พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1830 ดอกโยวถานอมตะ
ไม่มีประโยชน์ อีกฝ่ายไม่ชายตามองผู้บัญชาการใหญ่เล็กๆ คนเดียว ไม่คุยกับหยวนกงเลย บอกให้พวกเขาไสหัวไป ต้องการให้หนิวโหย่วเต๋อมาชี้แจงด้วยตัวเอง
สวีถังหรานตกอยู่ในมืออีกฝ่ายแล้ว ทางนี้จึงไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้ว กลัวลูบหน้าปะจมูก จะสู้ก็ไม่มั่นใจว่าจะชนะ สระน้ำมังกรดำคือรังของเผ่าเทพอสรพิษดำ พลังของโหยวโยวเองก็ถึงระดับสำแดงฤทธิ์แล้ว ไม่เปิดฉากสังหารพวกเขาก็นับว่าใจกว้างมีเมตตาแล้ว เพียงแต่ก็มองออกเช่นกันว่าโหยวโยวยังหวาดกลัวอยู่บ้าง
อย่างน้อยจนกระทั่งตอนนี้ที่หยวนกงยอมถอยแล้ว ต่อให้พวกเขาจะสังหารพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำไปไม่น้อย แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้สังหารกำลังพลตำหนักสวรรค์เลยสักคน ต่อให้สวีถังหรานตกอยู่ในมือพวกเขาแล้ว แต่ก็แค่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น
ขณะมองภาพพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำเก็บกวาดศพในที่เกิดเหตุ โหยวฮ่วนก็หันกลับมาถ่ายทอดเสียงบอกโหยวโยวว่า “ท่านแม่ แบบนี้คุ้มเหรอ?”
โหยวโยวถอนหายใจเบาๆ แล้วถ่ายทอดเสียงตอบ “ข้าเองก็ไม่อยากปล่อยพวกเขาไป แต่การสังหารขุนนางตำหนักสวรรค์ไม่ใช่เรื่องเล็ก เรื่องแบบนี้ส่งให้พวกเขาไปทำเองเถอะ ถ้าพวกเราหลบเลี่ยงได้ก็หลบเลี่ยง”
“ข้าไม่ได้ถามถึงสิ่งนั้น ข้าถามว่าพวกเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้มันคุ้มเหรอ?” โหยวฮ่วนถาม
โหยวโยวย้ายสายตาออกจากคนที่กำลังเก็บกวาดที่เกิดเหตุ นางมองตัวโหยวฮ่วน พร้อมบอกว่า “พวกเขาให้ผลประโยชน์เจ้าเท่าไร เจ้าถึงช่วยพูดให้พวกเขาแบบนี้? หรือเจ้าคิดว่าผลประโยชน์ที่ตระกูลอิ๋งให้น้อยกว่าที่พวกเขาได้?”
โหยวฮ่วนสูดหายใจลึก “ไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์น้อยหรือมาก หลายปีมานี้ เผ่าเทพอสรพิษดำอยู่ผ่านมาหลายยุค อาศัยเหตุผลพิเศษในการดำรงอยู่เพื่อปกป้องชีวิตตัวเองมาตลอด แต่ไหนแต่ไรมาก็วางตัวเป็นกลาง การเข้าไปยุ่งกับการต่อสู้ภายในตำหนักสวรรค์ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาด ท่านแม่ ฟังข้าสักครั้งเถอะ กลับตัวตอนนี้ยังทันที!”
โหยวโยวสีหน้าเย็นเยียบ “ทันเหรอ? เจ้ากำลังล้อเล่นหรือไง? ตั้งแต่วันที่ถูกตระกูลอิ๋งเพ่งเล็ง ตั้งแต่วันที่ตระกูลอิ๋งตัดสินใจจะใช้ประโยชน์พวกเรา พวกเราก็เลือกอะไรไม่ได้แล้ว เจ้ายินดีจะเลิกควบคุมตลาดมืดที่สระน้ำมังกรดำเหรอ? ถ้ากุมช่องทางผลประโยชน์ของเผ่าเทพอสรพิษดำไว้ ก็จะมีประโยชน์มากต่อการเลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโสของเจ้าในอนาคต เจ้าตัดใจทิ้งลงเหรอ?”
“ข้ายอมรับว่าตระกูลอิ๋งมีอำนาจมาก แต่ก็ยังมายุ่งกับทางนี้ไม่ได้หรอก พวกเราไม่จำเป็นต้องก้มหัวเชื่อฟัง!” โหยวฮ่วนเถียงกลับ
โหยวโยวจึงถ่ายทอดเสียงตะคอก “เจ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว! ตระกูลอิ๋งมายุ่งกับทางนี้ไม่ได้ แต่ตระกูลอิ๋งมีกำลังมากพอที่จะทำลายทางนี้ให้พังได้ ตระกูลอิ๋งสามารถบีบจนตลาดมืดไม่มีที่ยืนอยู่บนดาวเคราะห์วงนี้ ขอเพียงตระกูลอิ๋งลงมือ ภายในเผ่าเทพอสรพิษดำก็มีคนให้ความร่วมมืออยู่แล้ว มีคนจ้องอยากจะย้ายตลาดมืดไปไว้ที่อาณาเขตของพวกเขา เจ้ามีแต่ต้องต้องกุมตลาดมืดไว้ในมือเท่านั้น เจ้าถึงจะมีสิทธิ์พูดในเผ่าเทพอสรพิษดำ ที่ข้าทำแบบนี้ก็เพื่อใครล่ะ?”
โหยวฮ่วนจ้องนาง พร้อมกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ท่านแม่ หรือท่านลืมอำนาจที่หนุนหลังหนิวโหย่วเต๋อไปแล้ว? หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนของตำหนักนารีสวรรค์ ท่านนั้นที่อยู่ตำหนักนารีสวรรค์ก็เป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ไปมีเรื่องกับตระกูลเซี่ยโห้วถือเป็นเรื่องดีเหรอ?”
โหยวโยวบอกลูกชายว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว จุดนี้ข้ารู้ดีกว่าเจ้า หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนของตำหนักนารีสวรรค์ แต่ตำหนักนารีสวรรค์กับตระกูลเซี่ยโห้วมีอำนาจอ่อนแอในที่ประชุมราชสำนัก ไม่มีสิทธิ์แสดงความเห็นเท่าไรเลย ถ้าประมือกันในที่ประชุมราชสำนัก พวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลอิ๋ง แล้วอีกอย่าง มีความเป็นไปได้ต่ำที่ตระกูลเซี่ยโห้วจะช่วยหนิวโหย่วเต๋อ เพราะตระกูลเซี่ยโห้วส่งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เข้าวังเพื่อจะควบคุมนาง ไม่มีทางทนดูนางปีกกล้าขาแข็งบินเองได้หรอก พูดได้อีกอย่างก็คือ ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ค่อยแยแสความเป็นความตายของหนิวโหย่วเต๋อ ไม่ออกหน้าเพื่อหนิวโหย่วเต๋อด้วย ถ้าแม้แต่จุดนี้ข้ายังมองไม่เข้าใจ มีหรือที่จะกล้าสอดมือเข้าไปก้าวก่ายเรื่องนี้”
โหยวฮ่วนขมวดคิ้ว นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
โหยวโยวหันตัวมาโบกมือ เก็บสวีถังหรานที่สลบเป็นตายเอาไว้ ตอนเดินผ่านโหยวฮ่วนนางพูดทิ้งท้ายว่า “ตามข้ามา!”
สองแม่ลูกออกจากตำหนักใต้ดิน ออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้ไปที่ดาวเคราะห์อีกดวง สภาพแวดล้อมเหมือนดาวเคราห์ที่มีตลาดมืด ที่จริงดาวทุกดวงที่เผ่าเทพอสรพิษดำอยู่อาศัยล้วนมีสภาพแวดล้อมเหมือนกัน เพียงแต่บนดาวดวงนี้สร้างตำหนักหลังหนึ่งที่สูงกว่าเครือข่ายต้นสับปลับเอาไว้เท่านั้นเอง
เผ่าเทพอสรพิษดำมีระบบการสืบสกุลทางมารดา ที่เผ่านี้ผู้หญิงมีฐานะเหนือกว่าผู้ชาย ไม่มีการแต่งงานผูกมัดอะไรทั้งนั้น ขอเพียงฝ่ายหญิงเต็มใจ ไม่ว่าผู้ชายคนไหนของเผ่าเทพอสรพิษดำก็ล้วนสามารถมีวาสนารักชั่วคราวกับนางได้ ดังนั้นลูกชายลูกสาวที่เกิดมาล้วนใช้แซ่ตามมารดา โดยส่วนใหญ่จะไม่รู้แน่ชัดว่าบิดาของลูกคือใคร โหยวฮ่วนก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง
ผู้ชายที่ได้กุมอำนาจทางทหารเหมือนโหยวฮ่วนมีไม่มาก ทั้งเผ่าเทพอสรพิษดำมีผู้อาวุโสเก้าคน มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เป็นผู้ชาย หน้าที่หลักก็คือเสี่ยงชีวิตรบราฆ่าฟัน แม้แต่อ๋องอสรพิษดำก็ยังเป็นผู้หญิงเลย
ตำหนักใต้ดินแห่งนี้ตั้งชื่อให้สอดคล้องกับชื่อของโหยวโยว ชื่อว่าตำหนักโยว
ทุกที่ในตำหนักมีอสรพิษดำนอนขดตัวแลบลิ้น ในเรือนรับแขกมีคนที่ไม่ใช่คนของเผ่าเทพอสรพิษดำหลายคน
ในเรือนมีดอกไม้กลีบสีขาวบริสุทธิ์ดุจหยกซ้อนกันจนสูงหนึ่งฉื่อ(33 เซนติเมตร) ริมทางเดินก็มีดอกไม้แปลกเกสรสีทองยาวเกือบหนึ่งฉื่อโชยกลิ่นหอมอัศจรรย์จนทำให้สมองคนสดชื่นเช่นกัน ชายชราชุดเทาคนหนึ่งเอามือไขว้หลังยืนดมอยู่ตรงหน้าดอกไม้ ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือเจ๋อชุนชิวผู้จัดการใหญ่ของร้านค้าตระกูลอิ๋ง ตรงจุดที่ไม่ไกลมีทหารอารักขายืนอยู่หลายคน
หลังจากโหยวโยวและลูกชายเข้ามาแล้ว โหยวโยวที่เห็นฉากนี้ก็ถามพร้อมรอยยิ้มทันที “หรือว่าผู้จัดการใหญ่สนใจดอกไม้นี้?”
เจ๋อชุนชิวหันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วตอบกลั้วหัวเราะ “ข้าเพิ่งเคยเห็นดอกไม้นี้เป็นครั้งแรก หรือว่านี่จะเป็น ‘ดอกโยวถานอมตะ ‘ ในตำนาน?”
โหยวโยวพยักหน้ายิ้ม “ผู้จัดการใหญ่สายตาแหลมคม นี่คือ ‘ดอกโยวถานอมตะ ‘ หากใช้กลิ่นของดอกไม้นี้อาบน้ำเป็นประจำ จะมีผลคงความอ่อนเยาว์ให้นักพรตมนุษย์ และถ้าอาบให้ศพก็จะรักษาสภาพไม่ให้เน่าเปื่อย ข้าเองก็บังเอิญพบเลยได้มาต้นหนึ่ง ถ้าผู้จัดการใหญ่ชอบ ตอนกลับก็สามารถนำกลับไปด้วยได้”
“น้ำใจนี้ยากจะปฏิเสธ เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว” เจ๋อชุนชิวกุมหมัดขอบคุณอย่างเริงร่า นี่คือของดี ถ้าส่งไปที่จวนท่านอ๋อง ผู้หญิงในจวนท่านอ๋องจะต้องโปรดปรานแน่นอน
โหยวโยวพยักหน้ายิ้ม แล้วโบกมือโยนสวีถังหรานที่กำลังสลบไว้ตรงเท้าเจ๋อชุนชิว
“คนที่ผู้จัดการใหญ่ต้องการ ข้าส่งมาให้ตามที่สั่งแล้ว”
เจ๋อชุนชิวเลิกคิ้ว ใช้ปลายเท้าเขี่ยหน้าสวีถังหรานให้หันตรงแล้วมองสำรวจ เขาพยักหน้าเบาๆ แล้วขมวดคิ้วถามอีกว่า “แค่เขาเองเหรอ? ไหนว่าข้างกายเขามีคนติดตามอยู่ไม่น้อย?”
โหยวโยวถอนหายใจเบาๆ “พูดตามตรงนะ เผ่าเทพอสรพิษดำของข้าไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องพรรค์นี้ แต่ในเมื่อผู้จัดการใหญ่ออกหน้าด้วยตัวเอง ข้าจะไม่ไว้หน้าก็ไม่ได้ แต่อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์ หวังว่าผู้จัดการใหญ่จะเข้าใจความลำบากใจของฝ่ายข้า”
เจ๋อชุนชิวขมวดคิ้วเล็กน้อย โหยวโยวกำชับพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำที่อยู่ข้างๆ อีกว่า “ต่อไปตอนผู้จัดการใหญ่ออกไป อย่าลืมช่วยผู้จัดการใหญ่เก็บดอกไม้ให้เรียบร้อย” จากนั้นก็หันมาพูดกับเจ๋อชุนชิวด้วยรอยยิ้มอีก “ดอกไม้นี้เป็นของดี แต่การเพาะเลี้ยงค่อนข้างยุ่งยาก ต้องใช้ของมีพิษทำเป็นปุ๋ย”
เจ๋อชุนชิวปรายตามอง ‘ดอกโยวถานอมตะ’ เริ่มคลายคิ้วที่ขมวดแล้วเช่นกัน ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับจำนวนคนที่จับได้อีก
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้กลิ่นหอมของดอกไม้หรือเปล่า สวีถังหรานที่นอนอยู่บนพื้นสะลึมสะลือฟื้นขึ้นมา เขาลืมตาช้าๆ พลังอิทธิฤทธิ์ถูกควบคุมไว้ บนตัวเต็มไปด้วยบาดแผล ขยับตัวลำบากมาก ได้แต่เอียงหน้ามองซ้ายมองขวา สายตาจ้องอยู่ที่ตัวเจ๋อชุนชิว มองออกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนของเผ่าเทพอสรพิษดำ
เจ๋อชุนชิวเอามือรูดเคราพลางกล่าวหยอกว่า “ได้ยินว่าเป็นคนขี้ประจบข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ อาศัยการประจบสอพลอไต่เต้าขึ้นตำแหน่งรองหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ที่ข้าพูดถึงใช่เจ้าหรือเปล่า?”
สวีถังหรานถ่มน้ำลายปนเลือด แล้วถามอย่างยากเย็น “เจ้าเป็นใคร?”
“ข้าเป็นใครแล้วสำคัญด้วยเหรอ?” เจ๋อชุนชิวถาม
“ข้าเป็นขุนนางตำหนักสวรรค์ พวกเจ้าช่างบังอาจ!” สวีถังหรานโมโห
เจ๋อชุนชิวพูดเหยียดว่า “ขุนนางตำหนักสวรรค์เหรอ? ตาแก่คนนี้เห็นขุนนางตำหนักสวรรค์มาเยอะแล้ว ส่วนใหญ่เวลาเจอข้าก็ต้องนอบน้อมเกรงใจกันทั้งนั้น เจ้านับเป็นตัวอะไรล่ะ?”
“ไอ้แก่นี่ อย่าให้ตกอยู่ในมือข้าแล้วกัน!” สวีถังหรานโกรธแค้น
เจ๋อชุนชิวแสยะยิ้ม พูดในใจว่า เจ้าคิดว่าตัวเองจะรอดชีวิตกลับไปได้เหรอ?
ทันใดนั้นก็ยกเท้าขึ้น เหยียบกดใบหน้าสวีถังหรานแนบกับดิน ในปากสวีถังหรานพ่นฟองเลือดออกมา พยายามออกแรงดิ้นรน สีหน้าสุดแสนเจ็บปวดทรมาน
เจ๋อชุนชิวยกเท้าขึ้น แล้วพูดหยอกอีก “ลองปากดีให้ข้าฟังอีกสิ”
สวีถังหรานหอบหายใจสองสามครั้งแล้วหุบปาก เขาเป็นคนที่อ่านสถานการณ์ออก ชายชาตรีย่อมทนความอัปยศชั่วคราวได้ เก็บรักษาชีวิตเอาไว้ก่อน รอให้เหมียวอี้คิดหาวิธีมาช่วยเขา…
ตอนนี้เหมียวอี้นั่งลำพังอยู่ในตำหนักใหญ่ของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ในตำหนักที่กว้างโล่งเหลือเขาเพียงคนเดียว กันคนอื่นออกไปหมดแล้ว ในดวงตาฉายแววสังหาร สีหน้าเย็นเยียบดุร้าย
อวิ๋นจือชิวก็ถูกเขาเรียกให้ไปอยู่เป็นเพื่อนเสวี่ยหลิงหลงแล้ว ตอนนี้เสวี่ยหลิงหลงยังไม่รู้สถานการณ์ของสวีถังหราน ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องทำให้นางกังวลใจ
พวกหยวนกงรายงานสถานการณ์ทางสระน้ำมังกรดำมาแล้ว อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยคน ต้องการให้เหมียวอี้ไปขอโทษด้วยตัวเอง
ตอนแรกเหมียวอี้สงสัยว่าหยวนกงกำลังวางกับดักหรือเปล่า อย่างไรเสียหากสวีถังหรานตาย เขาก็คือคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะรับตำแหน่งต่อจากสวีถังหราน จะเปลี่ยนฐานะได้อย่างรวดเร็ว แต่ตอนหลังมาปรึกษากับหยางชิ่ง หยางชิ่งตัดความเป็นไปได้ว่าหยวนกงวางกับดักออก ถ้าจะทำก็คงทำตั้งแต่ตอนเข้าสระน้ำมังกรดำแล้ว เป็นจังหวะที่ไม่ถูกต้อง สายลับอย่างหยวนกงไม่มีทางทำอะไรน่าสงสัยให้ตัวตนเปิดโปงง่ายๆ ด้วยฐานะของหยวนกง ไม่มีทางที่จะกระโดดไปเป็นคู่กรณีอยู่ข้างหน้าสุด โดยเฉพาะเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เขาอาจจะกลายเป็นเป้าโจมตีได้ง่ายมาก และจะดึงดูดความสนใจมากขึ้นด้วย สิ่งที่สวีถังหรานประสบตอนนี้ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ถ้าไม่ถูกคนเพ่งเล็งแล้วจะกลายเป็นอย่างนั้นเหรอ ดังนั้นจึงไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เบื้องหลังของหยวนกงต้องการ
สุดท้ายความคิดเห็นของทั้งสองก็แทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน มีความเป็นไปได้สูงว่าตระกูลอิ๋งลงมือแล้ว ต้องการใช้สวีถังหรานมาเป็นเหยื่อล่อเหมียวอี้!
ขณะเดียวกัน หยางชิ่งก็ให้เหมียวอี้เตรียมตัวคิดให้ดี ในเมื่อสวีถังหรานตกอยู่ในมือตระกูลอิ๋ง โดยภาพรวมก็ไม่มีโอกาสรอดชีวิตกลับมาแล้ว ถ้าเหมียวอี้ไม่ไปช่วย ทางนั้นก็อาจจะให้ปล่อยให้สวีถังหรานมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักพัก แต่ถ้าเขาไปถึงเมื่อไร นั่นก็จะถึงคราวตายของสวีถังหราน!
ในเมื่อไม่ว่าจะซ้ายหรือขวาก็ช่วยออกมาไม่ได้…เช่นนั้นก็ทำได้เพียงทอดทิ้ง!
คำแนะนำของหยางชิ่งก็คือ คนที่สามารถกดดันตระกูลอิ๋งได้ในตอนนี้ เหมียวอี้เองก็นำผลประโยชน์ไปแลกเปลี่ยนกับอีกฝ่ายไม่ไหว ต่อให้แลกได้ก็ไม่กล้านำออกมาแลกอยู่ดี แค่ทำพอเป็นพิธีเพื่อให้คำอธิบายกับพวกลูกน้องก็พอ ตอนนี้ก็ทำได้เพียงเท่านี้แล้ว
ไตร่ตรองคำชี้แนะของหยางชิ่งนานมาก สุดท้ายเหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ เพราะหากจะเคลื่อนกำลังพลไปทางนั้น ตามหลักแล้วต้องได้รับอนุญาตจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก่อน ถึงอย่างไรครั้งนี้ก็ไม่เหมือนครั้งก่อนที่ทำงานให้นาง ครั้งนั้นไม่ว่าอะไรนางก็ยอมแบกรับไว้หมด!
เหมียวอี้ยกระดับความสำคัญของสวีถังหรานไว้ค่อนข้างสูง บอกว่าเขาเป็นคนที่คอยหาเงินให้ฝ่ายนี้ พอเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ยินว่าตระกูลอิ๋งต้องการจะตัดช่องทางรายได้ของนาง ก็รู้สึกโกรธแค้นเช่นกัน ถามว่า : ยังช่วยชีวิตคนกลับมาได้หรือเปล่า?
เหมียวอี้ : ต่อให้ช่วยกลับมาไม่ได้ก็อย่ายกประโยชน์ให้พวกเขา ข้าน้อยขออนุญาตเคลื่อนพล ไปล้างเลือดสระน้ำมังกรดำ!
…………………