พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1822 ถูกบีบให้ถอย
เอาเป็นว่าเคยได้ยินข่าวว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนเจ้าอารมณ์ เหยียนซู่ยังอยู่ตรงนี้นะ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อได้เจอเหยียนซู่ ตัวเองจะติดร่างแหไปด้วยหรือเปล่า?
ความคิดฟุ้งซ่านผ่านเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว ฟางอ้าวหลินแอบร้องว่าแย่แล้ว ทำไมบังเอิญมาเจอเจ้าหมอนี่ได้? แต่ภายนอกกลับฝืนยิ้ม “ผ่านทางมาที่นี่ ได้ยินว่าหัวหน้าภาคคนใหม่เพิ่งรับตำแหน่ง เลยถือโอกาสมาแสดงความยินดี” ชั่วขณะนั้นเขาก็หาเหตุผลอะไรดีๆ ไม่ได้เหมือนกัน สงสัยนิดหน่อยว่าเหมียวอี้ไม่ได้มาดี จึงไม่สะดวกจะพูดว่าตัวเองรู้จักกับหวังจัว
ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ เขาสามารถเผชิญหน้ากับเหมียวอี้อย่างสบายๆ ได้เลย เพียงแต่เวลานี้และสถานที่นี่ทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าเหมียวอี้เคยเป็นตัวละครแบบไหน
เหตุผลนี้ฟังดูดันุรังไปหน่อย คิดว่าข้าปัญญาอ่อนรึไง? เหมียวอี้มองเขาศีรษะจดเท้า ชั่วขณะนั้นไม่ได้รู้สึกดีอะไรด้วยแล้ว เขาหัวแห้งๆ แล้วกล่าวยด้วยรอยยิ้มแข็งทื่อ “บังเอิญแล้ว นึกไม่ถึงว่าพี่ฟางกับหนิวจะมาเยี่ยมคารวะหัวหน้าภาคหวังด้วยเหตุผลเดียวกัน พอดีเลย จะได้ไปด้วยกัน”
มีแต่ผีน่ะสิที่จะไปกับเจ้า! ฟางอ้าวหลินอยากจะหลบให้ไกลๆ จะได้ไม่ต้องสร้างความขัดแย้งอะไร ปากก็ขานรับ แล้วบอกว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” จากนั้นก็ถามเหมือนแปลกใจอีกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมพี่หนิวมารออยู่ตรงนี้ ไม่เห็นมีใครมาต้อนรับแขกสักทีล่ะ?”
เหมียวอี้ชำเลืองมองบนภูเขา “อีกฝ่ายบอกว่าต้องการตรวจสอบตัวตนข้าน่ะ ใช้เวลาตรวจสอบครึ่งชั่วยามแล้ว ยังไม่ได้ข่าวอะไรเลย หนิวเองก็กำลังอดทนอยู่นะ!”
เจ้ามีความอดทนด้วยเหรอ? กลัวว่าจะมีเจตนาไม่ซื่อมากกว่ากระมัง? ฟางอ้าวหลินกล่าวเหยียดหยามในใจ แต่ภายนอกกลับขมวดคิ้ว มองไปบนภูเขาพลางทำเสียงฮึดฮัด ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำว่า “พวกเราอุตส่าห์มีเจตนาดีมาแสดงความยินดี นึกไม่ถึงว่าหวังจัวจะรับแขกแบบนี้ แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน! คนที่หยิ่งยโสแบบนี้ ข้าไม่พบก็ได้!” พูดจบก็สะบัดชายเสื้อ หลังจากแสดงความแค้นเคืองแล้ว ก็กุมหมัดคารวะเหมียวอี้ “พี่หนิว ฟางขอตัวก่อนแล้วกัน!”
มารดาเจ้าเถอะ! เหมียวอี้เลิกคิ้ว พบว่าเจ้าหนุ่มนี่เจ้าเล่ห์พอสมควร ไม่ทันไรก็ดึงตนเข้าไปอยู่ในคำพูดของเขาเสียแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าตนจะทำให้เขาหาข้ออ้างหนีไปได้อย่างสง่าผ่าเผย เห็นข้าแล้วหนีทำไม? หรือว่าในใจมีอะไรแอบแฝง?
ชิงเยว่เองก็อดไม่ได้ที่จะมองฟางอ้าวหลินหลายครั้ง
เมื่อมองเจตนาของอีกฝ่ายออกแล้ว เหมียวอี้มีหรือที่จะให้เขาสมหวัง พูดห้ามว่า “พี่ฟางพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกนะ หัวหน้าภาคหวังอาจจะไม่พอใจอะไรหนิวก็ได้ แต่พี่ฟางกับหัวหน้าภาคหวังกลับไม่มีความแค้นอะไรกัน อาจจะได้รับการปฏิบัติไม่เหมือนกัน อย่าเข้าใจการวางตัวของหัวหน้าภาคหวังผิดเพราะหนิวเลย พี่ฟางให้ลูกน้องไปรายงานก่อนก็ได้ ดูท่าทีของหัวหน้าภาคหวังแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย” สายตาจ้องไปที่สี่คนข้างหลังของฟางอ้าวหลิน บอกใบ้ให้ไปรายงาน
ชิงเยว่แอบรู้สึกขำ ถึงอย่างไรก็ติดตามเหมียวอี้มาหลายปี พอจะรู้จักนิสัยของเหมียวอี้อยู่บ้าง รู้ว่าเหมียวอี้คิดจะพัวพันกับเจ้าหมอนี่แล้ว สมน้ำหน้าเจ้าหมอนี่เหมือนกัน อยู่ดีๆ จะมาแสดงละครหลอกคนอื่นทำไม ถ้ายังหน้าซื่อใจคดต่อไป คาดว่าคงจะกระตุ้นเจตนารมณ์อันแน่วแน่เหมียวอี้แน่
สี่คนที่อยู่ข้างหลังฟางอ้าวหลินย่อมไม่ฟังคำชี้แนะของเหมียวอี้ ทั้งสี่ย่อมรู้ว่าเหมียวอี้เป็นคนอย่างไร พอจะรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว
ฟางอ้าวหลินไม่อยากจะพัวพันกับเหมียวอี้อีกต่อไป ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ช่างเถอะ ต่อให้ฟางเข้าไปได้ แต่พี่หนิวกลับถูกเมินอยู่ตรงนี้…” เขาส่ายหน้า ความหมายที่สื่อก็คือไม่อยากให้เหมียวอี้ดูแย่
ใครจะคิดว่าว่าเหมียวอี้จะพ่นสียงทางจมูกด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ไม่เป็นไร ไม่ต้องไว้หน้าข้าหรอก ยังไงพวกเราก็ไม่ได้สนิทกัน เจ้าเข้าไปเถอะ ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า” เมื่อครู่นี้ยังเรียกกันว่าพี่น้องอยู่เลย ชั่วพริบตาเดียวก็มาบอกแล้วว่าไม่คุ้นเคยกัน
“ช่างเถอะ ข้าขอตัวลาตรงนี้ พี่หนิว วันหลังถ้ามีโอกาสค่อยพบกันอีก!” ฟางอ้าวหลินกุมหมัดคารวะอีกครั้ง หันตัวไปอย่างทนรอไม่ไหว กำลังจะหนีไปจากตรงนี้
“ช้าก่อน!” เหมียวอี้กล่าวด้วยเสียงเย็นชา
ฟางอ้าวหลินหยุดชะงัก ไม่กล้าหนีไปไหน หันตัวมาช้าๆ พยายามทำสีหน้าใจเย็น “ไม่ทราบว่าพี่หนิวมีอะไรจะกำชับ?”
เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “กำชับบ้าอะไร! เจ้าคิดว่าหนิวคนนี้เป็นเด็กสามขวบรึไง?” เขาจะสื่อว่า เจ้ากำลังล้อข้าเล่นเหรอ?
“ทำไมพี่หนิวพูดอย่างนี้?” ฟางอ้าวหลินถามเหมือนประหลาดใจ
เหมียวอี้บอกว่า “เจ้าบอกว่าตัวเองเป็นหัวหน้าภาคน่านฟ้าวอกอี่ก็แปลว่าเป็นหัวหน้าภาคน่านฟ้าวอกอี่แล้วเหรอ? ทำไมข้ารู้สึกว่าเจ้าคือตัวปลอมล่ะ? หัวหน้าภาคหวังก็เป็นคนของทัพตะวันออกเหมือนกัน แยกแยะได้ง่ายว่าใครตัวจริงหรือตัวปลอม ไป ไปตรวจสอบตัวตนกับหัวหน้าภาคหวังเองสักหน่อย ถ้าบังอาจปลอมตัวเนขุนนางตำหนักสวรรค์…หนิวเป็นคนที่ยอมให้ทรายเข้าตาไม่ได้!”
เขาแน่ใจว่าคนคนนี้รู้จักหวังจัวแน่นอน หวังจัวให้เขารออยู่ที่นี่ แล้วเจ้าหมอนี่ก็หาข้ออ้างหนีไปทันทีที่รู้ถึงฐานะของเขา มารดาเจ้าเถอะ ตอนนี้เขาต้องการให้เจ้าหมอนี่อยู่รอด้วยกัน
แน่นอน ทุกคนล้วนเป็นคนของตำหนักสวรรค์ ถ้าจะหาเรื่องก็ต้องหาข้ออ้างที่ฟังขึ้น จะทำซี้ซั้วไม่ได้ เขาจึงทำได้เพียงอ้างว่าสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นตัวปลอม แล้วต้องการจะตรวจสอบตัวตน
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา พวกฟางอ้าวหลินก็สีหน้าเปลี่ยนทันที ดูท่าแล้วหนิวโหย่วเต๋อคงต้องการจะให้พวกเขาอยู่ต่อ
ชิงเยว่แอบถอนหายใจ เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ ท่านนี้เกิดเจตนารมณ์อันแน่วแน่แล้ว
เหยียนซิวทำท่าราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตัวเอง ไม่กระพริบตาเลยตั้งแต่ต้นจนจบ จ้องพวกเขาอย่างเย็นเยียบราวกับเป็นคนตาย
ฟางอ้าวหลินหยิบแผ่นหยกขุนนางออกมา “แผ่นหยกรับตำแหน่งอยู่นี่แล้ว พิสูจน์ฐานะของข้าได้แล้ว”
เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าไม่ได้อยู่สายเดียวกับเจ้า แยกตราอิทธิฤทธิ์ของขุนนางทัพตะวันออกไม่ออก ข้าแนะนำให้เจ้าทำตามข้าแต่โดยดี สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราลงทัณฑ์!”
“เจ้า…” ฟางอ้าวหลินเดือดดาลในใจ รังแกกันเกินไปแล้ว
ลูกน้องสี่คนของเขาก็เดือดดาลเช่นกัน ทุกคนเป็นหัวหน้าภาคเหมือนกันหมด เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาทำกำเริบเสิบสานขนาดนี้?
ทว่ากล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูด แค่ชิงเยว่ปรายตามองอยู่ข้างๆ ก็ทำให้พวกเขากดดันพอแล้ว เป็นสายตาที่กดพวกเขาไม่ให้กล้าขยับตัว
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น พวกเขาก็ขี้คร้านจะแยแสแน่นอน ไม่เชื่อว่าจะกล้าทำซี้ซั้ว แต่พอนึกถึงประวัติคดีของหนิวโหย่วเต๋อ ก็พบว่าเป็นตัวละครที่เคยโดนหมาบ้ากัดมา ถ้าเขากล้าก็ลองหันหน้าเดินหนีไปสักก้าวสิ? นั่นคือการเดิมพันด้วยชีวิตแท้ๆ เลย!
เหมียวอี้ถามข่มว่า “เจ้าอะไร? ถ่วงเวลาแบบนี้หรือว่ากินปูนร้อนท้อง?” เขายื่นมือรับแสงแดดที่ลอดผ่านต้นไม้ลงมา แล้วมองสีของท้องฟ้า “ความอดทนข้ามีจำกัด เร็วเข้า ถ้าช้ากว่านี้ก็อย่าเสียใจทีหลัง!”
เจออุปสรรคใหญ่โตมามากมาย สำหรับคนประเภทนี้ เขาไม่ได้รู้สึกกดดันอะไรเลยจริงๆ
ฟางอ้าวหลินแอบกัดฟันกรอด จนใจที่มาเจอกับคนแข็งกร้าวอย่างเหมียวอี้ ตัวเองจะใช้วิธีการเสแสร้งก็ไม่มีประโยชน์ ทำได้เพียงเอียงหน้าบอกใบ้ให้คนไปรายงาน
หนึ่งในนั้นเดินไปทางประตูใหญ่
เหมียวอี้ก็เอียงหน้าบอกใบ้เหยียนซิวเช่นกัน “ไปถามหน่อย ว่าหัวหน้าภาคหวังคิดว่าตำหนักนารีสวรรค์รังแกง่ายเลยจงใจมาดูหมิ่นหนิวเหรอ?”
พอเดินมาตรงหน้าประตูใหญ่ หลังจากลูกน้องของฟางอ้าวหลินแจ้งกับทหารยามแล้ว ก็แอบถ่ายทอดเสียงอีกสองสามประโยค ส่วนเหยียนซิวที่เดินตามมาก็ไม่เกรงใจ ถ่ายทอดคำพูดของเหมียวอี้เสียเลย
ต่อจากนั้น พวกฟางอ้าวหลินก็ย่อมไปไหนไม่ได้ อยู่เป็นเพื่อนพวกเหมียวอี้ตรงนั้น อารมณ์เป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ในมือถือระฆังดารา ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน
ในแขนเสื้อเหมียวอี้ก็ถือระฆังดาราเช่นกัน สั่งให้คนตรวจสอบกำพืดของฟางอ้าวหลิน
ครั้งนี้ไม่ได้รอนาน บนภูเขามีคนมาแล้ว พอออกจากประตู ก็กุมหมัดกล่าวขออภัย “ขออภัยจริงๆ ลำบากให้หัวหน้าภาคทั้งสองรอนานแล้ว เชิญด้านใน!”
“สงสัยพี่ฟางจะหน้าใหญ่จริงๆ! ไปด้วยกันเถอะ!” เหมียวอี้แสยะยิ้ม
สุดท้ายพวกเขาก็ได้เข้าประตูใหญ่แล้ว ทว่าหลังจากขึ้นมาบนเขา ก็ถูกเมินให้อยู่ในเรือนรับแขก โดยให้เหตุผลว่าสนมฉินมีธุระเรียกพบ ตอนนี้หวังจัวยังปลีกตัวออกมาไม่ได้
ส่วนความเป็นจริง ตอนนี้หวังจัวกำลังเดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้านตัวเอง เขากระวนกระวายมาก รอให้ยอดฝีมือของทัพตะวันออกมาถึง เบื้องบนให้เขาคุมหนิวโหย่วเต๋อให้สงบลงก่อน เขาทำได้เพียงคิดหาทางถ่วงเวลาได้นิดหน่อย
มาจนป่านนี้แล้ว มีหรือที่เหมียวอี้จะดูไม่ออกว่าหวังจัวตั้งใจถ่วงเวลา เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่าหวังจัวถ่วงเวลาแบบนี้หมายความว่าอะไร
บังเอิญว่าตอนนี้หวงฝู่จวินโหรวส่งข่าวมาพอดี บอกว่ามารดานางสั่งให้เหมียวอี้ระวังตัวหน่อย เพราะพบว่าทัพตะวันออกกำลังระดมกำลังพลกลุ่มใหญ่มาที่นี่ ขณะเดียวกันก็มียอดฝีมือของทัพตะวันออกจำนวนไม่น้อยกำลังเคลื่อนไหวผิดปกติ ไม่รู้รายละเอียดว่าไปที่ไหน แต่เมื่อนึกโยงกับการเคลื่อนไหวของกำลังพลกลุ่มใหญ่แล้ว พวกเขาก็น่าจะมาที่นี่
โชคดีที่วังสวรรค์สั่งให้สมาคมวีรชนจับตาดูความเคลื่อนไหวของทัพตะวันออกพอดี ไม่อย่างนั้นเกรงว่าหวงฝู่ตวนหรงคงจะรู้ทิศทางการเคลื่อนไหวไม่ทัน หวงฝู่ตวนหรงจะกล้าสั่งให้คนของสมาคมวีรชนจับตาดูทิศทางการเคลื่อนไหวของทัพตะวันออกได้อย่างไร ถ้าออกคำสั่งอย่างนี้จริงๆ คงจะทำให้คนสงสัยแน่
เหมียวอี้ได้ข่าวแล้วตกใจอยู่บ้าง เพิ่งจะตระหนักได้ถึงสาเหตุที่หวังจัวถ่วงเวลาไว้ เหมือนที่หวังจัวกังวลว่าเขาจะลงมือ การเคลื่อนไหวของทัพตะวันออกก็ทำให้เขากังวลเช่นกันว่าตระกูลอิ๋งจะลงมือ ถ้าต้องสู้กับกำลังพลน่านฟ้าชวดเกิงอย่างเดียวเขาก็ไม่กลัว แต่ทัพตะวันออกระดมพลและยอดฝีมือมามากขนาดนี้ในรวดเดียว ทำให้เขากลัวแล้วจริงๆ การนำทัพใหญ่แดนรัตติกาลไปสู้กับทัพตะวันออก แบบนี้ไม่ใช่แกว่งเท้าหาเสี้ยนหรอกหรือ ต่อให้จะหนีไปได้ แต่ก็จะทำให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเสียหายยับเยินแน่นอน
บวกกับสถานการณ์ในตอนนี้ ต่อให้เจอหวังจัวแล้ว แต่อีกฝ่ายก็เตรียมป้องกันกันแน่นหนา เลิกคิดไปได้เลยว่าจะสืบความจริงอะไรได้
“กลับ!” เหมียวอี้เรียกชิงเยว่และเหยียนซิวกลับอย่างไม่ลังเล ขณะเดียวกันก็สั่งให้ทั้งสองเตรียมตัวฝ่าวงล้อม เขากังวลว่าทางฝั่งนี้จะล้อมเขาไว้ จึงสั่งให้ทัพใหญ่ที่รอสนับสนุนด้านนอกเตรียมตัวรุกโจมตี
ตอนที่ออกจากโถงรับแขก เหมียวอี้ก็กวาดสายตามองพวกฟางอ้าวหลิน
ระหว่างทางไม่มีใครขัดขวาง ทั้งสามออกไปได้อย่างปลอดภัย
“ไปแล้วเหรอ?” หวังจัวที่อยู่ในลานบ้านบนภูเขาได้ยินข่าวแล้วแปลกใจมาก ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เหมียวอี้ถึงกลับไป
หลังจากแน่ใจว่าไปแล้วจริงๆ หวังจัวถึงได้รีบเชิญฟางอ้าวหลินมาพบ ขณะเดียวกันก็ถามถึงสาเหตุที่เหมียวอี้กลับไปด้วย
“ไปแล้วเหรอ?” นึกไม่ถึงว่าฟางอ้าวหลินจะประหลาดใจมากเหมือนกัน เขายังนึกว่าเหมียวอี้ได้มาพบหวังจัวแล้ว
เหมียวอี้ที่มาเจอกับกำลังพลสนับสนุนรีบออกไปทันที เร่งเหาะด้วยความเร็วสูงอยู่ในดาราจักร แต่ระหว่างทางกลับได้ข่าวจากหวงฝู่จวินโหรวอีก เป็นข่าวเกี่ยวกับฟางอ้าวหลิน เดิมทีหวงฝู่ตวนหรงก็คุมร้านค้าของสมาคมวีรชนทั้งใต้หล้าอยู่แล้ว ข่าวจากแต่ละที่ล้วนผ่านมือนาง ในมือนางมีข้อมูลคร่าวๆ ของฟางอ้าวหลินอยู่แล้ว ไม่ต้องรบกวนใครมากก็สืบข่าวได้
เหมียวอี้ถึงได้รู้ว่าฟางอ้าวหลินสังหารสามีของเหยียนซู่แล้วขึ้นสู่ตำแหน่งแทน ถ้าไม่ใช่เพราะหวงฝู่จวินโหรวเอ่ยถึง เขาก็แทบจะลืมไปแล้วว่าเหยียนซู่คือใคร ส่วนข่าวลือที่บอกว่าเหยียนซู่ไปซบอกฟางอ้าวหลิน ข่าวที่มีอยู่ในมือหวงฝู่ตวนหรงก็ยังยืนยันไม่ได้เช่นกัน สมาคมวีรชนไม่กล้ายื่นมือออกไปยาวเกินไป แต่ก็บอกแล้วว่ามีความเป็นไปได้ เพราะหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิงคนก่อนคือสหายของฟางอ้าวหลิน การที่เหยียนซู่ย้ายมาที่นี่ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับฟางอ้าวหลิน
เหยียนซู่อยู่ที่น่านฟ้าชวดเกิงเหรอ? เหมียวอี้งงนิดหน่อย แสดงว่าก่อนหน้านี้ตัวเองก็เข้าใกล้เหยียนซู่แล้วน่ะสิ?
ตอนนี้ไม่ต้องให้สมาคมวีรชนยืนยันแล้ว เขาสามารถยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างฟางอ้าวหลินกับเหยียนซู่เองได้ พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมฟางอ้าวหลินมาที่นี่ เป็นเพราะรักเก่าตัดยากจริงๆ!
“เหยียนซิว!” หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง เหมียวอี้ที่กำลังเหาะอยู่บนฟ้าก็เรียกเหยียนซิวเข้ามาใกล้ แล้วถ่ายทอดคำสั่งลับ “พาคนไปสักสองสามคน ดักซุ่มระหว่างทางไปกลับน่านฟ้าชวดเกิงกับน่านฟ้าวอกอี่ ถ้าพบพวกฟางอ้าวหลินผ่านไป ก็จัดการซะ ต้องจับเป็นนะ อย่าให้ข่าวหลุดเด็ดขาด!”
นักพรตบงกชกลายห้าคนที่ค่อนข้างได้รับความไว้วางใจจากเหมียวอี้ออกไปกับเหยียนซิวเงียบๆ ส่วนเหมียวอี้ก็แสดงกำลังพลทั้งหมดออกมา ถอนทัพใหญ่แดนรัตติกาลแปดหมื่นอย่างเอิกเกริก ทำแบบนี้เพื่อปกปิดปฏิบัติการต่อไปของเหยียนซิว!
………………………