พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1833 ข้าน้อยยังพอเอาชีวิตรอดไปวันๆ ได้
ก่อนเข้าไปข้างไหน ได้เห็นฉากทัพใหญ่ยืนถืออาวุธตั้งเรียงราย ประเมินจำนวนคนคร่าวๆ แล้วก็พบว่าเทออกมาทั้งรังจริงๆ โหยวฮ่วนรู้สึกตึงเครียดในใจเล็กน้อย
ชัยภูมิถ้ำสวรรค์ ในศาลาเปิดโล่ง เหมียวอี้นั่งยกจอกสุราดื่มอยู่หลังโต๊ะหินอย่างเอื่อยเฉื่อย เหยียนซิวและหยางเจาชิงยืนอยู่ทางซ้ายและขวาข้างหลังเขา ส่วนชิงเยว่กับหลงซิ่นก็ยืนอยู่ข้างโต๊ะหิน
โหยวฮ่วนประเมินสภาพแวดล้อมในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ครู่เดียว หลังจากเห็นคนในศาลาแล้ว ก็พอจะเดาได้ว่าคนที่นั่งอยู่ในนั้นคือหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลหนิวโหย่วเต๋อ มียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สองคนคุ้มกัน น่าจะไม่ผิดแล้ว หยวนกงที่นำทางมายืนอยู่ข้างบันไดนอกศาลา แบบนี้ก็ยิ่งไม่ผิดแล้ว
“ผู้ช่วยโหยวฮ่วนจากเผ่าเทพอสรพิษดำคารวะท่านหัวหน้าภาค” โหยวฮ่วนที่หยุดยืนอยู่ตรงตีนบันไดเปิดหมวกออก คารวะโดยเผยโฉมหน้าที่แท้จริง เขาเองก็เพิ่งเคยเจอเหมียวอี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน เขารู้สึกแปลกใจกับหัวหน้าภาคในตำนานท่านนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะมองหลายครั้ง
เหมียวอี้เหลือบตาขึ้น กวาดสายตาเย็นเยียบมองแวบหนึ่ง พอทั้งสองสบตากัน โหยวฮ่วนก็รู้สึกหนาวในใจ รู้สึกได้ถึงเจตนาสังหารในดวงตาอีกฝ่าย จึงรีบหลุบตาลง
ในตอนนี้โหยวฮ่วนรู้สึกขมปากขมคอ ทอดถอนใจว่าเหตุใดมารดาจึงต้องลำบากขนาดนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นหัวหน้าภาคทั่วไปก็คงไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขา ถึงอย่างไรเผ่าเทพอสรพิษดำก็เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจหลายฝ่าย แล้วดูตอนนี้สิ เขากลับต้องเป็นฝ่ายถ่อมาก้มหัวให้ก่อน
“ใจกล้าไม่เบา จับคนของข้าไป แล้วยังกล้ามามาโอ้อวดถึงที่นี่ คิดว่าจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลของข้าไร้คนงั้นเหรอ?” เหมียวอี้แสยะยิ้ม มีอำนาจบารมีในตัวเองทั้งที่ยังไม่ได้แสดงความโกรธ
โหยวฮ่วนแก้ตัวทันที “หัวหน้าภาคเข้าใจผิดแล้ว ตอนนั้นพวกเราสองแม่ลูกก็ถูกตระกูลอิ๋งกดดันจนไร้ทางเลือกเช่นกัน เดิมทีตระกูลอิ๋งต้องการจะให้จับคนทั้งหมดของท่านหัวหน้าภาคเอาไว้ เป็นแม่ข้าที่พยายามรับมือเต็มที่ในระหว่างนั้น ต่อให้อยู่ในสถานการณ์ที่ลูกน้องของนายท่านสังหารพี่น้องของเผ่าเทพอสรพิษดำไปแล้วไม่น้อย แต่ก็ยังพยายามไม่แตะต้องคนอื่นแล้วปล่อยออกมา เรื่องนี้ให้ลูกน้องของนายท่านเป็นพยานได้…” เขาบอกเล่าความทุกข์ในใจอยู่พักหนึ่ง
เหมียวอี้จึงกล่าวเสียงเรียบว่า “ในเมื่อถูกกดดันจนไร้ทางเลือก งั้นก็คุยง่ายเหมือนกัน ปล่อยคนมาก่อนเถอะ” แม้เขาจะรู้ว่ามีความเป็นไปได้ต่ำที่จะช่วยชีวิตสวีถังหรานกลับมา แต่ก็ยังพยายามจะลองให้ถึงที่สุด
โหยวฮ่วนเงยหน้า กล่าวด้วยสีหน้าขื่นขม “คนถูกตระกูลอิ๋งนำตัวไปแล้ว พวกเราไม่มีอำนาจตัดสินใจแล้ว”
เหมียวอี้สีหน้าเย็นเยียบทันที “งั้นเจ้าถ่อมาทำอะไรที่นี่? ล้อข้าเล่นเหรอ?”
โหยวฮ่วนกุมหมัดคารวะ “ท่านหัวหน้าภาคอาจยังไม่รู้ ตระกูลอิ๋งแอบระดมทัพใหญ่ห้าล้านของทัพตะวันตกเข้ามาที่สระน้ำมังกรดำแล้ว มีเจตนาไม่ซื่อต่อนายท่าน หลังจากแม่ข้ารู้ข่าวก็ตกใจมาก สั่งให้ข้าแอบหลบสายตาตระกูลอิ๋งมาหานายท่าน บอกมาสถานการณ์ให้นายท่านรู้ จะได้ไม่ตกหลุมพรางตระกูลอิ๋ง!”
ทัพใหญ่ห้าล้าน? ชิงเยว่ หลงซิ่นและคนอื่นๆ สูดหายใจลึกด้วยความตระหนก ตระกูลอิ๋งนี่ช่าง…ไม่น่าเชื่อว่าจะดึงทัพใหญ่ห้าล้านมาสู้กับทัพใหญ่แดนรัตติกาล แบบนี้ต้องการจะฆ่าให้สิ้นซากชัดๆ! พวกเขาหันกลับไปมองเหมียวอี้ รู้สึกว่าข่าวนี้มาทันเวลาพอดี ถ้าพวกเขาไปปะทะด้วยจริงๆ ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่กล้านึกถึง
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าตระกูลอิ๋งจะลงทุนมากขนาดนี้เพื่อสู้กับเขา ต้องทำให้เขาตายให้ได้แน่นอน สงสัยหยางชิ่งจะพูดไว้ไม่ผิด ครั้งก่อนล่วงเกินตระกูลอิ๋งไว้แรงมากจริงๆ
โหยวฮ่วนรู้สึกได้ว่าบรรยากาศตรงนี้เปลี่ยนไป ในใจรู้สึกโล่งไปหนึ่งเปราะ เดาว่าน่าจะหลบศึกครั้งนี้ได้แล้ว ขอเพียงหลบศึกครั้งนี้ได้ ไม่ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะขอบคุณหรือไม่ เขาก็ไม่ถือสาอะไรทั้งนั้น
“แค่นี้น่ะเหรอ?” เหมียวอี้พลันเอ่ยถามทำลายความเงียบ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร โหยวฮ่วนหัวใจกระตุกวูบ “ไม่ทราบว่านายท่านยังอยากรู้อะไรอีก? หากผู้น้อยรู้ก็จะตอบแน่นอน”
เหมียวอี้ยกกาสุราเทให้ตัวเอง แล้วถามเหมือนไม่ใส่ใจอะไรนัก “ข้าแค่อยากจะรู้ว่าจะช่วยรองหัวหน้าภาคของข้ากลับมาได้หรือเปล่า”
“…” โหยวฮ่วนอ้าปากค้างครู่หนึ่ง “คุยกับตระกูลอิ๋งไม่ง่ายเลย แต่ท่านแม่ของผู้น้อยก็จะพยายามเต็มที่แน่นอน ผู้น้อยจะกลับไปคิดหาทางกับท่านแม่เดี๋ยวนี้ นายท่านรักษาตัวด้วย ผู้น้อยขอตัว” เขารู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของเหมียวอี้ไม่ชอบมาพากล มอบไมตรีให้มากมายขนาดนี้ แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีคำขอบคุณสักคำ เหนือความคาดหมายมาก เขารู้สึกว่าท่าไม่ดีแล้ว จึงตัดสินใจหลบเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นก่อน
“ไม่ต้องรีบ” เหมียวอี้ขัดขวาง วางจอกสุราลง แล้วจ้องเขาพร้อมถามอย่างใจเย็น “สวีถังหรานยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?” ฝั่งนี้ติดต่อสวีถังหรานมาตลอด แต่ไม่เคยติดต่อได้เลย จึงสงสัยว่าสวีถังหรานจะประสบอันตรายไปแล้วหรือเปล่า
พบว่าไม่มีทางคาดเดาอารมณ์ของเหมียวอี้ได้เลย ไม่มีทางใช้หลักการทั่วไปมาวัดได้ โหยวฮ่วนเริ่มรู้สึตึงเครียดในใจแล้ว รีบพยักหน้าตอบว่า “ยังมีชีวิตอยู่ ตระกูลอิ๋งเตรียมจะใช้นายท่านสวีเป็นเหยื่อล่อ ถ้านายท่านยังไม่ติดเบ็ด นายท่านสวีก็คงยังไม่เป็นอะไร”
เหมียวอี้หรี่ตาจ้องเขา “ข้าติดต่อเขาไม่ได้ เจ้ามีหนทางติดต่อเขาหรือเปล่า?”
โหยวฮ่วนอยากจะบอกเหมือนกันว่าไม่มีทาง แต่สัมผัสความเย็นเยียบในร่องตาอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน จึงตอบอย่างลำบากใจว่า “ผู้น้อยจะลองคิดหาทาง” ขณะที่พูดก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อมารดา ตอนนี้มีแต่ต้องให้มารดาคิดหาทางแล้ว
เหมียวอี้มีความอดทนมาก รินสุราดื่มเองอยู่อย่างนั้น รอคอยอย่างช้าๆ
ตำหนักโยว โหยวโยวทีได้รับข่าวจากลูกชายตกใจมาก เพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองติดสินหนิวโหย่วเต๋อผิดพลาดอย่างต่อเนื่อง นึกไม่ถึงว่าตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้แล้วยังคิดจะช่วยคนอีก หรือว่าความเป็นความตายของทัพใหญ่หนึ่งแสนก็ยังเทียบกับสวีถังหรานคนเดียวไม่ได้? ถ้าไม่มีกำลังพลในมือ หัวหน้าภาคแดนรัตติกาลอย่างเจ้าก็จะขาดอำนาจทางทหาร อาศัยแค่รองหัวหน้าภาคคนเดียวจะมีประโยชน์อะไร คนที่ไม่มีแม้กระทั่งชีวิตแล้วจะช่วยให้ได้ขึ้นมา คนที่ไต่เต้าถึงตำแหน่งนี้ได้ ไม่รู้จักแม้กระทั่งการชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียเหรอ?
ตอนนี้นางตระหนักได้อย่างแท้จริง ว่าไม่อาจใช้หลักการปกติมาศึกษานิสัยหนิวโหย่วเต๋อ รู้ตัวว่าตัวเองอาจจะส่งลูกชายเข้าปากเสือแล้ว
ทว่าตอนนี้ยังไม่รู้เจตนาที่แท้จริงของเหมียวอี้ ถ้าสามารถช่วยหาทางหนีทีไล่ให้ลูกชายได้สักหน่อย นางก็ยังต้องพยายามให้เต็มที่ นางจึงรีบไปหาเจ๋อชุนชิวที่เรือนรับแขก
เมื่อได้ยินว่าเหมียวอี้ส่งคนมาติดต่อโหยวโยวเพื่อยืนยันว่าสวีถังหรานยังมีชีวิตอยู่ เจ๋อชุนชิวก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ นี่คือเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายของเขาตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นคงไม่เก็บสวีถังหรานเอาไว้
สวีถังหรานที่เลือดท่วมทั้งตัวถูกนำมาโยนไว้บนพื้น ตอนที่ตกลงมาเขาส่งเสียงครางในลำคอ
พอเจ๋อชุนชิวสะบัดคาง ก็มีคนคลายผนึกบนตัวสวีถังหรานทันที แต่กลับใช้อาวุธจ่อคอเอาไว้
ตอนนี้สวีถังหรานว่านอนสอนง่าย ก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไร และไม่กล้าชักสีหน้าให้ใครไม่พอใจด้วย ทั้งตัวห่อเหี่ยวอยู่อย่างนั้น เห็นแล้วยังสงสาร ความคิดของเขาไม่ได้ซับซ้อน ถ้ายังรักษาชีวิตไว้ได้ก็พยายามรักษาไว้ อย่างน้อยถ้าทำตัวซื่อสัตย์ก็ไม่ต้องเจ็บตัว
โหยวโยวเห็นการตอบสนองที่ขี้ขลาดของสวีถังหรานแล้วคลื่นไส้นิดหน่อย มีลูกน้องแบบนี้ หนิวโหย่วเต๋อนั่นไม่กลัวตายจริงเหรอ?
เจ๋อชุนชิวเอามือลูบเคราที่คาง พลางกล่าวปนเสียงหัวเราะ “นายท่านสวี หนิวโหย่วเต๋อติดต่อมาหาเจ้า ตอนนี้ให้โอกาสเจ้าติดต่อนายท่านของเจ้าแล้ว เร็วเข้าสิ”
ชั่วขณะนั้น สวีถังหรานฮึกเหิมทันที แววตาเป็นประกาย ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาเขาทนอยู่ในความหวาดระแวงกลัวมาตลอด ไม่รู้ว่าตัวเองจะตายเหมือนกัน ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลไม่ส่งข่าวอะไรมาเลย เขาสงสัยนิดหน่อยว่าตัวเองถูกทิ้งแล้วหรือเปล่า ตอนนี้พอรู้ว่านายท่านยังไม่ทิ้งเขา ก็เหมือนได้เห็นความหวังที่จะมีชีวิตรอดอยู่บ้าง
พอมองดูปฏิกิริยาของคนรอบกาย สวีถังหรานถึงได้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้อย่างระมัดระวัง
ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์มีเสียงดัง “ปั้ง” คนที่เหลือหันไปมอง เห็นเหมียวอี้ตบวางจอกสุราในมือลงบนโต๊ะ แล้วหยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา
เมื่อสองฝั่งเชื่อมต่อสัญญาณติดแล้ว เหมียวอี้ก็ถามทันทีว่า : สวีถังหราน เจ้าไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?
สวีถังหรานค่อนข้างซาบซึ้ง : นายท่าน ข้าน้อยยังพอเอาตัวรอดไปวันๆ ได้
เหมียวอี้เงียบไปประเดี๋ยวเดียว ก่อนจะตอบว่า : ข้านำทัพใหญ่หนึ่งแสนแดนรัตติกาลมาถึงแล้ว!
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร สวีถังหรานรู้สึกคัดจมูกเล็กน้อย รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมา เขาเองก็ตระหนักได้เช่นกันว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล รู้สึกว่ามีมือขนาดใหญ่มือหนึ่งกำลังปลุกปั่นเผ่าเทพอสรพิษดำ แค่คิดก็รู้แล้วว่าใครสามารถบงการผู้อาวุโสเผ่าเทพอสรพิษดำได้ เมื่อลองชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย เขาก็เริ่มสงสัยว่าตัวเองคงถูกทิ้งแล้ว ถึงอย่างไรโลกนี้ก็มีคนประจบสอพลอยู่มากมาย มีคนมาแทนที่เขาได้ทุกเมื่อ เขารู้สึกว่าอย่างมากนายท่านก็แค่จะทำเท่าที่ทำได้ แต่ใครจะคิดว่านายท่านจะเทรังนำทัพใหญ่แดนรัตติกาลออกมาเพื่อช่วยชีวิตเขาคนเดียว ตอนนี้เขาแทบจะถามตัวเองว่า ตัวเองมีคุณธรรมหรือความสามารถอะไรที่คู่ควร!
รู้สึกเหมือนถูกลืมไว้กลางทะเลแล้วถูกคลื่นซัดออกมา ทำให้สวีถังหรานอยากจะร้องไห้จริงๆ เขาข่มความรู้สึกตื้นตันใจเอาไว้ ตอบกลับว่า : นายท่านระวังตัว เรื่องในครั้งนี้ดูไม่ค่อยชอบมาพากล
ทางนี้ไม่ได้บอกให้สวีถังหรานรู้ว่าตระกูลอิ๋งลงมือแล้ว และเหมียวอี้ก็ไม่คิดจะบอกเช่นกัน เพราะกังวลว่าเจ้าหมอนี่จะปากเบา เพราะสวีถังหรานดูเหมือนไม่ใช่คนที่มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีอะไร ถ้าให้ตระกูลอิ๋งรู้ว่าเหมียวอี้รู้แล้ว บางทีกลับจะกลายเป็นทำร้ายสวีถังหรานด้วยซ้ำ
เหมียวอี้ : ข้ารู้…ครั้งนี้ข้าอาจจะหาทางช่วยเจ้ากลับมาไม่ได้ แต่ว่า…ข้าจะล้างแค้นให้เจ้า!
จะต้องตายอยู่ที่นี่จริงเหรอ? สวีถังหรานปวดใจ พอนึกย้อนไปว่าตัวเองต้องลำบากพยายามขนาดไหนเพื่อไต่เต้าขึ้นตำแหน่งนี้ ก็ถึงได้ค้นพบความสุขของคนต่ำต้อยต่ำต้อยเหล่านั้น ตัวเองได้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้แล้วยังไงล่ะ? ตอบกลับอย่างเศร้าสลด : ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!
เหมียวอี้ : เจ้าพยายามรักษาตัวให้ดี ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็น ก็อาจจะเปิดเผยความลับได้นิดหน่อย พยายามเอาชีวิตรอดให้ได้ มีชีวิตอยู่ถึงจะมีความหวัง เสวี่ยหลิงหลงกำลังรอให้เจ้ากลับไป อย่างอื่นล้วนไม่สำคัญ!
ในดวงตาเล็กๆ มีประกายน้ำตา สวีถังหรานยังคิดจะพูดอะไรอีก ทว่าเจ๋อชุนชิวที่อยู่ข้างๆ กลับกล่าวเสียงเรียบว่า “คุยนิดหน่อยก็พอแล้ว”
เพี้ยะ! จู่ๆ ด้านข้างก็มีฝ่ามือลอยมา สวีถังหรานโดนจบจนมึน ระฆังดาราในมือถูกแย่งไปแล้ว ถูกควบคุมพลังไว้อีกครั้ง
ส่วนทางฝั่งเหมียวอี้ หลังจากพยามยามติดต่อซ้ำอีก พบว่าสวีถังหรานไม่มีการตอบสนองอะไรแล้ว ก็พอจะเดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงเก็บระฆังดาราเงียบๆ
หลังจากโหยวฮ่วนที่ยืนอยู่ตรงตีนบันไดสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง ก็กุมหมัดคารวะ “ถ้านายท่านไม่มีอะไรจะกำชับแล้ว ผู้น้อยก็ขอตัวกลับไปปรึกษากับท่านแม่ก่อน ดูว่าจะคิดหาทางช่วยนายท่านสวีออกมาได้หรือไม่”
เหมียวอี้ก้มหน้ามอง “ที่นี่ใช่ว่าใครคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป…”
“นายท่านหนิว…” โหยวฮ่วนตกใจมาก
เหมียวอี้ยังไม่ทำอะไร กล่าวอย่างใจเย็นต่อไปว่า “อยู่ที่นี่อย่างสงบใจเถอะ ถือโอกาสติดต่อแม่เจ้าด้วย บอกให้นางพยายามปกป้องชีวิตสวีถังหรานเอาไว้ ถ้าสวีถังหรานมีอันเป็นไป ข้าก็จะเอาชีวิตลูกชายนางมารองก้นโลงศพให้สวีถังหราน”
โหยวฮ่วนตกใจจนหน้าถอดสี “นายท่าน ถ้าข้ากลับไปไม่ได้ ตระกูลอิ๋งจะต้องสงสัยแน่นอน ชีวิตนายท่านสวีจะตกอยู่ในอันตราย!”
“จัดการ!” เหมียวอี้ออกคำสั่งอย่างไม่แยแส
หลงซิ่นพลันถลันตัวออกมา ใช้เท้าเตะหนึ่งที
“อั้ก!” โหยวฮ่วนหลบไม่ทัน กระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง กระเด็นตกกระแทกพื้น งอตัวร้องครวญคราง
หลงซิ่นใช้มือข้างหนึ่งหิ้วเขาขึ้นมา แล้วกระชากหัวพลางตะคอกสั่ง “ติดต่อแม่เจ้า!”
ในใจหลงซิ่นเดือดดาลเช่นกัน อย่างไรเสียในปีนั้นเขาก็เคยอยู่ตำแหน่งโหว เผ่าเทพอสรพิษดำกล้ามาหาเรื่องเสียเมื่อไรกัน แล้วดูตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงลงมืออย่างไม่ปรานี
โหยวฮ่วนที่เลือดกลบปากเอียงศีรษะ หยิบระฆังดาราออกมาด้วยสีหน้าเจ็บปวดทรมาน
หลังจากโหยวฮ่วนถูกเก็บเอาไว้แล้ว เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ในศาลาก็ถามว่า “อิงจากความเร็วในการเดินทัพตอนนี้ ต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะถึงสระน้ำมังกรดำ!”
หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ ตอบว่า “ไม่เกินสองชั่วยามขอรับ!”
เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน แล้วสั่งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เรียกรวมแม่ทัพแต่ละกอง ร่างแผนการโจมตี!”
………………