พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1826 โบยบินจากไปไกล
ราบรื่นมาก ดูเหมือนผ่อนคลายมาก แต่คนที่กำลังทำเรื่องนี้อยู่กลับรู้ตัวว่าหวาดเสียวขนาดไหน หากมีคนติดต่อสนมฉินไม่ได้ขึ้นมา ก็มีความเป็นไปได้สูงว่ากองทัพองครักษ์จะไปตรวจสอบทันที หรือไม่ถ้ามีคนติดต่อหวังจัวไม่ได้ ถ้าเรื่องปกติต่างๆ บังเอิญสอดคล้องกันพอดี ก็อาจจะเผยพิรุธทันที
ที่จริงโอกาสที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือฉวยโอกาสตอนยังไม่มีเรื่องอะไรถอนกำลังออกไปเดี๋ยวนี้ แต่เจตนาของเหมียวอี้ก็ชัดเจนอยู่แล้ว ทางนี้ยังต้องพยามยามสุดความสามารถเพื่อทำให้สำเร็จ
จนกระทั่งได้สมาชิกในครอบครัวเจ็ดคนมาไว้ในมือ ไป๋เฟิ่งหวงถึงได้ถอนกำลังอย่างรวดเร็ว
ที่เรียกว่าถอนกำลังอย่างรวดเร็วก็คือหนีไปทันที แต่ไม่ใช่การวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่ง อยู่ที่นี่ไม่กล้าทำอะไรที่สะดุดตาเกินไป ‘หวังจัว’ เดินลงภูเขาจวนหัวหน้าภาคอย่างอกสั่นขวัญแขวนตลอดทาง ตั้งแต่สมัยโบราณ เรื่องที่เหมือนจะสำเร็จแต่มาล้มเหลวทีหลังนั้นมีเยอะแยะ ตอนที่ยังไม่ได้ออกจากที่นี่โดยสมบูรณ์ ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าพูดทั้งนั้นว่าทำสำเร็จแล้ว
เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าอาศัยตัวตนของ ‘หวังจัว’ ออกไปจากที่นี่สะดวกกว่าใช้ตัวตนของ ‘เนี่ยนเซี่ย’ ประการแรกก็เพราะหวังจัวคือเจ้าของที่นี่ ประการต่อมาก็เพราะเป็นการออกไป ไม่ใช่การเข้ามา ตลอดทางที่ออกไปไม่มีใครตรวจสอบเลย กลับมีคนทำความเคารพเยอะด้วยซ้ำ
พอออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้แล้ว ‘หวังจัว’ ก็หนีหายไปในจุดลึกของดาราจักร จากนั้นเปลี่ยนทิศทางเหาะหนีด้วยความเร็วสูงอีกครั้ง ไป๋เฟิ่งหวงรู้ว่าต้องมีคนไม่น้อยเห็นทิศทางที่นางไป สรุปก็คือหลังจากหนีพ้นสายตาที่จะตรวจสอบได้แล้ว ไป๋เฟิ่งหวงก็กลายร่างเป็นคนอื่นทันที แล้วดิ้นรนหนีสุดชีวิต นางไม่กล้าหนีไปทางแดนรัตติกาล ไปอีกทิศทางหนึ่งแทน ยอมอ้อมไปไกลดีกว่า
อาศัยวรยุทธ์ของนาง การมุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วทั้งที่มีก็ย่อมไม่ช้าอยู่แล้ว นางออกจากน่านฟ้าชวดเกิงเร็วมาก แล้วก็ออกจากเขตทัพตะวันออก จนกระทั่งเข้าไปในเขตทัพใต้ เมื่อออกจากทัพตะวันออกที่อาจจะเสี่ยงโดนปิดล้อมได้ทุกเมื่อแล้ว ไป๋เฟิ่งหวงถึงได้โล่งอก แล้วหาที่ลับตาคนหยุดพัก
หลังจากโยนเหยียนซิวออกมา ไป๋เฟิ่งหวงก็ทำท่ากอดอกเชิดปลายจมูกขึ้นฟ้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนกำลังบอกเหยียนซิวว่าไม่มีเรื่องอะไรที่นางจัดการไม่ได้
เหยียนซิวรีบหยิบแผนที่ดาวมาตรวจดู พบว่าตัวเองมาถึงทัพใต้แล้ว จึงรีบเงยหน้าถาม “ได้คนมาหรือเปล่า?”
“ข้าลงมือด้วยตัวเอง ตัดคำว่า ‘หรือเปล่า’ ออกไปได้เลย!” ไป๋เฟิ่งหวงพ่นเสียงทางจมูก โบกมือโยนทั้งครอบครัวออกมา แล้ววางมาดสูงส่งอวดดีอีกครั้ง
เหยียนซิวไม่ได้เถียงกลับที่นางเคยบอกว่า ‘เสี่ยงอันตรายเอาชีวิตมาทิ้ง’ เขารีบตรวจสอบทันที หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นครอบครัวนั้น เขาก็ดีใจมาก เก็บคนพวกนั้นเอาไว้แล้ว
“เอาล่ะ ไปบอกเจ้าแซ่หนิวนั่นด้วย ต่อไปอย่าเอาเรื่องบ้าบอแบบนี้มารบกวนข้าอีก ไปละ!” ไป๋เฟิ่งหวงพูดทิ้งท้าย ทำท่าจะจากไป
“ช้าก่อน!” เหยียนซิวรีบตะโกนหยุดนาง แล้วกุมหมัดคารวะ “ยังต้องรบกวนเจ้าอีกหน่อย ข้าต้องรีบกลับไป กลัวชักช้าแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง เจ้าเหาะได้เร็ว รบกวนไปส่งข้าอีกสักครั้ง”
“น่ารำคาญ ปิดงานสิ จะไปแล้ว” ไป๋เฟิ่งหวงสะบัดแขนเสื้ออย่างทนรำคาญไม่ไหว
เหยียนซิวไม่ถือสานาง รู้ว่าครั้งนี้นางสร้างผลงานใหญ่แล้วจริงๆ ถ้าไม่มีปีศาจตนนี้ ก็ไม่มีทางทำภารกิจสำคัญครั้งนี้สำเร็จได้เลย
“รอประเดี๋ยว!” หลังจากเหยียนซิวกุมหมัดขอบคุณแล้ว ก็โบกมือเรียกฟางอ้าวหลินออกมา พร้อมนำลูกน้องสี่คนของเขาออกมาด้วย ห้าคนสลบไสลกลิ้งอยู่ในทะเลทรายที่มีลมทรายพัดม้วนเข้ามา หลังจากเหยียนซิวทำอะไรบางอย่างบนตัวสี่คนนี้แล้ว ก็หยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าเขียนอะไรลงไป เขียนเสร็จแล้วก็ยัดใส่ปกเสื้อตรงหน้าอกฟางอ้าวหลิน เสร็จแล้วถึงได้พยักหน้าบอกใบ้ไป๋เฟิ่งหวงว่าไปกันได้แล้ว
“เจ้าไม่ฆ่าปิดปากพวกเขาเหรอ?” ไป๋เฟิ่งหวงแปลกใจ
“ไม่ต้อง นายท่านมีแผนการอีกอย่าง!” เหยียนซิวตอบ
ไป๋เฟิ่งหวงพึมพำเบาๆ ไม่รู้ว่าเหมียวอี้กำลังเล่นอุบายอะไร นางโบกแขนเสื้อเก็บเหยียนซิวเข้ากระเป๋าสัตว์แล้วพุ่งขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ฟางอ้าวหลินที่แทบจะโดนลมทรายพัดกลบก็ไอ “แค่กๆ” เขาลุกขึ้นแล้วพ่นเม็ดทรายออกจากปากกับจมูก แต่ไม่นานก็หันมองสภาพแวดล้อมรอบๆ อย่างมึนงง สายตาไปหยุดอยู่บนตัวลูกน้องอีกสี่คนแล้วงงอีกประเดี๋ยวหนึ่ง พอลองร่ายอิทธิฤทธิ์ ก็พบว่าใช้พลังอิทธิฤทธิ์ได้อย่างอิสระ เหมือนจะไม่ได้รับความเสียหายอะไร จากนั้นรีบตรวจดูของในกำไลเก็บสมบัติ พบว่าสมบัติส่วนใหญ่ยังไม่ได้ถูกปล้นไป ข้างในยังมีแผนที่ดาว จึงรีบเรียกออกมาดูตำแหน่งของตัวเอง พอพบว่าตัวเองมาอยู่ในอาณาเขตทัพใต้แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ในขณะนี้เอง ลูกน้องทั้งสี่ของเขาก็ทยอยกันฟื้นขึ้นมา แต่ละคนลุกพรวดแล้วมองสำรวจโดยรอบ หนึ่งในนั้นถามอย่างประหลาดใจ “นายท่าน นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
ฟางอ้าวหลินเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ภาพสุดท้ายในความทรงจำของเขาก็คือตัวเองอยู่ในถ้ำมืดสลัว ส่วนตอนหลังเกิดอะไรขึ้นเขาก็ไม่รู้แล้ว ยอดฝีมือระดับนั้นจะปล้นตนแค่เพื่อทรัพย์สินเงินทองเชียวหรือ?
รู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าไม่ชอบมาพากล แผ่นหยกแข็งๆ ตรงหน้าอกหลบเลี่ยงการสังเกตของเขาไม่ได้ เขายื่นมือเข้าไปในคอเสื้อ หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูแล้ว ก็พบตัวอักษรสี่ตัวในนั้น : ติดต่อเหยียนซู่!
หมายความว่าอะไร? ฟางอ้าวหลินสงสัย รีบหยิบระฆังดาราที่ใช้ติดต่อเหยียนซู่ออกมา แล้วเขย่าติดต่อนาง
ประโยคแรกที่เหยียนซู่ตอบกลับมาฟังดูร้อนรนมาก : เจ้าเป็นอะไรไป ทำไมไม่ติดต่อกลับมาเลย?
ฟางอ้าวหลินแปลกใจ ลองคำนวณเวลาที่แยกออกจากกัน น่าจะเพิ่งแยกกันไม่นานนี่ ทำไมถึงร้อนรนจะติดต่อตนขนาดนั้น จึงถามว่า : มีเรื่องอะไร?
เหยียนซู่ : เจ้ารู้อยู่แก่ใจแล้วยังแกล้งถามอีกเหรอ? สองคนนั้นแอบเข้าไปในจวนหัวหน้าภาคนานแล้ว ตอนนี้ยังไม่ตอบอะไรกลับมาเลย ข้ากังวลมาก เจ้าแน่ใจนะว่าจะไม่เป็นอะไรจริงๆ?
ฟางอ้าวหลินงุนงงราวกับหมอกน้ำค้างลงสมอง : แอบเข้าไปในจวนหัวหน้าภาค หมายความว่าอะไร?
เหยียนซู่ร้อนใจทันที : ฟางอ้าวหลิน เจ้าหมายความว่าอะไร? คิดจะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้งเหรอ?
ทั้งสองเถียงกันนิดหน่อย จนกระทั่งหลังจากฟางอ้าวหลินเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็เหม่อค้างไปเลย
ขณะที่ทั้งสองกำลังติดต่อกัน ในที่สุดในจวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิงก็เกิดเรื่องแล้ว เรื่องแดงขึ้นมาเพราะบ่าวไพร่ของบรรดาอนุภรรยาของหวังจัวหานายหญิงตัวเองไม่พบ ตอนแรกก็นึกว่าตามหวังจัวออกไป จนกระทั่งพบว่าบ่าวไพร่ของอนุภรรยาที่เหลือก็ไม่พบนายหญิงตัวเองเหมือนกัน พวกบ่าวรับใช้ถึงได้พบความผิดปกติ พอจะไปถามฮูหยินเอก ก็พบว่าฮูหยินไม่อยู่แล้วเช่นกัน ไปหาหวังจัวก็ไม่เจอ จนสุดท้ายก็พบว่าสนมฉินก็หายไปแล้วเหมือนกัน
แม่ทัพใหญ่ของกองทัพองครักษ์ที่ทำหน้าที่อารักขาตกตะลึงพรึงเพริด ฆ่าคนในจวนหัวหน้าภาคไปหลายคนมาก สุดท้ายรองหัวหน้าภาคก็ติดต่อไปหาหวังจัว ใครจะคิดว่าหวังจัวกลับพูดประมาณว่า เขาเล่นไม่ไหว ไม่เล่นแล้ว จะพาทั้งครอบครัวโบยบินจากไปไกล
นี่ไม่ใช่คำพูดล้อเล่นหรอกเหรอ? ทั้งจวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิงเละเทะเป็นหม้อโจ๊กทันที กำลังพลทั้งหมดออกค้นหา กำลังพลของเหยียนซู่ก็ย่อมอยู่ในนั้นด้วย
หลังจากได้รู้ว่าหวังจัว ‘โบยบินจากไปไกล’ แล้ว เหยียนซู่ก็เรียกได้ว่าโล่งใจมาก นางดาออกแล้วว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับสองท่านนั้นแน่นอน เพียงแต่ค่อนข้างประหลาดใจว่าสองท่านนั้นทำได้อย่างไร แต่ถึงอย่างไรวิธีการแบบนั้นก็เป็นผลดีต่อนางมากที่สุดจริงๆ ไม่เปิดโปงนางง่ายๆ
ขณะที่นำกำลังพลค้นหาจนทั่ว เหยียนซู่ก็ย่อมแอบบอกสถานการณ์ให้ฟางอ้าวหลินรู้ทันที
ฟางอ้าวหลินตกใจจนเหงื่อกาฬแตก เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องสนมของราชันสวรรค์แล้ว อ๋องสวรรค์อิ๋งจะเดือดดาลขนาดไหนก็คงเดาได้ไม่ยาก ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้ ทั้งยังกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย เรื่องนี้ต่อให้เขาจะไปสารภาพ แต่ก็ไม่รู้แม้กระทั่งว่าผู้ร้ายเป็นใคร ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น จุดจบของเขาต้องไม่ดีแน่ อยู่ที่ทัพตะวันออกหากยั่วโมโหแค่ราชันสวรรค์ก็ยังคุยง่ายหน่อย แต่ถ้าไปยั่วโมโหอ๋องสวรรค์อิ๋ง ก็ไม่อยากจินตนาการถึงผลที่ตามมาเลย
เริ่มจากที่เขากับเหยียนซู่สมคบเป็นชู้กัน ถึงได้เปิดโอกาสผู้ร้ายฉกฉวยประโยชน์ อาศัยแค่ข้อหานี้ก็ทำให้เขาไม่กล้านึกถึงผลที่ตามมาแล้ว
เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ร้ายทำได้อย่างไร ต่อให้เหยียนซู่พาคนเข้ามาแล้ว แต่การป้องกันแน่นหนาขนาดนั้น อีกฝ่ายจะพาหวังจัวและครอบครัวออกไปเงียบๆ ได้อย่างไร? นี่ไม่ใช่แค่คนสองคน แต่เป็นเจ็ดคน ยอดฝีมือในจวนหัวหน้าภาคตายกันไปหมดแล้วเหรอ?
เขาถึงขั้นสงสัยไปที่ตัวหนิวโหย่วเต๋อ สงสัยว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนทำหรือเปล่า อย่างไรเสียก่อนหน้านี้ก็เคยเจอหนิวโหย่วเต๋อที่ประตูใหญ่หน้าจวนหัวหน้าภาคมาแล้ว อีกทั้งหนิวโหย่วเต๋ออาจจะมีเจตนานี้จริงๆ ด้วย แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ สงสัยอะไรไปก็ไม่จำเป็นแล้ว โชคดีที่ผู้ร้ายไม่ฆ่าปิดปากเขา และไม่สร้างความเคลื่อนไหวอะไรในจวนหัวหน้าภาคด้วย แต่พาคนออกไปจัดการโดยตรงเลย เป็นการให้ทางรอดแก่เขาหากแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องและอยู่เงียบๆ อย่างผู้ไม่เกี่ยวข้อง
แต่เขาก็เข้าใจผลที่ตามมาชัดเจน ตราบใดที่เขาปิดบังไม่รายงานเรื่องนี้ จุดอ่อนที่ใหญ่มากของเขาก็ตกอยู่ในมือของผู้ร้ายแล้ว เกรงว่านี่คงจะเป็นจุดประสงค์ที่คนร้ายปล่อยเขาไว้
วิธีการนี้โฉดชั่วเกินไปแล้ว!
ฟางอ้าวหลินแค้นจนกัดฟันกรอด ทั้งกลัวในความโฉดชั่วของผู้ร้าย และกลัวในพลังอภินิหารของผู้ร้ายด้วย ขนาดนี้ยังทำได้เลย กล้าทำได้อย่างไร? ช่างใจกล้าคับฟ้าจริงๆ!
ตอนนี้เขานึกเสียใจทีหลังจนไส้เขียว แค้นที่ตอนแรกไปคบชู้กับเหยียนซู่ ไม่อย่างนั้นจะซวยเจอหายนะหล่นใส่อย่างนี้เหรอ?
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้เขามีทางเลือกด้วยหรือไง? จะให้เข้ามอบตัวเองก็ไม่กล้า ถ้าไม่มอบตัวก็ยังรักษาชีวิตไว้ได้ชั่วคราว
มาถึงขั้นนี้แล้วก็ตัดสินใจเลือกได้ไม่ยาก ฟางอ้าวหลินรีบหยิบระฆังดารามากำชับเหยียนซู่ ว่าให้ย่อยเรื่องนี้ลงกระเพาะไปเสีย ไม่อย่างนั้นเจ้ากับข้าก็ตายสถานเดียว!
หลังจากเก็บระฆังดาราเงียบๆ ฟางอ้าวหลินก็ชำเลืองมองลูกน้องสี่คนที่อยู่ไกลๆ ในดวงตาฉายแววสังหาร จะต้องฆ่าปิดปาก!
พอเกิดความคิดนี้ขึ้น เขาก็แค้นผู้ร้ายอีกครั้ง ผู้ร้ายทิ้งสี่คนนี้ไว้ให้เขาจัดการเอง ถ้าฆ่าสี่คนนี้แล้ว เขาจะต้องหมดทางกลับตัวโดยสิ้นเชิง ในภายหลังจะต้องถูกผู้ร้ายควบคุมแน่…
เพล้ง! ถ้วยหยกตกแตกกระจายบนพื้น น้ำชาสาดกระเซ็น
ในจวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง อิ๋งจิ่วกวงอาละวาดเหมือนฟ้าผ่า ทุบทำลายข้าวของ ชี้นิ้วคำรามใส่จั่วเอ๋อร์ “จะเป็นไปได้ยังไง! สิ้นเปลืองความคิดมากมายให้ไต่เต้าขึ้นตำแหน่งหัวหน้าภาค จู่ๆ มาทิ้งลาภยศแล้วบอกว่าโบยบินจากไปไกลอะไรนั่น เจ้าเชื่อเหรอ? เหลวไหลสิ้นดี!”
จั่วเอ๋อร์เองก็ตกใจจนไม่กล้าพูดดัง ตอบว่า “ถ้าเป็นอย่างที่ท่านอ๋องเดาจริงๆ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าคนที่ทำเรื่องนี้คือตระกูลเซี่ยโห้วกับหนิวโหย่วเต๋อ ทั้งยังมีความสามารถพาคนออกไปเงียบๆ แบบเทพไม่รู้ผีไม่เห็น เกรงว่าคงจะมีแต่ตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว!”
อิ๋งจิ่วกวงตะคอกด้วยความเดือดดาล “เจ้ามาพูดอยู่ต่อหน้าข้าตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร? ข้าตั้งใจส่งกำลังพลมากมายขนาดนั้นไปเฝ้าคุ้มครอง แต่สนมของราชันสวรรค์กลับหายไปจากอาณาเขตข้าแล้ว แล้วต่อไปข้าจะชี้แจงต่อประมุขชิงยังไง?”
“บ่าวไร้ความสามารถ!” จั่วเอ๋อร์รีบคุกเข่าข้างเดียว
“เซี่ยโห้วลิ่ง ดี ข้าก็ประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ ตบรางวัลบนหน้าข้าหนึ่งฉาดโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียง ดี ดีมาก!” อิ๋งจิ่วกวงกระฟัดกระเฟียดเดินไปเดินมา สุดท้ายก็หยุดฝีเท้า “แล้วก็หนิวโหย่วเต๋อนั่นอีก ข้าไม่สนว่าเรื่องนี้เขาจะเป็นคนทำหรือไม่ ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าไม่อยากเห็นเขาอีก ไม่อยากได้ยินชื่อเขาด้วย ทำให้เขาหายไปซะ!” เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวประโยคนี้
“รับทราบ!” จั่วเอ๋อร์ตอบอย่างหวั่นเกรง
…………………………