พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1834 จับตาย
“ขอรับ!” หยางเจาชิงกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง แล้วเดินก้าวยาวออกไป
ชิงเยว่กับหลงซิ่นสบตากันแวบหนึ่ง แล้วมองไปทางเหมียวอี้ที่ยืนเอามือไขว้หลังเงียบๆ ไม่รู้ว่าเหมียวอี้มีแผนการอื่นหรือว่าคิดจะช่วยชีวิตสวีถังหรานจริงๆ ถ้าเป็นอย่างหลัง ต้องการจะใช้กำลังปะทะทั้งที่รู้ว่าทัพตะวันออกแอบซุ่มทัพใหญ่ห้าล้านไว้ที่สระน้ำมังกรดำ ก็อาจไม่ใช่วิธีการที่ชาญฉลาดนัก
หยวนกงยืนเงียบอยู่ข้างล่างมาตลอด สายตาแอบซ่อนความหวาดระแวงขณะมองประเมินปฏิกิริยาของเหมียวอี้ เหมือนจะมองเส้นสนกลในบางอย่างออกแล้ว
ผ่านไปไม่นาน นักพรตบงกชกลายยี่สิบกว่าคนที่สวมเกราะรบก็เข้ามาด้านใน หลังจากทำความเคารพแล้วก็เข้ามารวมตัวในศาลา เหมียวอี้วางแผ่แผนที่และเข็มทิศโลหะที่ใหญ่เท่าผิวโต๊ะออกมา จากนั้นเริ่มใช้กระบี่วิเศษในมือชี้บนเข็มทิศพร้อมพูดวางแผน
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม ตรงประตูชัยภูมิถ้ำสวรรค์ก็มีลำแสงกระเพื่อมเป็นคลื่นไม่หยุด เหมียวอี้นำออกมาก่อน แม่ทัพทุกคนตามหลังออกมา
หยางเจาชิงที่ออกมาหลังสุดเป็นคนเก็บชัยภูมิถ้ำสวรรค์เอาไว้
ขณะยืนอยู่ริมหน้าผา เหมียวอี้ใช้ฝ่ามือข้างเดียวรองถือเกราะรบผลึกแดงบริสุทธิ์ชุดหนึ่ง พอร่ายอิทธิฤทธิ์เล็กน้อย เกราะรบก็ปล่อยลำแสงสีรุ้งออกมา แล้วม้วนขึ้นมาสวมใส่บนตัวเขา ตรงเอวห้อยกระบี่วิเศษ ทั้งชุดเป็นของวิเศษขั้นหก ตอนที่เขาบรรลุระดับบงกชรุ้งได้ไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็รวบรวมทรัพยากรไปให้ทางเยารั่วเซียนหลอมสร้างเกราะรบระดับสูงกว่าเดิมให้เหมียวอี้
ชวิ้ง! เหมียวอี้พลันชักกระบี่วิเศษตรงเอวออกมา ชี้กระบี่ขึ้นฟ้า แล้วตะโกนเสียงดังลั่น “ทั้งหมดออกเดินทาง!”
“รับทราบ!” แม่ทัพทุกคนกุมหมัดเอ่ยรับคำศัพท์ แล้วแยกย้ายกันแฉลบขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว ต่างคนต่างระดมพลของตัวเองเพื่อจัดกระบวนทัพ
จะทำอย่างนี้จริงเหรอ! ชิงเยว่ หลงซิ่นมองหน้ากันเลิกลั่กอีกครั้ง เมื่อครู่ตอนปรึกษากันก็มีความเห็นที่แตกต่างอยู่บ้าง พวกเขาสองคนต่างก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม แต่ก็ถูกเหมียวอี้ข่มไว้ เหมียวอี้บอกว่าตัวเองจะไม่ทำศึกที่ตัวเองไม่มั่นใจ บอกประมาณว่ามีแผนการของตัวเองแล้ว
แต่กลับมีเรื่องหนึ่งที่เหมียวอี้ปิดบังทุกคนเอาไว้ เขาไม่ได้เอ่ยเรื่องทัพใหญ่ห้าล้านของตระกูลอิ๋ง ทั้งสองที่รู้เรื่องนี้ก็อดกลั้นไม่พูดถึงเช่นกัน เพราะรู้ว่าพูดแล้วจะทำให้ขวัญทหารสั่นคลอน ทั้งสองเองก็เคยเป็นขุนศึกในช่วงบุกยึดใต้หล้ามาก่อน เป็นคนที่เคยทำศึกมาจนชำนาญ รู้อย่างลึกซึ้งว่าการทำลายขวัญทหารเป็นข้อห้ามที่ร้ายแรงมาก จึงไม่กล้าพูดซี้ซั้ว!
แม้ทั้งสองจะไม่พอใจกับสิ่งนี้ แต่ถ้ามองจากอีกมุม ก็ทำให้ทั้งสองมองเหมียวอี้ด้วยสายตาที่สับสนหลากอารมณ์ ศึกนี้เรียกได้ว่าโง่เขลาที่สุด ทว่าการที่เหมียวอี้ทำเพื่อลูกน้องได้ถึงขั้นนี้ ทั้งสองก็มิอาจไม่เลื่อมใส มีเจ้านายดีแบบนี้แล้วยังมีอะไรให้บ่นอีก
หยวนกงก้มหน้าเงียบๆ ขณะไปเรียกรวมกำลังพลของโถงชุมนุมอัจฉริยะ ล้วนเป็นหนึ่งร้อยกว่าคนที่ติดตามสวีถังหรานมาในครั้งนี้
หยวนกงภายนอกดูเงียบๆ แต่ในใจกลับแอบร้องว่าแย่แล้ว กำลังแอบด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเหมียวอี้ เขาย่อมรู้ชัดว่าตัวเองมีฐานะอะไร ถ้าเอาชีวิตไปทิ้งเพราะความวู่วามชั่วขณะของเจ้าหัวหน้าภาคก้นสุนัขนี่ ก็ไม่ใช่เรื่องที่คุ้มค่าเลยจริงๆ แต่ตอนนี้เขาจะหนีทัพก่อนทำศึกก็ไม่ได้ เพราะวินัยทหารไม่ใช่ของเด็กเล่น!
ผ่านไปไม่นาน ทัพใหญ่หนึ่งแสนก็ตั้งขบวนยาวเหยียดดุจมังกรเหาะพุ่งเข้าไปในจุดลึกของดาราจักรอีกครั้ง
“หยุดตั้งค่ายแล้วเหรอ?”
ตำหนักดาราจักร ประมุขชิงกำลังพลิกอ่านม้วนตำราโบราณอยู่ระหว่างชั้นหนังสือ พอได้ยินข่าวก็เงยหน้าเอ่ยถาม
“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงตอบพร้อมยิ้มบางๆ
“อยู่ห่างจากสระน้ำมังกรดำไม่ไกลแล้ว แต่จู่ๆ ก็หยุดตั้งค่าย! ดูท่าเจ้าจะพูดถูกแล้วจริงๆ ก็แค่แสร้งวางมาดตบตา จะได้ให้คำอธิบายต่อลูกน้องสะดวกก็เท่านั้นเอง” ประมุขชิงส่ายหน้ายิ้มเยาะ แล้วพลิกอ่านสิ่งที่อยู่ในมือต่อไป
หลังจากเดินเอื่อยเฉื่อยอยู่ท่ามกลางทะเลหนังสือพักหนึ่ง ซ่างกวนชิงก็ตามประมุขชิงเข้ามาในตำหนักอีก ในมือประมุขชิงหยิบตำราโบราณอะสักอย่างออกมา แล้วนั่งพิงเก้าอี้อ่านอย่างออกอรรถรส
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ซ่างกวนชิงก็หยิบระฆังดาราออกมาอีก ไม่รู้ว่าได้รับข่าวจากที่ไหน เขากระตุกมุมปากเบาๆ แอบมองประมุขชิงเป็นระยะ ทำท่าอึกอักเหมือนอยากจะพูดบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่
ประมุขชิงที่กำลังจ้องม้วนตำราราวกับหน้าผากมีตาอีกดวง ตอนพลิกกระดาษถือโอกาสถามว่า “มีอะไร?” จากนั้นวางม้วนหนังสือลงช้าๆ ดวงตาทั้งคู่กำลังจ้องมองเขา
ซ่างกวนชิงทำสีหน้าเก้อเขินนิดหน่อย “ฝ่าบาท ทัพใหญ่หนึ่งแสนแดนรัตติกาลออกเดินทางอีกแล้ว ไปที่…ไปที่…” ชักช้าไม่ยอมบอกชื่อสถานที่สักที
ประมุขชิงเลิกคิ้ว เดาออกแล้วว่าไปที่ไหน พรึบ! ม้วนตำราในมือพลันขว้างออกไป กระแทกหน้าซ่างกวนชิง
ซ่างกวนชิงโอบแขนรับม้วนตำราเอาไว้ แล้วก้มหน้าเงียบๆ
“ยังมัวเหม่ออะไร ยังไม่รีบไปจับตาดูอีก!” ประมุขชิงลุกขึ้นเอามือไขว้หลังข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็แทบจะจิ้มโดนหน้าผากเขา
“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ แล้วรีบหันตัววิ่งออกมา ถ้ารอให้จิ้มโดนหน้าผากจะต้องมีเท้าเตะตามมาแน่นอน
หลังจากประมุขชิงมองคล้อยหลังเขาด้วยความหงุดหงิด ก็เอามือไขว้หลังข้างเดียวเดินเข้าไปในตำหนักอีก จากนั้นทำสายตาครุ่นคิดพลางพึมพำ “เจ้าลูกลิงไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ หรือว่ารู้ความจริงแล้ว?”
ก๊อกๆๆ …
จวนท่านปู่สวรรค์ ในสวนต้องห้าม ใต้ต้นไม้โบราณสูงระฟ้า บนโต๊ะยาวมีควันเขียวจากธูปกำยานลอยวนเวียน เซี่ยโห้วลิ่งนั่งขัดสมาธิ หลับตาดีดกู่ฉิน เสียงฉินเดี๋ยวดังเอื่อยเดี๋ยวดังกังวาน ทำให้รู้สึกว่าคนดีดฉินกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ บางครั้งในใจก็แฝงเจตนาสังหาร
ตรงประตูใหญ่ เว่ยซูรีบร้อนวิ่งเข้ามา พอมาถึงใต้ต้นไม้โบราณ ก็รีบร้อนกุมหมัดคารวะ ไม่สนใจด้วยว่าจะรบกวนอารมณ์ศิลปินของเซี่ยโห้วลิ่งหรือไม่ กล่าวอย่างร้อนใจเลยว่า “นายท่าน คุณชายหกขอความช่วยเหลือเร่งด่วนขอรับ!”
สิบนิ้วที่ดีดฉินหยุดชะงัก เซี่ยโห้วลิ่งใช้ฝ่ามือสองข้างกดบนสายฉิน หยุดเสียงที่ดังค้างจากสายฉินที่ยังสั่น จากนั้นลืมตาขึ้นมา ดูจากปฏิกิริยาแล้ว เหมือนสงสัยว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า “เจ้าบอกว่าเจ้าหกขอความช่วยเหลือเร่งด่วนเหรอ?”
“ใช่แล้วขอรับ”
“เกิดอะไรขึ้น?”
เว่ยซูสงบสติอารมณ์ จัดระเบียบความคิด แล้วรีบบอกว่า “คุณชายหกได้ข่าวมา ว่าตระกูลอิ๋งแอบระดมทัพตะวันออกห้าล้านไปซุ่มรอที่สระน้ำมังกรดำแล้ว แต่หนิวโหย่วเต๋อกลับไม่ยอมฟังทั้งที่รู้ว่ามีกับดัก ดึงดันจะพุ่งชนกำแพง คุณชายหกขอให้นายท่านระดมกำลังคนทางนั้นเดี๋ยวนี้ เพื่อให้เตรียมพร้อมรับมือได้ทุกเมื่อ แล้วครั้งนี้หนิวโหย่วเต๋อก็มีเจตนาสังหารแล้วด้วย เกรงว่าจะลงมือกับตลาดมืดที่สระน้ำมังกรดำ คุณชายหกขอให้นายท่านอพยพคนของเราที่อยู่ตลาดมืดสระน้ำมังกรดำเดี๋ยวนี้ จะได้ไม่ติดร่างแหไปด้วย ตอนนี้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลสั่งห้ามใช้งานระฆังดาราแล้ว คุณชายหกคิดหาทางแอบส่งข่าวมา”
“ทัพตะวันออกห้าล้าน?” เซี่ยโห้วลิ่งตกใจจนลุกขึ้นยืนเช่นกัน แล้วกล่าวพลางส่ายหน้าไม่หยุด “มีกำลังพลเคลื่อนไหวมากขนาดนั้น แต่พวกเรากลับไม่รู้เรื่องเลย สงสัยจะแอบระดมทัพเกรียงไกรมาจากหลายที่จริงๆ รอบนี้อิ๋งจิ่วกวงเอาจริงแล้ว ต้องการจะฆ่าให้หมดสิ้น ยอมลำบากครั้งเดียวเพื่อกำจัดหนิวโหย่วเต๋อให้สิ้นซาก! หนิวโหย่วเต๋อนั่นบ้าไปแล้วหรือเปล่า? นี่ไม่ใช่ทัพเกรียงไกรของน่านฟ้าระกาติงนะ นี่คือทัพเกรียงไกรของทัพตะวันออก ยังคิดจะแสดงบทนำกำลังพลครึ่งกองธงไปตีทัพใหญ่หนึ่งล้านอีกเหรอ? เป็นความเพ้อฝันของคนโง่จริงๆ! หรือว่าทางหกลัทธิให้ความร่วมมือ? ไม่ถูกสิ ถ้าหกลัทธิมีการเคลื่อนไหวใหญ่โตจริงๆ ตัวตนของหนิวโหย่วเต๋อก็จะถูกเปิดโปงทันที จะหาที่ยืนในตำหนักสวรรค์ลำบากแล้ว ความเพียรพยายามที่ผ่านมาก็จะสูญเปล่า เจ้านั่นคิดจะทำอะไรกันแน่?”
เว่ยซูตอบว่า “ทางคุณชายหกไม่รู้เลยว่าหนิวโหย่วเต๋อกับหกลัทธิมีความเกี่ยวข้องกัน คาดว่าตอนนี้คงกำลังอกสั่นขวัญแขวน อีกทั้งสถานการณ์ก็คลุมเครือ คุณชายหกอาจจะมีอันตรายจริงๆ” เขาไม่สะดวกจะพูดว่าต้องช่วยคนให้ได้ เพราะกังวลว่าเซี่ยโห้วลิ่งจะมีแผนการอีกอย่าง ทำได้แค่บอกให้ชัดเจนอีกครั้งว่าคุณชายหกมีอันตราย
เซี่ยโห้วลิ่งพยักหน้า “เรื่องนี้เจ้ารีบไปจัดการ สั่งให้สมาชิกทั้งหมดที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือเต็มที่ จำไว้ พยายามอย่าให้ฐานะของเจ้าหกถูกเปิดเผย!”
“ขอรับ!” เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว เว่ยซูก็กุมหมัดเอ่ยรับคำสั่งทันที
นอกประตูใหญ่ตำหนักโยว คนหลายสิบคนเหาะลงจากฟ้า ผู้ที่นำหน้ามาเดินก้าวยาวอย่างทรนงองอาจ ข้างหลังทางซ้ายและขวามีคนเดินเรียงแถวฝั่งละหกคน คนกลุ่มนี้มองข้ามทหารยามตรงประตูตำหนักโยว เรียกได้ว่าไม่เห็นใครอยู่ในสายตา บุกเข้าไปโดยตรงเลย
แต่ทหารยามที่เฝ้าตรงประตูก็ไม่กล้าขวางพวกเขาเช่นกัน มีคนรีบเข้ามาต้อนรับและนำทางด้วยซ้ำ
เมื่อนำคนกลุ่มนี้เดินตรงมาถึงประตูตำหนักหลัง ผู้ที่นำทางถึงได้ถอยไป โหยวโยวและพวกเจ๋อชุนชิวยืนรอต้อนรับอยู่ตรงประตูตำหนักหลังแล้ว ที่ไม่ไปต้อนรับตรงประตูใหญ่เพราะกลัวจะสะดุดตาเกินไป
ผู้ที่นำหน้ามาดึงหนังปลอมบนใบหน้าออก แล้วเดินก้าวยาวเข้าไปในตำหนักหลัง เขาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นท่านโหวอิ๋ง อิ๋งอู๋หม่านนั่นเอง แสดงลักษณะท่าทางหยิ่งผยองราวกับมองสรรพสิ่งเป็นมด ลักษณะแบบนี้ก็มีแบ่งแยกเช่นกันว่าจะแสดงให้ใครดู
“คารวะท่านโหว!” เจ๋อชุนชิวกับโหยวโยวทำความเคารพอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
อิ๋งอู๋หม่านเพียงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ บอกใบ้ให้ทั้งสองถอยออกไป ทั้งสองจึงรีบไปยืนด้านข้างทันที
“ลำบากผู้จัดการใหญ่แล้ว” อิ๋งอู๋หม่านกล่าวตามมารยาทขณะเดินต่อไปข้างหน้า
เจ๋อชุนชิวที่รีบเดินตามไปพยายามเจียดรอยยิ้ม “ล้วนเป็นงานในหน้าที่ของบ่าวขอรับ”
ส่วนโหยวโยวก็แอบด่าในใจไม่หยุด นางไม่พอใจท่าทีของอิ๋งอู๋หม่านเป็นอย่างมาก ทำเหมือนนางเป็นคนนอก ทำเหมือนที่นี่คือตระกูลอิ๋ง
คนกลุ่มนี้เข้ามาในโถงหลักของตำหนักหลัง อิ๋งอู๋หม่านมองประเมินสภาพแวดล้อมข้างใน แล้วกล่าวเหมือนไม่ใส่ใจว่า “ตามที่สายลับรายงานมา อีกประมาณครึ่งชั่วยามทัพใหญ่แดนรัตติกาลก็จะถึงสระน้ำมังกรดำแล้ว ทางนี้เตรียมตัวเรียบร้อยหรือยัง?”
“เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วขอรับ เรียบร้อยแล้ว” เจ๋อชุนชิวตอบซ้ำๆ โบกมือกางแผนที่และเข็มทิศโลหะแผ่นใหญ่ออกมา เป็นของที่ใช้ยามเดินทัพทำศึก “ท่านโหวเชิญดูทางนี้”
ผู้ติดตามของอิ๋งอู๋หม่านล้อมเข้ามาดูด้วยกัน พวกเขากวาดสายตามองแผนที่ดาวที่ระยิบระยับอยู่บนบนเข็มทิศอย่างชำนาญ
เจ๋อชุนชิวยืนมือไปวงตรงจุดหนึ่งบนเข็มทิศ “ตรงนี้ก็คืออาณาเขตที่ผู้อาวุโสโหยวดูแล” พูดจบก็ใช้นิ้วแตะบนอาณาเขตผืนหนึ่ง ภายใต้การร่ายอิทธิฤทธิ์ ภาพดาวที่อยู่โดยรอบเลือนหายไป ส่วนภาพดาวตรงที่นิ้วเขาแตะก็ขยายใหญ่เต็มแผ่นอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็ชี้ดาวเคราะห์เจ็ดดวงที่อยู่ใกล้กัน “ท่านโหวโปรดดู ตรงนี้มีดาวเคราะห์ตรงกลางดวงหนึ่ง รอบข้างมีดาวเคราะห์หกดวงล้อมรอบพอดี ดาวเคราะห์หกดวงนี้เหมาะจะให้ท่านโหวตั้งทัพ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อถูกล่อมาอยู่ตรงกลางเมื่อไร ก็จะตกอยู่ในกับดักที่หนียากทันที แล้วตรงนี้ก็มีข้อดีอีกอย่าง นั่นก็คือค่อนข้างลับตาคน เวลาลงมือสู้กันไม่ค่อยมีใครสังเกตเห็นได้ง่ายๆ”
อิ๋งอู๋หม่านพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นเอียงหน้ามองไปทางโหยวโยว ทำท่าเหมือนเพิ่งสังเกตเห็นนาง “ผู้อาวุโสโหยว เหมือนพวกเราจะไม่ได้เจอกันหลายปีแล้วนะ”
โหยวโยวกวาดมองลูกน้องแววตาดุร้ายของเขาแวบหนึ่ง แล้วฝืนยิ้ม “ไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว ท่านโหวยังมีสง่าราศีเหมือนเดิม”
“เรื่องใช้สวีถังหรานเป็นเหยื่อล่อหนิวโหย่วเต๋อคงต้องฝากเจ้าแล้ว พวกเราไม่สะดวกจะเผยตัวตน ไม่อย่างนั้นจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น” อิ๋งอู๋หม่านไม่สนใจว่าโหยวโยวจะเห็นด้วยหรือไม่ พอพูดจบก็กวาดมองลูกน้องทางซ้ายและขวา “ทุกคนจำไว้ ถ้ากำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อเข้ามาติดกับดักเมื่อไร ก็เคลื่อนไหวตามคำสั่งพร้อมกันทันที ไม่ต้องอาศัยข้ออ้างอะไรทั้งนั้น ล้อมไว้ทันที จับตาย อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว!”
“รับทราบ!” ทั้งยี่สิบคนเอ่ยรับคำสั่ง
…………………