พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1841 เหตุใดเจ้าต้องทำร้ายนางด้วย
ในเวลานี้ เหมียวอี้ที่เยือกเย็นเป็นพิเศษหรี่ตาจ้องเช่นกัน ปฏิกิริยาของอ๋องอสรพิษดำทำให้เขาผิดคาดเล็กน้อย
ทว่ามีเพียงเขาที่รู้ในใจอย่างชัดเจน เขาดูเหมือนแข็งกร้าว แต่ความจริงไม่เหมาะที่จะถ่วงเวลาต่อไปแล้ว ถ้ากดดันจนอีกฝ่ายเป็นมัจฉาตายตาข่ายขาดจริงๆ ก็ไม่เป็นผลดีอะไรกับฝั่งนี้เช่นกัน หลังจากสังเกตดูฉากที่เผ่าเทพอสรพิษดำเกลี้ยกล่อมอ๋องอสรพิษดำ จนแน่ใจแล้วว่าอ๋องอสรพิษดำมีฐานะสำคัญขนาดไหนที่เผ่าเทพอสรพิษดำ เขาก็กล่าวเสียงดังว่า “ในเมื่ออ๋องอสรพิษดำจริงใจขนาดนี้ ยินดีสละตัวเองมาเป็นตัวประกัน หนิวเองก็ควรช่วยให้สมปรารถนา ก็ได้!”
พวกชิงเยว่มองเขาแวบหนึ่ง ชิงเยว่ถ่ายทอดเสียงเตือนว่า “ระวังจะมีอุบาย”
อ๋องอสรพิษดำตะคอกสั่งเผ่าเทพอสรพิษดำทันที “ข้าขอสั่งพวกเจ้าในฐานอ๋องของเผ่าเทพอสรพิษดำ ฟังคำสั่งข้า!”
“ท่านอ๋อง…” กลุ่มผู้อาวุโสสีหน้าแย่มาก
ทุกคนของเผ่าเทพอสรพิษดำมองไปที่อ๋องอสรพิษดำด้วยสายตาตื้นตันใจ ซาบซึ้งจนบรรยายเป็นคำพูดได้ยาก ให้ความรู้สึกว่าอยากจะคุกเข่าหมอบกราบ
อ๋องอสรพิษดำเหาะออกมาจากผู้อาวุโสที่เข้ามาขวาง “เจ้าปล่อยคนเผ่าข้าก่อน ข้าจะไปเป็นตัวประกันให้เจ้าเอง ต่อหน้าทุกคนของเผ่าเทพอสรพิษดำ ข้าพูดแล้วไม่คืนคำ”
เหมียวอี้ยื่นคำขาด “ไม่ได้! ถ้าอ๋องอสรพิษดำมีความจริงใจที่จะเป็นตัวประกัน ก็ต้องมาก่อน ขอเพียงเจ้ามาถึงแล้ว ข้าก็จะปล่อยคนทันที หนิวพูดจริงทำจริงมาตลอด!”
เผ่าเทพอสรพิษดำมีสีหน้าเดือดแค้นทันที อ๋องอสรพิษดำยกมือห้ามกลุ่มผู้อาวุโสไม่ให้พูดอะไร แล้วออกคำสั่งเสียงดัง “เผ่าเทพอสรพิษดำทุกคนฟังคำสั่ง ถ้าเขากล้ากลืนคำพูดตัวเอง ทุกคนของเผ่าเทพอสรพิษดำยอมแลกทุกอย่างเพื่อรุกโจมตีทันที!” คำพูดนี้นางตั้งใจให้เหมียวอี้ จากนั้นแอบถ่ายทอดเสียงต่อพวกผู้อาวุโสอีก “ปฏิบัติตามสัญญาณมือของข้า!” พอพูดจบก็ไม่รอให้ผู้อาวุโสเผ่าเทพอสรพิษดำพูดอะไรอีก ถลันตัวไปคุมเชิงระอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝ่าย กระโปรงปลิวสะบัด มงกุฏดอกไม้หัวใจสีเขียวบนศีรษะดูสะดุดตาเป็นพิเศษ
“ท่านอ๋อง!” ไม่รู้ว่ามีพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำมากมายเท่าไรร้องต้องใจ
เหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้ชิงเยว่ ชิงเยว่พยักหน้าเบาๆ ถลันตัวออกมาแล้วเช่นกัน มาตรงหน้าอ๋องอสรพิษดำ แล้วบอกว่า “ซิง ล่วงเกินแล้ว!”
“ไม่ต้องดัดจริตทำพูดดี” อ๋องอสรพิษดำแสยะยิ้ม
ชิงเยว่ไม่พูดอะไรอีกเช่นกัน รีบลงมือควบคุมอ๋องอสรพิษดำ ผนึกพลังบนตัวนาง ไม่ให้นางใช้พลังอิทธิฤทธิ์ได้ คว้าสองแขนของนางพากลับมาข้างกายเหมียวอี้ ทุกคนของเผ่าเทพอสรพิษดำมองตามอย่างตึงเครียด
ในที่สุดเหมียวอี้กับอ๋องอสรพิษดำยืนเผชิญหน้ากันในระยะใกล้
คนหนึ่งงดงามดุจเทพี คนหนึ่งคือแม่ทัพสวมเกราะรบนำหน้าทัพใหญ่ที่โหดเหี้ยมอำมหิต เป็นการคุมเชิงระหว่างคนสวมเกราะรบและคนสวมชุดผ้า เป็นการเข้าคู่ระหว่างชายชาตรีผู้แข็งแกร่งกับสตรีผู้งดงามนุ่มนวล ยามทั้งสองยืนเผชิญหน้ากันนั้นให้ความรู้สึกเหมือนเป็นภาพวาด
“ปล่อยคนสิ!” อ๋องอสรพิษดำกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เหมียวอี้ตอบอย่างเย็นชา “เจ้าวางใจเถอะ หนิวพูดแล้วคืนคำ!” พอพูดจบก็ลงมืออย่างกะทันหัน คว้าแขนอ๋องอสรพิษดำเข้ากระเป๋าเสียเลย
ชิงเยว่งุนงง ทุกคนของทัพใหญ่แดนรัตติกาลยังนึกว่าเหมียวอี้จะกลืนคำพูดตัวเอง
“ท่านอ๋อง!” ทุกคนของเผ่าเทพอสรพิษดำร้องตกใจ บางคนถึงขั้นโกรธแค้น
“ปล่อยคน!” เหมียวอี้พลันตะโกนเสียงดัง ระงับอารมณ์เผ่าเทพอสรพิษดำที่กำลังจะอาละวาดเพราะนึกว่าจะถูกทรยศในรวดเดียว
ตอนนี้กระบวนทัพทั้งสองฝ่ายพากันงุนงง ไม่ค่อยเข้าใจเจตนาของเหมียวอี้ แต่ผลจากการเคารพคำสั่งของทัพใหญ่แดนรัตติกาลก็ไม่ต้องพูดถึงเลย ในเมื่อเหมียวอี้มีคำสั่งปล่อยคนแล้ว ฝั่งนี้ก็ปฏิบัติตามเร็วมาก ผลัดกันคุมตัวคนออกมาหน้าแถว ผลักคนในมือออกไป ลอยไปทางฝั่งทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำตามแรงเฉื่อย
ฝั่งเผ่าเทพอสรพิษดำรีบมารับตัวประกันไว้ ตัวประกันที่รอดจากความตายน้ำตาไหลพรากอีกครั้ง
หารู้ไม่ว่าอ๋องอสรพิษดำที่กระเป๋าสัตว์เหมียวอี้กลับประสาทเสียอยู่ในช่องว่างที่มืดมิด คำรามอย่างเดือดดาลว่า “ปล่อยข้าออกไป! ปล่อยข้าออกไป…” แต่ไม่มีใครสนใจนาง ตะโกนไปตะโกนมา น้ำตาก็เริ่มไหล น้ำตานองหน้า เอาสองมือกุมศีรษะ นั่งลงอย่างไร้เรี่ยวแรง บนใบหน้าฉายแววสิ้นหวัง รู้แล้วว่าเหมียวอี้มองเจตนาของนางออก
เดิมทีนางจะรอให้ฝ่ายนี้ปล่อยตัวประกันเผ่าเทพอสรพิษดำ จากนั้นจะส่งสัญญาณมือถอนทัพให้เผ่าเทพอสรพิษดำทันที นางสละตัวเองเพื่อให้เผ่าเทพอสรพิษดำหลุดพ้นการต่อสู้ภายในตำหนักสวรรค์ นางเข้าใจแจ่มแจ้ง ถ้านางบอกพวกผู้อาวุโสไว้ล่วงหน้า ถ้าพวกผู้อาวุโสรู้ว่านางมารนหาที่ตาย ก็จะไม่ยอมให้นางทำอย่างนี้แน่นอน นางถึงได้คิดจะมาอยู่ฝั่งนี้ก่อนแล้วค่อยส่งสัญญาณมือออกคำสั่ง ถึงตอนนั้นแล้วนางเชื่อว่าพวกผู้อาวุโสจะแยกแยะความสำคัญได้
แต่ใครจะคิด เหมียวอี้ไม่ให้โอกาสใดๆ กับนางเลย ทำให้นางหายไปจากสายตาเผ่าเทพอสรพิษดำเสียเลย ไม่ให้โอกาสนางเล็นตุกติกอะไร
จบเห่! นางรู้ว่าจบเห่แล้ว ตัวเองทำแบบนี้ไม่ใช่การช่วยคนในเผ่า แต่เป็นการทำร้ายคนในเผ่าต่างหาก นางกลายเป็นตัวประกันตัวจริงซึ่งมีอิทธิพลมากกว่าตัวประกันจำนวนแสนกว่านั่นอีก หนิวโหย่วเต๋อจะต้องจับตัวนางไว้เพื่อออกคำสั่งกับเผ่าเทพอสรพิษดำแน่นอน เพื่อที่เผ่าเทพอสรพิษดำจะปดป้องนาง เกรงว่าพวกเขาคงไม่กล้าขัดคำสั่ง
โถ่เอ๊ย! ตัวเองทำอะไรลงไป? อ๋องอสรพิษดำเอามือกุมศีรษะกอดเข่าร้องไห้ ในใจมีแต่ความรู้สึกเสียใจและตำหนิตัวเอง ในฐานะที่เป็นอ๋องเผ่าเทพอสรพิษดำ เดิมทีควรจะปกป้องคนในเผ่า ทว่าการตัดสินใจที่ไม่ระวังของตัวเองกลับลำบากทุกคนในเผ่าแล้ว หัวใจของนางราวกับกำลังหลั่งเลือด!
ทำไมหนิวโหย่วเต๋อถึงมองทะลุเจตนาของนางได้นะ? นางคิดไม่ออก ในตอนนี้นางถึงได้รู้ว่าข่าวลือที่บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อปลุกปั่นสร้างสถานการณ์ที่ตำหนักสวรรค์แต่ไม่โดนล้มนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ไม่น่าเชื่อว่าตนจะโง่โดนเขาปั่นหัวเล่นราวกับเป็นเด็กสามขวบ
ตัวเองกลายเป็นคนบาปของเผ่าเทพอสรพิษดำแล้ว เสียใจทีหลัง! เสียใจทีหลังไร้ที่สิ้นสุด…
ขณะมองตัวประกันเผ่าเทพอสรพิษดำถูกส่งออกไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า เหมียวอี้ก็ก้มมองกระเป๋าสัตว์ตรงเอวตัวเอง แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่รุนแรงของอ๋องอสรพิษดำ
ร้องไห้งั้นเหรอ? เหมียวอี้สีหน้าเรียบเฉย แต่ยกมุมปากยิ้มหยอกล้อ สงสัยตัวเองจะตัดสินไว้ถูกแล้วจริงๆ คิดจะเล่นลูกไม้กับพ่องั้นเหรอ!
ชิงเยว่ที่อยู่ข้างๆ มองกระเป๋าสัตว์ตรงเอวเหมียวอี้ด้วยความกังวลเล็กน้อย หลังจากลังเลครู่หนึ่ง ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามว่า “นายท่าน นี่คือ?”
เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ “เจ้าให้ข้าระวังนางเล่นตุกติกไม่ใช่เหรอ?”
หลายคนที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วมองมา ชิงเยว่ไม่เข้าใจ รีบถามว่า “มีการเล่นตุกติกอะไร?”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ผู้หญิงที่ยอมสละตัวเองเพื่อคนในเผ่า ข้าทำใจเชื่อได้ยากว่านางจะปล่อยให้คนในเผ่ามาร่วมมือกับพวกเราแต่โดยดี”
ทุกคนงงไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจทันที ได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่ก
ชิงเยว่เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจเบาๆ “สงสัยนางคงคิดจะเสียสละตัวเองจริงๆ”
เหมียวอี้ใช้สายตาเย็นเยียบมองทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำที่มารับตัวประกัน “ข้าก็แค่ซ้อนแผนเท่านั้นเอง ท่านอ๋องที่รักคนในเผ่าขนาดนี้ คาดว่าคงได้รับการเทิดทูนบูชาจากคนในเผ่า คนแสนกว่าคนแลกกับนางคนเดียว คงจะไม่ขาดทุนหรอก!”
บารมีความน่าเชื่อถือคือสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นมาทีละน้อย ขั้นตอนการสร้างจะสะท้อนออกมาตอนแสดงบทบาทในเรื่องราวที่เป็นรูปธรรม เริ่มตั้งแต่ทัพใหญ่ประกาศรวมตัวที่แดนรัตติกาลจนกระทั่งตอนนี้ เหมียวอี้ระดมกำลังพล พลิกแพลงตามสถานการณ์ พอมานึกดูตอนนี้แล้วทำให้รู้สึกทึ่งจริงๆ อย่างน้อยจนกระทั่งตอนนี้ ก็ยังไม่มีใครคิดว่าตัวเองทำได้ดีกว่าเหมียวอี้
ตอนแรกที่กำลังพลฝ่ายนี้ถูกทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำล้อมไว้ ทัพใหญ่แดนรัตติกาลก็ยังวิตกกังวลอยู่บ้าง แต่ก็ได้เห็นกับตาว่าเหมียวอี้บัญชาการราวกับกำหนดเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ ขนาดอยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ยังกล้าสั่งประหารตัวประกันไปสองชุดโดยไม่ลังเล ตอนนั้นทำให้พวกเขาอกสั่นขวัญแขวนจริงๆ รู้สึกว่าศึกเลือดกำลังจะปะทุแล้ว แต่พอมาดูตอนนี้ก็พบว่าเป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิด สามารถข่มพลังอำนาจของทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำได้ อีกทั้งตอนนี้ก็ยิ่งบีบให้อ๋องอสรพิษดำยอมมาเป็นตัวประกันแล้ว เรียกได้ว่าเพิ่มความเชื่อมั่นให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลอีกเท่าตัว เริ่มเชื่อแล้วว่าแม้ตัวจะอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ แต่ถ้าศรัทธาและเชื่อฟังคำสั่งเหมียวอี้ก็จะไม่มีอะไรผิดพลาด ดังนั้นการฟังคำบัญชาการของท่านหัวหน้าภาคคือทางเลือกที่ดีที่สุด
การฟังคำสั่งบนสนามรบแตกต่างกับการเชื่อฟังคำสั่งยามปกติมาก เพราะมันเกี่ยวข้องกับชีวิตของทุกคนในครอบครัว ดังนั้นความน่าเชื่อถือบนสนามรบจึงมีค่ามาก
ในทัพใหญ่แดนรัตติกาล แม้คนส่วนมากจะไม่รู้ว่าทำไมเหมียวอี้ถึงเก็บอ๋องอสรพิษดำเข้ากระเป๋าสัตว์ทันที ไหนบอกว่าจะปรึกษากับอ๋องอสรพิษดำเพื่อช่วยรองหัวหน้าภาคไม่ใช่เหรอ? แต่ทุกคนก็ยังเชื่อว่าการที่เหมียวอี้ทำแบบนี้จะต้องมีเหตุผลแน่นอน…บารมีความน่าเชื่อถือก็ถูกสร้างขึ้นมาอย่างนี้แหละ!
ชิงเยว่กับหลงซิ่นมองเหมียวอี้หลายครั้ง สายตาสื่อแววหลากอารมณ์ ปกติตอนอยู่ด้วยกันก็ไม่เห็นท่านนี้โดดเด่นสักเท่าไร ถึงขนาดดูธรรมดาสามัญด้วย แต่ทุกครั้งที่ประสบปัญหาใหญ่ก็ล้วนสงบเยือกเย็น ไม่กดดันหวาดกลัว ลักษณะไม่หวาดหวั่นแม้ภัยมาปรากฏชัดเจนมาก เมื่ออยู่บนสนามรบสมองจะสุขุมเยือกเย็นเป็นพิเศษ ทั้งตัวราวกับเปล่งแสงได้ ความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเลิศมาก นี่ก็คือคุณสมบัติที่ดีที่สุดที่ผู้บัญชาการทัพคนหนึ่งควรจะมี
มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองแน่ใจ นั่นก็คือคำบัญชาการบางอย่างไม่ใช่สิ่งที่เหมียวอี้วางแผนไว้ล่วงหน้าตั้งแต่แรก แต่เป็นการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ ไม่ว่าแผนการอะไรก็ไม่อาจคาดเดาถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ได้ การวางแผนทำศึกบนกระดาษอะไรนั่นล้วนเป็นสิ่งจอมปลอม การปฏิบัติได้ดีต่างหากถึงจะเป็นของจริง คนที่สามารถปฏิบัติจริงได้มักเหนือกว่าเสมอ
ตอนนี้ทั้งสองนับว่าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านนี้จึงไต่เต้าจากทหารเล็กๆ มาจนถึงทุกวันนี้ได้ มองจุดเดียวก็เห็นถึงภาพรวม ไม่ใช่เพราะดวงดีแน่นอน
ทั้งสองพึมพำในใจ ว่าตอนแรกที่จนตรอกมาขอพึ่งพาเจ้าหนุ่มนี่ บางทีอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดก็ได้
หยวนกงที่สังเกตการณ์อยู่ข้างๆ ทำสีหน้าครุ่นคิดอีกครั้ง แอบชมในใจว่า ช่างเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถจริงๆ!
เมื่อทั้งสองฝ่ายแลกตัวประกันเสร็จแล้ว เผ่าเทพอสรพิษดำก็มีผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ชื่อชางไห่เข้ามา พอมาถึงก็ชำเลืองโหยวฮ่วนที่ยังไม่ถูกปล่อยแวบหนึ่ง นางแสยะยิ้มทีหนึ่งโดยไม่ได้บอกให้เหมียวอี้ปล่อยตัวเขา
โหยวฮ่วนเศร้าสลด หยางเจาชิงสังเกตปฏิกิริยาของเหมียวอี้ แล้วก็เก็บโหยวฮ่วนเอาไว้
“ในเมื่อจะปรึกษาเรื่องทำงานร่วมกัน แล้วทำไมต้องขังท่านอ๋องของพวกเราไว้ในกระเป๋าสัตว์?” ชางไห่เสียงค่อนข้างดัง เพราะตอนนี้ค่อนข้าเดือดดาล
ทางเผ่าเทพอสรพิษดำมองมาทางนี้ด้วยสายตาคับแค้น อ๋องเผ่าเทพอสรพิษดำผู้สง่าผ่าเผยกลายไปเป็นตัวประกันของคนอื่นแล้ว แค่คิดก็รู้แล้วว่ารู้สึกอย่างไร
ท่าทีของเหมียวอี้อ่อนโยนขึ้นไม่น้อย ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ที่ขังนางไว้ในกระเป๋าสัตว์ ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ในเมื่อจะร่วมงานกันแล้ว ข้าก็ไม่อยากให้เกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้น”
ชางไห่ตวาดทันที “ลวงโลก! ปล่อยอ๋องของพวกเราออกมาเดี๋ยวนี้!” ไม่อย่างนั้นจะถือเป็นความอัปยศของเผ่าเทพอสรพิษดำ
เหมียวอี้กล่าวด้วยเสียงเรียบนิ่ง “เจ้าแน่ใจนะว่าอ๋องอสรพิษดำจะยอมดูพวกเราสองฝ่ายร่วมมือกันแต่โดยดี? เจ้าไม่กลัวนางทำเรื่องโง่ๆ เหรอ? ในเมื่อข้ายอมปล่อยตัวประกันแสนกว่าคนนั่นแล้ว ก็แสดงว่าข้าแค่คิดจะช่วยรองหัวหน้าภาคของข้าเท่านั้น ขอเพียงมีความเป็นไปได้ที่จะร่วมงานกัน ข้าก็ไม่อยากผิดสัญญาแล้วสู้เอาเป็นเอาตายกับเผ่าเทพอสรพิษดำหรอก ทำร้ายอ๋องของพวกเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับข้า หรือเจ้าอยากจะให้ข้าปล่อยอ๋องของพวกเจ้าออกมาทำให้เรื่องพัง? ผู้อาวุโสชาง ข้าไม่อยากข้านาง เหตุใดเจ้าต้องทำร้ายนางด้วย!”
“…” นึกไม่ถึงว่าชางไห่จะเถียงไม่ออกไปชั่วขณะ พอลองคิดดูก็พบว่าอีกฝ่ายพูดไม่ผิด เขารู้นิสัยของท่านอ๋องดี แค่ดูจากการที่นางยอมสละตัวเองเพื่อคนในเผ่าแล้ว ถ้าปล่อยนางออกมาจริงๆ ก็มีโอกาสทำเสียเรื่อง ถึงตอนนั้นไม่ใช่การกดดันให้หนิวโหย่วเต๋อฆ่านางหรอกหรือ?
พอเห็นปฏิกิริยานี้นี้ ชิงเยว่กับหลงซิ่นก็สบตากันแวบหนึ่ง แอบชมในใจว่านายท่านช่างพูดได้สวยงามจริงๆ!
…………………