังเล่นหมากล้อมและพูดคุยกัน การเล่นหมากล้อมไม่ใช่เป้าหมายหลัก ทำเพื่อสร้างบรรยากาศเฉยๆ การพูดคุยกันต่างหากที่เป็นเรื่องหลัก
จั่วเอ๋อร์รีบร้อนเดินเข้ามา อิ๋งอู๋หม่านชำเลืองแวบหนึ่ง แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเกิดเรื่องขึ้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าเรื่องดีหรือเรื่องร้าย
จั่วเอ๋อร์ทำความเคารพ หลังจากรายงานสถานการณ์แล้ว สองพ่อลูกก็ตะลึงกันพร้อมกัน
“หนิวโหย่วเต๋อ?” อิ๋งจิ่วกวงงุนงง
อิ๋งอู๋หม่านก็มีปฏิกิริยาคล้ายกัน หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ข่าวคราวเงียบหายไปนานมากแล้ว ทำไมพอมีอะไรเกี่ยวข้องกับเขานิดหน่อย เขาก็กระโดดออกมาแล้วล่ะ นี่กำลังจะกระโจนเข้าใส่ตระกูลอิ๋งเหรอ?
จั่วเอ๋อร์พยัคหน้า “ค่ะ! ส่งคนไปยืนยันแล้ว เป็นหนิวโหย่วเต๋อไม่ผิดแน่ แต่ฉากหน้าพาคนไปแค่สองคน คนหนึ่งคือชิงเยว่ อีกคนพวกเขาไม่เคยเห็น คาดว่าน่าจะเป็นลูกน้องคนสนิทข้างกายหนิวโหย่วเต๋อที่ชื่อเหยียนซิว”
อิ๋งจิ่วกวงขมวดคิ้วเป็นร่อง สิ่งนี้ทำให้เขาผิดคาดนิดหน่อย เขาย่อมรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างหนิวโหย่วเต๋อกับตำหนักนารีสวรรค์ แต่ตามหลักแล้วไม่ควรจะให้หนิวโหย่วเต๋อออกหน้าสิ เพราะกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อมีจำกัด ยามเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้ จะไม่ให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตก็คงยาก การฆ่าสนมของราชันสวรรค์อย่างคึกโครม มีแต่คนสมองมีปัญหาเท่านั้นที่จะทำ มีแค่ต้องให้ตระกูลเซี่ยโห้วลงมือถึงเท่านั้น ถึงจะควบคุมความเคลื่อนไหวไว้ในขอบเขตที่กำหนดได้
แต่ถ้าใครจะบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนโง่ แล้วการสร้างสถานการณ์ที่งานเลี้ยงวันเกิดท่านปู่สวรรค์มันคืออะไรล่ะ? จะขึ้นไปนั่งตำแหน่งหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลได้อย่างไร? แค่ทรยศประมุขชิงก็ทำให้ประมุขชิงรังเกียจแล้ว นี่ยังจะฆ่าสนมของประมุขชิงอย่างคึกโครมอีกเหรอ คิดว่าประมุขชิงจะไม่กล้าฆ่าเขาหรือไง?
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? อิ๋งจิ่วกวงมองไม่ค่อยเข้าใจ ถามเสี่ยงต่ำว่า “เป็นไปไม่ได้ที่จะลงมือโดยใช้คนไม่กี่คน ทัพใหญ่แดนรัตติกาลของเขามีการเคลื่อนไหวหรือเปล่า?”
จั่วเอ๋อร์ตอบว่า “ตรวจสอบกับทางตลาดผีแล้ว จากเบาะแสต่างๆ เหมือนจะมีกำลังพลหายไปจริงๆ คาดว่าน่าจะห้าหมื่นขึ้นไป ส่วนรายละเอียดเรื่อจำนวน พวกเรายังไม่ทราบค่ะ”
อิ๋งจิ่วกวงโยนตัวหมากทิ้งแล้วยืนขึ้น ร้อนรนจนนั่งไม่ติดที่แล้ว เพราะจับจุดอ่อนของหนิวโหย่วเต๋อไม่ไหวจริงๆ คนอื่นอาจจะตัดสินตามหลักเหตุผลได้ แต่เจ้าเวรหนิวโหย่วเต๋อนั่นทำแต่เรื่องที่กลับกลอกยากคาดเดา ถึงขนาดระดมทัพใหญ่แล้ว ถ้าจะต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ เขาก็ไม่ได้กังวลว่ากำลังพลน้อยนิดนั่นจะกำเริบเสิบสานที่ใจกลางอาณาเขตทัพตะวันออก แต่ปัญหาก็คือกำลังของทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่ได้อ่อนแอเลย บวกกับฝีมือบัญชาการรบของหนิวโหย่วเต๋อ ถ้ามาตบหน้าทัพตะวันออกต้องดูแย่แน่ แล้วอ๋องสวรรค์อิ๋งผู้สง่าภูมิฐานอย่างเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เขาเสียหน้าให้คนคนนั้นไม่ไหวหรอก
“รีบสั่งให้ยอดฝีมือที่อยู่แถวนั้นรีบไปคุมสถานการณ์ไว้ก่อนล่วงหน้า สั่งให้หวงชิ่งระดมทัพใหญ่ไปเตรียมสนับสนุนที่น่านฟ้าชวดเกิงเดี๋ยวนี้ ถ้าลงมือเมื่อไร อย่าปล่อยให้กำลังพลแดนรัตติกาลเหลือรอดไปแม้แต่คนเดียว ให้พวกเขาถือหัวของหนิวโหย่วเต๋อมาพบอ๋องผู้นี้!” อิ๋งจิ่วกวงถ่ายทอดคำสั่งด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ค่ะ!” จั่วเอ๋อร์รีบหยิบระฆังดาราออกมาถ่ายทอดคำสั่ง
อิ๋งจิ่วกวงพลันเอียงหน้ามองอิ๋งอู๋หม่าน “ทัพใหม่ที่เจ้าสร้างขึ้นมา มีความมั่นใจที่จะสู้กับทัพใหญ่แดนรัตติกาลหรือเปล่า?”
อิ๋งจิ่วกวงหัวใจกระตุกวูบ คงไม่ได้คิดจะให้ทัพใหม่ไปทดสอบฝีมือหรอกใช่มั้ย? เขาตอบอย่างลังเลนิดหน่อย “ไม่เคยลงมือกับทัพใหญ่แดนรัตติกาล แพ้ชนะยากจะตัดสิน”
ตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถูกเซี่ยโห้วลิ่งสอบถาม เซี่ยโห้วลิ่งถามอย่างคลุมเครือ ถามว่าหนิวโหย่วเต๋อไปทำอะไรที่น่านฟ้าชวดเกิง?
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ดีใจแทบบ้า นี่หนิวโหย่วเต๋อกำลังจะไปลงมือระบายความโกรธให้นางแล้วเหรอ? แต่คำตอบที่ให้กลับไปก็คลุมเครือเช่นกัน นางตอบว่าไม่รู้!
เซี่ยโห้วลิ่งเตือนไปนิดหน่อย บอกว่าทางนี้ได้รับข่าวมา ว่าหนิวโหย่วเต๋อแอบระดมทัพใหญ่แดนรัตติกาลจนวนแปดหมื่น ให้นางไปถามให้ชัดเจนว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร บอกว่าอย่าให้ก่อเรื่อง
หนิวโหย่วเต๋อระดมทัพใหญ่แปดหมื่นแล้วเหรอ? ตอนนี้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เดินไปเดินมาอยู่ในห้อง ภายนอกดูสงบใจเย็น แต่มือที่อยู่ในแขนเสื้อกำลังกำหมัดด้วยความตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้สัมผัสความรู้สึกยามได้ออกคำสั่งให้ทัพใหญ่ไปเปลี่ยนแปลงสถานการณ์
นางไม่สนใจอะไรทั้งนั้น หยุดยั้งเหรอ? ทำไมต้องหยุดล่ะ? เมื่อถึงตอนนั้น นางแค่บอกว่าตัวเองไม่รู้เรื่องก็พอ ค่อยหาทางปกป้องหนิวโหย่วเต๋อทีหลัง สิ่งที่นางกังวลตอนนี้ก็คือหนิวโหย่วเต๋อจะเอาชนะได้หรือเปล่า?
ถ้าหนิวโหย่วเต๋อรู้ถึงความคิดของนางตอนนี้ คาดว่าคงอยากจะบีบคอนางให้ตาย
ตำหนักดาราจักร ประมุขชิงที่กำลังจัดการราชกิจแทบจะได้รับข่าวพร้อมกัน ตอนนี้เขาหรี่ตานั่งพิงเก้าอี้
ซ่างกวนชิงยืนอยู่ข้างๆ หลังจากใช้ระฆังดาราเสร็จแล้วก็หันตัวกลับมารายงานว่า “ถามทางซือหม่าเวิ่นเทียนแล้วขอรับ ตามที่สายลับรายงานมา หนิวโหย่วเต๋อแอบระดมทัพใหญ่แดนรัตติกาลแปดหมื่นแล้ว ไม่ทราบแน่ชัดว่าไปไหน แต่ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อยังถูกกันอยู่นอกจวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิง ยังไม่ได้เข้าไป เพียงแต่ในจวนหัวหน้าภาคเริ่มตึงเครียดแล้ว ทุกคนตระหนกมาก ทัพใหญ่เกรียงไกรสายต่างๆ ของน่านฟ้าชวดเกิงกำลังเร่งไปที่นั่น หวงชิ่งเองก็รีบระดมทัพใหญ่ไปสนับสนุนเช่นกัน ทัพตะวันออกรีบส่งยอดฝีมือจำนวนมากเร่งตามไป ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างนี้ขอรับ”
“ไปแสดงความยินดีอย่างสง่าผ่าเผย เล่นลูกไม้อะไรกัน? ฮ่าๆ!” ประมุขชิงพลันหัวเราะ แล้วลืมตาบอกว่า “เจ้าลูกลิงนั่นมีพลังอำนาจขนาดนั้นเชียวเหรอ? ไม่ได้โผล่หน้าออกมาหลายปี ขนาดมาคนเดียวนะ ยังไม่ทันได้เข้าประตูบ้านก็ทำให้คนแตกตื่นใหญ่โตขนาดนี้แล้วเหรอ? ดูวางมาดเข้าสิ แค่แมวน้อยตัวหนึ่ง ทำไมเฉิงอวี่ทำเหมือนตัวเองกำลังปล่อยเสือออกจากภูเขาล่ะ นึกไม่ถึงว่าฝั่งนั้นจะวิตกกังวล อะไรจะขนาดนั้น?”
ซ่างกวนชิงโค้งตัวเล็กน้อย หัวเราะตามเขาพร้อมบอกว่า “เป็นฝ่าบาทที่ปล่อยเสือออกจากภูเขา!”
……………………
[1] หุงข้าวสารให้เป็นข้าวสุก 生米煮成熟饭 หมายถึง ทำให้เรื่องราวเลยจุดที่จะแก้ไขได้เลย