พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1829 ผู้อาวุโสเผ่าเทพอสรพิษดำ
“ผู้อาวุโส?” สวีถังหรานอึ้งไปชั่วขณะ พวกหยวนกงก็ตะลึงเช่นกัน ได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่ก
จากนั้นหยวนกงก็ถามอีกว่า “ไม่ทราบว่าเป็นผู้อาวุโสท่านไหน?”
ใต้สังกัดอ๋องเผ่าเทพอสรพิษดำไม่ได้มีผู้อาวุโสแค่คนเดียว พวกเขามาที่นี่ก็ไม่ได้ติดต่อกับคนระดับผู้อาวุโสเช่นกัน เพียงติดต่อกับผู้ช่วยคนหนึ่งของผู้อาวุโสเท่านั้น และผู้ช่วยคนนี้ก็มีอำนาจไม่น้อย เป็นเพียงคนเดียวที่ดูแลตลาดการค้าภายนอกของสระน้ำมังกรดำ เป็นผู้รับผิดชอบตลาดมืดแห่งนี้ด้วย ชื่อว่าโหยวฮ่วน
พวกสวีถังหรานเองก็คุยกับโหยวฮ่วนคนนี้เรียบร้อยแล้ว ถึงได้สร้างเครือข่ายการร่วมงานกับเผ่าเทพอสรพิษดำได้ ส่วนโหยวฮ่วนก็รับผิดชอบตลาดมืดของที่นี่ สวีถังหรานจึงฉวยโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อนฉกฉวยร้านค้าที่นี่ไว้หนึ่งร้าน
“ย่อมเป็นผู้อาวุโสโหยวโยวที่รับหน้าที่ดูแลบริเวณนี้อยู่แล้ว และเป็นมารดาของท่านผู้ช่วยด้วย” แม่นางจิงจิงกล่าว
พวกเขาสบตากันอีกครั้ง หยวนกงถามอีกว่า “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสโหยวโยวจะพบเจ้าบ้านรองของพวกเราด้วยธุระอะไร?” สวีถังหรานมาที่นี่โดยไม่ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง แต่มาในนามเจ้าบ้านรองของพันธมิตรทะเลดาว เปลี่ยนชื่อเป็นสวีไห่
แม่นางจิงจิงตอบว่า “เหมือนมีเรื่องบางอย่างต้องการให้ท่านบุรุษสวีช่วย ส่วนรายละเอียดข้าก็ไม่รู้ชัดเจน ท่านบุรุษสวี เชิญตามข้ามาเถอะ อย่าให้ผู้อาวุโสรอนาน”
สวีถังหรานเริ่มกระปรี้กระเปร่า ด้วยสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ ไม่กลัวว่าเครือข่ายจะกว้างขึ้น กลัวก็แต่เครือข่ายจะไม่กว้าง ถ้าสร้างความสัมพันธ์กับผู้อาวุโสเผ่าเทพอสรพิษดำได้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร อย่างน้อยในภายหลังหากทางนี้มีเรื่องอะไรจะได้ผ่อนผันให้ได้ จึงพยักหน้าทันที “ได้!”
“เชิญท่านบุรุษสวี!” แม่นางจิงจิงยื่นมือเชิญ
สวีถังหรานเพิ่งจะขยับเท้า หยวนกงที่ขมวดคิ้วเล็กน้อยก็แอบถ่ายทอดเสียงห้ามไว้ “นายท่าน เรื่องราวกะทันหันเกินไป สถานการณ์ไม่ชัดเจน ระวังตัวไว้หน่อยดีกว่า”
สวีถังหรานกลับไม่คิดอย่างนั้น “พวกเราไม่มีความแค้นอะไรกับเผ่าเทพอสรพิษดำ น่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก”
แม้จะพูดอย่างนี้ แต่ก็ไม่กล้าประมาทเช่นกัน จึงพาหยวนกงและพวกฝีมือดีไปด้วยกัน
กลุ่มของสวีถังหรานเดินขวักไขว้อยู่ในทางใต้ดิน มีคนของเผ่าเทพอสรพิษดำอย่างจิงจิงนำทางอยู่ข้างหน้า ระหว่างทางยามเจอภูตผีปีศาจอะไร อีกฝ่ายก็ล้วนหลีกทางให้พวกเขาก่อน เห็นได้ชัดที่อาณาเขตดาวสระน้ำมังกรดำไม่มีใครอยากมีเรื่องกับคนเผ่าเทพอสรพิษดำ อยู่ที่นี่เผ่าเทพอสรพิษดำคือเจ้าถิ่นเผด็จการ คนทั่วไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว
เมื่อมาถึงก็เจอตำหนักใต้ดินแห่งหนึ่ง พวกสวีถังหรานไม่ได้มาเป็นครั้งแรก เป็นที่อยู่ของโหยวฮ่วนนั่นเอง ตอนที่เข้ามาใกล้ ในโพรงทั้งเล็กทั้งใหญ่ของกำแพงรอบด้านก็มีอสรพิษดำยื่นหน้าออกมาแลบลิ้นจ้องพวกเขาเป็นระยะ เมื่ออยู่ที่นี่ หากคนนอกอยากจะเข้าใกล้ตำหนักใต้ดินเงียบๆ ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ประตูใหญ่ของตำหนักใต้ดินก่อสร้างได้มีพลังอำนาจ ตรงประตูมีทหารยามสวมเกราะของเผ่าเทพอสรพิษดำยืนถือขวานปากไก่ กำลังจ้องกลุ่มคนที่เดินเข้ามาด้วยสายตาเย็นเยียบ
หลังจากพวกเขาเข้ามาในตำหนักหลัก จู่ๆ แม่นางจิงจิงก็หยุดเดินแล้วหันตัวมา ยื่นมือขวางเอาไว้ “ผู้อาวุโสมีเรื่องสำคัญจะพบแค่ท่านบุรุษสวีคนเดียวเท่านั้น คนอื่นโปรดรออยู่ตรงนี้”
พวกหยวนกงทำสีหน้าระแวดระวังทันที สวีถังหรานขมวดคิ้วเล็กน้อย บอกว่า “นี่เป็นลูกน้องคนสนิทของข้าทั้งนั้น มีเรื่องอะไรไม่ต้องหลบเลี่ยงพวกเขาก็ได้”
แม่นางจิงจิงส่ายหน้า “บอกสิ่งนี้กับข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ ผู้อาวุโสบอกแล้วว่าจะพบท่านสวีคนเดียว”
สวีถังหรานครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง ทางแดนรัตติกาลกับที่นี่ไม่มีความเกี่ยวข้องเรื่องผลประโยชน์อะไรกัน ทั้งสองฝ่ายไม่มีความแค้นใดๆ ต่อกัน รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องทำร้ายตน ตอนที่เขาเพิ่งจะก้าวเข้าไป พวกหยวนกงก็ส่งเสียงห้ามพร้อมกัน “นายท่าน!”
ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับสวีถังหราน พวกเขาก็ไม่มีทางไปชี้แจ้งกับท่านหัวหน้าภาคได้เลย
สวีถังหรานหยุดเดินแล้วหันตัวมา กล่าวกับพวกลูกน้องด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสโหยวโยวให้เกียรติ สวีก็มิอาจไม่รับไว้ ไม่เป็นไร ไปประเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวก็กลับ!” เขากดมือลง บอกใบ้พวกลูกน้องไม่ให้วู่วาม พูดจบก็หันตัวเดินตามแม่นางจิงจิงไปที่ตำหนักหลัง เจ้าเวรนี่ผ่านประสบการณ์โชกโชนมาหลายปี เรียกได้ว่าเห็นโลกกว้างมาจนชิน ความใจกล้าก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย พลังอำนาจในตัวก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน
หยวนกงหันกลับมา แอบถ่ายทอดเสียงบอกคนข้างกายว่า “สั่งให้คนของเราออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้เดี๋ยวนี้ ถ้าประสบเหตุไม่คาดคิดอะไร หรือภายในครึ่งชั่วยามไม่เห็นพวกเราตอบกลับ ก็รายงานสถานการณ์ต่อหัวหน้าภาคทันที”
ต้วนอวิ๋นเปียวถือระฆังดาราอันหนึ่งไว้ในกระบอกแขนเสื้อ รีบติดต่อกำลังพลที่อยู่รักษาการณ์ข้างนอก
ด้านหลังของตำหนักหลังมีเส้นทางอีกทาง ด้านบนฝังเลี่ยมไข่มุกราตรีเพิ่มบรรยากาศขมุกขมัวไปอีกแบบ ทำให้คนรู้สึกอึดอัด
ระหว่างทางมีกระแสน้ำไหลพุ่งแรงเหมือนน้ำตก พอเข้าไปได้สองร้อยจั้งก็ถึงปลายทาง มีตำหนักใต้ดินที่ใหญ่โตอลังการอีกแห่งปรากฏอยู่ตรงหน้า เมื่อเดินเข้ามาในตำหนักใต้ดิน สวีถังหรานก็เห็นผู้ชายปล่อยผมยาวคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว เขาคือผู้ช่วยโหยวฮ่วนที่คุมตลาดมืดแห่งนี้ เพียงแต่ตอนนี้สายตาของสวีถังหรานกลับถูกดึงดูดจากสตรีวัยกลางคนที่นั่งสง่าอยู่บนบันไดตำหนักหลักแล้ว
แต่งกายเหมือนกับแม่นางจิงจิง มีเพียงหน้าอกและใต้หว่างขาที่มีเกล็ดดำปิดไว้ เพียงแต่ระดับความอวบอัดนั้นก็ทำให้คนใจเต้นรัวจริงๆ เอวบางที่ทำให้คนรู้สึกว่าใช้สองมือโอบได้ เรือนร่างมีส่วนเว้าส่วนโค้งไร้ที่เปรียบ ขาเรียวยาวขาวดุจหยก บนไหล่กลมกลึงสองข้างสวมห่วงโลหะเอาไว้ ยืนเท้าเปล่าอยู่ด้านบน ดวงตางามคู่นั้นเย็นยะเยือก เค้าโครงใบหน้าที่สวยประณีตให้ความรู้สึกว่ามีมิติมาก
ลายงูดำตรงหว่างคิ้วเป็นสิ่งพิสูจน์แล้วว่านางมีวรยุทธ์ระดับสำแดงฤทธิ์
จุดที่สตรีวัยกลางคนผู้นี้แตกต่างกับแม่นางจิงจิงที่สุดก็คือผมยาวทั้งศีรษะ ผมยาวดำขลับจนเป็นประกายสีม่วงอ่อนๆ ผมยาวจนลากอยู่บนพื้น ตอนนั่งนิ่งอยู่เบื้องบนนั้นสวยประณีตราวกับหยกแกะสลัก
ครั้งแรกที่เห็นผู้หญิงคนนี้ ก็บรรยายได้เพียงคำว่า ‘น่าทึ่ง’
“ผู้ช่วยโหยว คาดว่าท่านนี้คงจะเป็นผู้อาวุโสโหยวแล้ว” สวีถังหรานที่เข้ามาข้างในคำนับโหยวฮ่วน แล้วกุมหมัดคำนับสตรีวัยกลางคนที่นั่งอยู่เบื้องสูงอีก
ในดวงตาโหยวฮ่วนฉายแววหลากหลายความรู้สึก พยักหน้าตอบว่า “เป็นมารดาของข้า!”
แม่นางจิงจิงที่นำทางมาหันตัวเดินออกไปแล้ว สวีถังหรานหันกลับไปมองแวบหนึ่ง แล้วหันกลับมากุมหมัดถามสตรีที่นั่งอยู่เบื้องสูงอีก “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสโหยวมีอะไรจะกำชับผู้น้อย?”
ผมยาวประกายม่วงขยับเองโดยไร้ลม ลอยขึ้นมาอย่างนุ่มนวล โหยวโยวลุกขึ้นช้าๆ ผมยาวปลิวพลิ้วอยู่ระหว่างเอวขณะก้าวเท้าเรียวลงบันได เอวโยกไหวเบาๆ เปล่งเสียงที่ฟังดูอึมครึมและมีเสน่ห์ราวความฝัน “ได้ยินว่ารองหัวหน้าภาคสวีถังหรานจากจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลมาที่สระน้ำมังกรดำ ไม่ทราบว่าท่านบุรุษสวีไห่รู้จักหรือเปล่า?”
สวีถังหรานตะลึงงัน จากนั้นรีบหันมองรอบๆ พบว่าสี่ด้านแปดทิศมีแต่อสรพิษดำกำลังเลื้อย พวกมันกลายร่างเป็นชายรูปร่างกำยำมาล้อมเขาไว้ ตัดทางถอยเขาแล้ว ขนาดบนเพดานยังมีหลายคนเลื้อยขึ้นมาจ้องเขาแล้วเลย
สวีถังหรานตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ใช้สายตาเย็นเยียบมองโหยวฮ่วน แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ผู้ช่วยโหยว หมายความว่าอะไร?”
โหยวโยวเดินเข้ามาทีละก้าวพร้อมถามด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย “ข้าถามว่าเจ้ารู้จักหรือไม่?”
สวีถังหรานรู้ว่าการที่อีกฝ่ายถามอย่างนี้สดงว่ารู้อะไรมาบางแล้ว จึงตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เป็นข้าเอง แล้วจะทำไมเหรอ?”
“รองหัวหน้าภาคสวีแฝงตัวมาหลอกพวกเราสองแม่ลูกที่นี่ คิดว่าพวกเราสองแม่ลูกรังแกง่ายงั้นเหรอ?” โหยวโยวที่ยืนอยู่ไม่ไกลถามเสียงราบเรียบ
พอได้ยินแบบนี้ สวีถังหรานก็รู้ตัวทันทีว่าเกิดปัญหาแล้ว ตามที่เขารู้มา คนของตำหนักสวรรค์ที่มาติดต่อทำการค้าที่นี่โดยไม่ใช้ตัวตนที่แท้จริงมีเยอะมาก ไม่ได้มีแค่สวีถังหรานคนเดียว ทำไมต้องยัดข้อหานี้ใส่เขาคนเดียวด้วย เห็นได้ชัดว่าจงใจหาเรื่อง
“ผู้อาวุโสโหยวกล่าวเกินไปแล้ว ในเมื่อผู้อาวุโสโหยวจะพูดอย่างนี้ให้ได้ เช่นนั้นก็เรื่องการซื้อขายก็ช่างเถอะ คิดเสียว่าสวีไม่เคยมา ขอตัว!” สวีถังหรานกุมหมัดคารวะ แล้วหันตัวเดินออกไปเลย
“คิดว่าพวกเราสองแม่ลูกรังแกง่ายจริงๆ ด้วย ยังไม่ทันให้คำชี้แจงก็จะไปแล้วเหรอ?” โหยวโยวแสยะยิ้ม
พอเสียงนางเงียบลง ชายฉกรรจ์ที่เข้ามาล้อมก็พลันสะบัดแส้ยาวตะขอหนามคล้ายๆ แส้สยบมังกรออกมา
สวีถังหรานยกแขนขึ้น โบกทวนยาวในมือแทงขึ้นไปด้านบน เกิดเสียงสะเทือนดังโครมคราม หินดินแผ่นใหญ่ถล่มลงมา เขารู้ชัดอยู่แก่ใจ ว่าด้วยวรยุทธ์ของโหยวโยว ตัวเองก็ไม่มีทางหนีพ้น จึงฉวยโอกาสส่งเสียงเตือนพวกหยวนกง
แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน สวีถังหรานอาศัยตอนดินหินปลิวร่วงลงมราวกับฝน รีบพุ่งทะยานขึ้นฟ้า หมายจะฝ่าผิวดินขึ้นไป
พรึ่บ! โหยวโยวพลันเอียงหน้าสะบัด ผมยาวยืดขยายยาวอีกครั้ง ผมยาวครึ่งศีรษะยิงออกไปราวกับฝนลูกธนู ชั่วพริบตาเดียวก็ทะลุหินดินเหล่านั้น
พอสะบัดผมอีกครั้ง ก็ดึงคนที่อยู่ท่ามกลางหินดินปลิวว่อนออกมา สวีถังหรานราวกับถูกผมม่วงทั้งศีรษะเสียบจนพรุนเป็นร้อยแผล นอกจากอวัยวะสำคัญที่ไม่เป็นอะไร บนตัวก็เรียกได้ว่าเต็มไปด้วยเลือด สภาพเหมือนไม่ใช่คนแล้ว ทวนยาวในมือตกลงพื้น ตัวถูกลากมาตรงหน้าโหยวโยวในชั่วพริบตาเดียว หมดความสามารถที่จะต้านทานแล้ว เขาหายใจหอบ เลือดออกปากออกจมูกขณะถลึงตาจ้องโหยวโยว
โครม ตรงทางออกด้านนอกมีเสียงเข่นฆ่าอันดุเดือดดังมา
บึ้ม! หนึ่งในเผ่าเทพอสรพิษดำกระแทกกองหินจนเปิดออก ตกลงพื้นกระอักเลือด พวกหยวนกงโจมตีฝ่าเข้ามาด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด แต่ละคนสวมเกราะรบเข่นฆ่าอย่างบ้าระห่ำ เผ่าเทพอสรพิษดำที่ล้อมโจมตีทยอยร่วงตกพื้น ต้านทานการบุกสังหารของคนพวกนี้ไม่ไหว ภูเขาสะท้านแผ่นดินสะเทือน อุโมงค์ใต้ดินที่มั่นคงแข็งแรงราวกับจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” โหยวโยวตะคอกเสียงเย็น เผ่าเทพอสรพิษดำที่ล้อมโจมตีถอยออกไปทันที เหลือไว้เพียงงูดำเต็มพื้นที่เริ่มปรากฏร่างเดิม
เมื่อไม่มีใครห้าม พวกหยวนกงก็รีบถืออาวุธบุกเข้ามาหมายจะช่วยคน
โหยวโยวยื่นมือออกมา คว้าคอหอยของสวีถังหรานเอาไว้ “ลองกล้าขยับดูสักนิดสิ”
พวกหยวนกงกลัวจะลูบหน้าปะจมูก หยวนกงรีบนำระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้
“ข้าเป็นขุนนางที่ได้รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ นางตัวแสบ เจ้าบังอาจนัก!” สวีถังหรานที่ทำสีหน้าดุร้ายตะโกนด้วยเสียงแหบอย่างเดือดดาล
“จัดการ!” โหยวโยวเอ่ยอย่างสบายๆ มีหลายคนพุ่งเข้ามากดสวีถังหรานพลิกลงกับพื้นทันที แล้วจ่ออาวุธไว้ที่คอสวีถังหราน
ผมยาวหดกลับมาจากตัวสวีถังหราน สวีถังหรานเจ็บจนครางเบาๆ หลังจากถูกดึงให้ลุกขึ้นแล้ว ก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “นางตัวดี อย่าตกอยู่ในมือข้าแล้วกัน ไม่อย่างนั้นเจ้าจะได้เสียใจเพราะเกิดมาผิดท้องแน่!”
เพี้ยะ! โหยวโยวใช้หลังมือตบหน้าเสียงดังสนั่น ตบจนสวีถังหรานเลือดกลบปาก ฟันร่วงออกมาหลายซี่ สวีถังหรานสลบไสลคาที่
หยวนกงที่ติดต่อกับเหมียวอี้ได้รับคำชี้แนะจากเหมียวอี้มาแล้ว ทุกอย่างอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องปกป้องชีวิตสวีถังหราน!
หยวนกงเก็บระฆังดารา แล้วถามเสียงต่ำ “พวกเรากับเผ่าเทพอสรพิษดำไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน ทำไมต้องทำอย่างนี้?”
“ใช้ชื่อปลอมมาหลอกลวงพวกเราสองแม่ลูก ทั้งยังสังหารพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำของข้าที่นี่ ยังกล้าพูดอีกเหรอว่าไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน?” โหยวโยวถาม
หยวนกงจึงบอกว่า “ถ้ามีอะไรก็ปล่อยคนมาก่อนแล้วค่อยคุยกัน ที่นี่คืออาณาเขตของเผ่าเทพอสรพิษดำ คงไม่ถึงขั้นกลัวพวกเราจะหนีไปหรอกใช่มั้ย?”
โหยวโยวเชิดคางไปทางศพตรงประตูตำหนักใต้ดิน “ยังต้องคุยอะไรอีกเหรอ? ถ้าอยากให้ข้าปล่อยคนก็ไม่ยากหรอก เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลของพวกเจ้าต้องให้คำอธิบาย”
“อยากได้คำอธิบายอะไร?” หยวนกงถาม
“เจ้าเป็นใคร เป็นตัวแทนจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลได้หรือเปล่า?” โหยวโยวถาม
“ข้าคือผู้บัญชาการใหญ่หยวนกง อยู่ใต้สังกัดจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล นายท่านหัวหน้าภาคให้อำนาจข้าแล้ว มีเรื่องอะไรก็คุยกับข้าได้เลย” หยวนกงกล่าว
……………