พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1846 เป็นทาส
พวกโม่โหยวได้ข่าวแล้วเริ่มกังวล เพราะสายลับล้วนเป็นคนของเผ่าเทพอสรพิษดำ หมายความว่าคนที่ถูกไล่ฆ่าทั้งหมดล้วนเป็นคนของเผ่าเทพอสรพิษดำ
“หัวหน้าภาคหนิว เจ้าเตรียมจะรับมือยังไง?” โม่โหยวถามเสียงต่ำ
เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำเช่นกัน “รออีกสักหน่อย ดูเจตนาของอีกฝ่ายก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
โม่โหยวจึงกล่าวเสียงดัง “สายลับมีแต่คนวรยุทธ์ต่ำ จะต้านการไล่ฆ่าจากทัพตะวันออกไหวได้ยังไง ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาก็ตายสถานเดียว ถ้ารอต่อไปก็ไม่รู้ว่าคนเผ่าข้าต้องตายไปอีกเท่าไป อีกฝ่ายเคลื่อนไหวทัพใหญ่หนึ่งล้านแล้ว!”
เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำ “ทำสงครามจะไม่ให้มีคนตายเชียวเหรอ? เจ้าหวังจะให้ข้าส่งกำลังพลเผ่าเทพอสรพิษดำไปปะทะกับพวกเขาซึ่งๆ หน้ารึไง? ข้ารับรองว่ามีคนตายมากกว่านี้แน่นอน!”
ชางไห่กัดฟันบอกว่า “สายลับไม่ใช่คนของเจ้านี่ เจ้าก็ไม่แยแสอยู่แล้ว ทำไมไม่ใช้คนของเจ้าไปเป็นสายลับบ้างล่ะ!”
พวกตานฉิงที่อยู่ทางซ้ายและขวามองฉากนี้อย่างรู้สึกสนใจ อยากจะเห็นว่าราชาปราชญ์จะบัญชาการกำลังพลสองกลุ่มที่หน้าเข้ากันไม่ได้ ใจก็เข้ากันไม่ได้อย่างไร
ตอนพวกเขาอยู่แดนอเวจี ก็ลำบากลำบนจากการล้อมปราบของตำหนักสวรรค์มาเต็มที่แล้ว สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้น่ากดดันขนาดนั้น
เพล้ง! เหมียวอี้ตบฝ่ามือบนเข็มทิศ แล้วชี้หน้าชางไห่พลางตะคอก “มีแต่เจ้านี่แหละที่พูดมาก! ข้าเตรียมจะให้คนของข้าไปใช้กำลังปะทะ ได้! ขอเพียงเจ้าตอบตกลงว่าจะสลับหน้าที่กัน ข้าก็จะให้คนของข้าไปเป็นสายลับทันที แล้วเรื่องใช้กำลังปะทะก็ยกให้เผ่าเทพอสรพิษดำของพวกเจ้า!”
“เจ้า…” ชางไห่ชี้หน้ากลับ แต่กลับเถียงอะไรไม่ออก
โม่โหยวยื่นมือบอกใบ้ให้เขาถอยออกไป แล้วพยายามทำใจเย็นพูดกับเหมียวอี้ว่า “เผ่าเทพอสรพิษดำอยู่อย่างสงบสุขที่สระน้ำมังกรดำมานานเกินไป ไม่ถนัดเรื่องการรบ ทำได้แค่ใช้ทัพใหญ่ปะทะซึ่งๆ หน้า ในเมื่อตอนนี้ส่งต่อให้เจ้าบัญชาการแล้ว พวกเราตกลงกันแล้วว่าจะร่วมมือกัน เจ้าก็จะเอาแต่ดูคนเผ่าเทพอสรพิษดำของข้าเอาชีวิตไปทิ้งเฉยๆ ไม่ได้หรอกใช่มั้ย? ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปแล้วจะร่วมงานกันยังไง?”
เหมียวอี้น้ำเสียงอ่อนลงเช่นกัน “ถ้าใช้กำลังปะทะ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องมีคนตาย แต่เจ้าก็ไม่ต้องกังวลเกินไปนัก อีกฝ่ายดูเหมือนมีกำลังพลหนึ่งล้าน แต่กลับกระจายตัวกันแล้ว สระน้ำมังกรดำใหญ่ขนาดนั้น อาศัยคนกลุ่มเล็กแบบนั้นกระจายกำลังค้นหาไม่สำเร็จหรอก ตอนนี้เจ้าแจ้งให้สายลับเผ่าเทพอสรพิษดำซ่อนตัวเดี๋ยวนี้ จะลดความเสียหายได้มากแน่นอน ตอนนี้ข้าต้องรอดูสถานการณ์ขั้นต่อไป ดูว่าตอนนี้กำลังพลกลุ่มนั้นอยู่ที่ไหน ไม่มีทางเลือก ฝ่ายพวกเรากำลังน้อย ถ้าใช้กำลังปะทะซึ่งๆ หน้าก็เอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ ต้องข่มอารมณ์ไว้ ไม่อย่างนั้นจะมีคนตายมากกว่านี้!”
โม่โหยวหันกลับไปสั่งทันที “เร็วเข้า ถ่ายทอดคำสั่งของเขาลงไป”
เหมียวอี้หันตัวเดินออกไป นี่เพิ่งเริ่มต้น เผ่าเทพอสรพิษดำพวกนี้ก็เริ่มทนไม่ไหวแล้ว ต้องทำให้คนพวกนี้ใจเย็นลงสักหน่อย เขาเองก็ต้องใจเย็นเพื่อครุ่นคิดถึงการร่วมงานกับเผ่าเทพอสรพิษดำเช่นกัน
เหมียวอี้เข้ามาในห้องศิลา พื้นและผนังหินล้วนเว้านูนไม่เสมอกัน เขาหาพื้นที่ค่อนข้างเรียบเสมอกันโยนเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมา ปล่อยอ๋องอสรพิษดำที่ถูกผนึกพลังออกมาด้วย แล้วนั่งเงียบๆ มองราชินีเผ่าเทพอสรพิษดำที่ใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือดแล้ว
อ๋องอสรพิษดำมองไปรอบๆ แล้วสุดท้ายสายตาก็ตกอยู่บนตัวเหมียวอี้ นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถามว่า “เจ้าทำอะไรกับเผ่าเทพอสรพิษดำของข้าแล้ว?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่เป็นอะไร แต่ศึกใหญ่กำลังจะเริ่มแล้ว!”
อ๋องอสรพิษดำเดินช้าๆ มาตรงหน้าเขา แล้วจ้องเขาไม่ละสายตา “ทำไมเจ้าต้องหาเรื่องตระกูลอิ๋งให้ได้ รีบออกไปเถอะ”
เหมียวอี้เถียงว่า “เจ้าพูดผิดไปเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่ข้าที่อยากหาเรื่องตระกูลอิ๋ง แต่เป็นตระกูลอิ๋งที่จะหาเรื่องข้าให้ได้ ข้าออกไปแล้วมีประโยชน์เหรอ? พวกเขาจะปล่อยข้าไปเหรอ? ถ้าไม่โจมตีพวกเขาให้เจ็บซะบ้าง ข้าก็ยิ่งมีปัญหา ข้าต้องทำให้พวกเขารู้ว่าข้าไม่ได้ถูกรังแกง่ายๆ”
“บุญคุณความแค้นระหว่างพวกเจ้า พวกเราไม่อยากเข้าไปแทรกแซง ปล่อยเผ่าเทพอสรพิษดำของพวกเราไป วันหลังเผ่าเทพอสรพิษดำจะส่ง ‘น้ำตากลั่น’ ให้เจ้าตามกำหนดเวลา” อ๋องอสรพิษดำกล่าว
เหมียวอี้กล่าวอย่างรู้สึกขำ “ไม่อยากแทรกแซงงั้นเหรอ? มารดาเจ้าเถอะ แล้วทีพวกเจ้าจับคนของข้าไปล่ะ?” เขาโบกมือห้าม “หุบปาก! อย่าอ้างเหตุผลที่ไร้ประโยชน์กับข้า พวกเราไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน พวกเจ้าไม่หาเรื่องข้า ข้าก็ไม่หาเรื่องพวกเจ้า ที่บ้านสวีถังหรานยังมีภรรยารอเขากลับไป เจ้าแค่อยากจะให้คำชี้แจงกับเผ่าเทพอสรพิษดำ แล้วเคยคิดบ้างรึเปล่าว่าข้าจะกลับไปชี้แจงกับฮูหยินของสวีถังหรานยังไง? นางจะกลายเป็นหม้ายแล้ว ข้าจะอธิบายกับนางยังไงล่ะ? ถ้าข้ากลับไปแบบนี้โดยไม่ได้ทำอะไรเลย เจ้าเคยคิดบ้างรึเปล่าว่าข้าจะชี้แจงกับพี่น้องเบื้องล่างยังไง? ขนาดรองหัวหน้าภาคยังกลายเป็นอย่างนี้แล้ว แล้วพวกเขาจะคิดยังไงกับอนาคตตัวเอง? ดังนั้น เจ้าไปคิดดูเถอะว่าจะทำให้เผ่าเทพอสรพิษดำร่วมมือกับข้าแต่โดยดีได้ยังไง”
อ๋องอสรพิษดำเงียบไปพักหนึ่ง แล้วบอกว่า “ก็ได้ ให้ข้าออกไปเจอพวกเขา”
“อย่ามาเล่นลูกไม้นี้ ไม่ต้องเจอกันหรอก เขียนจดหมายสักฉบับแล้วกัน ข้าจะส่งต่อให้พวกเขาอ่าน” เหมียวอี้กล่าว
อ๋องอสรพิษดำจะยอมเขียนจดหมายได้อย่างไร ตอนนี้ก็กังวลมากพอแล้ว ยังจะถ่ายทอดคำสั่งขอความร่วมมือจากคนในเผ่าอีกเหรอ? อย่าแม้แต่จะคิดเลย
“เจ้าต้องการจะสู้ตายกับตระกูลอิ๋งให้ได้เลยใช่มั้ย?” อ๋องอสรพิษดำกัดฟันถาม
เหมียวอี้มองนางด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้พูดอะไรอีก ทำท่าเหมือนกำลังถามว่า ‘แล้วเจ้าคิดว่ายังไงล่ะ’
ทั้งสองจ้องตากันเงียบๆ ครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ อ๋องอสรพิษดำก็คุกเข่าต่อหน้าเหมียวอี้
เหมียวอี้ตกใจแทบแย่ นึกไม่ถึงว่าอ๋องอสรพิษดำผู้สง่าผ่าเผยจะคุกเข่าให้เขา จึงถามอย่างงุนงงว่า “หมายความว่ายังไง? ข้าบอกไว้ก่อนนะ ลูกไม้นี้ของเจ้าไม่ได้ผลหรอก การคุกเข่าของเจ้าเทียบกับชีวิตคนหนึ่งแสนไม่ได้”
อ๋องอสรพิษดำจ้องเขาพร้อมกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ได้ยินมานานว่าหัวหน้าภาคหนิวเชี่ยวชาญการรบ ในเมื่อยินดีจะสู้ตายแล้ว คาดว่าคงมีความมั่นใจอยู่บ้าง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้ารู้ว่าต่อให้พูดอะไรไปก็ทำให้หัวหน้าภาคหนิวเปลี่ยนใจไม่ได้ ข้าเพียงอยากขอร้องหัวหน้าภาคหนิวเรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไร? ลองพูดมาก่อน” เหมียวอี้สงสัย
อ๋องอสรพิษดำตอบว่า “ให้ความร่วมมือก็ได้ แต่พยายามอย่าสละชีวิตคนในเผ่าข้า พยายามอย่าผลักคนเผ่าข้าไปเป็นโล่กำบัง พยายามปกป้องพวกเขา”
เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง แล้วกล่าวอย่างใจกว้าง “เรื่องนี้ข้ารับปากเจ้าได้อยู่แล้ว เจ้าเขียนจดหมายก่อนสิ ให้พวกเขาให้ความร่วมมือกับข้าอย่างสงบใจก็พอ”
“หัวหน้าภาคหนิวมีลักษณะของสิงห์ร้ายที่ทะเยอทะยาน ข้าจะกล้าเขียนจดหมายได้ยังไง? ข้าจะเอาชีวิตคนในเผ่าไปเสี่ยงอันตรายนี้ได้ยังไง?” อ๋องอสรพิษดำสีหน้าเศร้าสลด ในดวงตามีประกายน้ำตา “ขอเพียงหัวหน้าภาคหนิวตอบตกลงเงื่อนไขข้าข้อหนึ่ง หลังจากจบเรื่องถ้าได้รับการพิสูจน์แล้ว ข้ายินดีเป็นทาสหัวหน้าภาคหนิว! ผลประโยชน์ที่อยู่ในนั้น คาดว่าหัวหน้าภาคหนิวคงจินตนาการได้ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องน้ำตากลั่น ข้าสามารถรับประกันได้ในระดับหนึ่ง!”
“เอ๋…” เหมียวอี้ตกตะลึงอ้าปากค้าง รู้สึกว่าล้อเล่นเกินไปหน่อย จึงกระแอมแล้วบอกว่า “แบบนี้ไม่เหมาะสมมั้ง? อ๋องอสรพิษดำผู้สง่าภูมิฐานจะมาเป็นทาสของข้าเหรอ คนในเผ่าเจ้าจะยอมให้เจ้าไปกับข้ารึไง?”
อ๋องอสรพิษดำส่ายหน้า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง ข้ามีวิธีการของข้าเอง แต่เรื่องเป็นทาสจะประกาศไม่ได้ ถ้าประกาศเมื่อไรคำสัญญาของข้าจะเป็นโมฆะทันที” นางต้องการจะปกป้องหน้าตาศักดิ์ศรีของเผ่าเทพอสรพิษดำ
ถ้าไม่เสนอเงื่อนไข เหมียวอี้ก็ยังไม่เชื่อ พอเสนอเงื่อนไขขึ้นมาเขาก็เริ่มจะเชื่อแล้ว แต่ปากก็ยังถามว่า “ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าจบเรื่องแล้วเจ้าจะไม่กลับคำพูด?”
อ๋องอสรพิษดำเอามือกอดอก “ข้าเอาชะตากรรมของเผ่าเทพอสรพิษดำมาสาบาน ขอเพียงหัวหน้าภาคหนิวตอบตกลงเงื่อนไขของข้า ข้าก็จะรักษาสัญญาแน่นอน ถ้าข้าผิดคำสาบาน ก็ให้เผ่าเทพอสรพิษดำของข้าประสบหายนะทุกยุคสมัย!”
“เอ่ออันนี้…” เหมียวอี้เอามือลูบคางอย่างลังเลเล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็ยื่นขึ้น ตอบด้วยรอยยิ้มสบายๆ “ข้าตอบตกลง รีบลุกขึ้นเถอะ”
เขานับว่ามองออกแล้ว ว่าคงเป็นไปไม่ได้หากจะกดดันให้นางเขียนจดหมาย ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดจะให้เหยียนซิวใช้วิธีการสกปรกกับนาง แต่เขาเคยเห็นเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางมาก่อน บนนั้นบันทึกไว้เป็นกรณีพิเศษ ว่าวิธีการของเหยียนซิวไม่มีผลกับเผ่าหงส์มังกรและเผ่าเทพอสรพิษดำ ไม่ใช่แค่สิ่งนี้ที่ไม่มีผล เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาก็ไม่มีผลต่อการผลิต ‘น้ำตากลั่น’ ของเผ่าเทพอสรพิษดำเช่นกัน นับว่าเป็นเผ่าที่ค่อนข้างแปลกพิสดาร
ในเมื่อบีบบังคับไม่ได้ เขาคิดไปคิดมาก็ตอบตกลงไปเสียเลย ถึงอย่างไรก็ตัดสินใจตามสถานการณ์ ควรจะทำอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น ไม่มีอะไรเสียหาย มีตัวเลือกที่เป็นไปได้เพิ่มมาอีกอย่างก็ไม่เลว
“นายท่าน มีข่าวส่งมาแล้ว” หยางเจาชิงปรากฏตัวตรงปากถ้ำและตะโกนบอก
ทว่าพอเห็นฉากที่อ๋องอสรพิษดำคุกเข่าตรงหน้าเหมียวอี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน ทำไมนายท่านถึงทำให้อ๋องอสรพิษดำผู้สง่าภูมิฐานคุกเข่าได้ล่ะ โหดเกินไปแล้ว! ถ้าให้เผ่าเทพอสรพิษดำมาเห็นจะไม่สู้ตายกันไปข้างหนึ่งเหรอ? แต่เขาก็เข้าใจอย่างรวดเร็ว พอจะเดาออกแล้วว่าอ๋องอสรพิษดำกำลังขอร้องเหมียวอี้ เพียงแต่ต่อให้ฝันก็นึกไม่ถึงว่าอ๋องอสรพิษดำจะนำอะไรมาแลกเปลี่ยน
เหมียวอี้เองก็ไม่ได้พูดมาก เก็บอ๋องอสรพิษดำเอาไว้เสียเลย แล้วเร่งฝีเท้าเดินออกมา
พวกโม่โหยวยังยืนรออยู่ตรงหน้าเข็มทิศ พอเห็นเหมียวอี้กลับมาแล้ว ก็ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า เหมือนเห็นแววตาเหมียวอี้ที่มองพวกเขาแปลกไปนิดหน่อย
“นายท่าน สายลับของพวกเรามีร้อยกว่าคนที่ขาดการติดต่อไปแล้ว และหลังจากกำลังพลหนึ่งล้านนั่นแยกย้ายกัน ก็กระจายตัวเป็นกลุ่มเล็กๆ อีกครั้ง แบ่งกลุ่มละประมาณสองสามคนกระจายตัวอยู่ตามที่ต่างๆ ของสระน้ำมังกรดำ”
หลังจากนายทหารระดับสูงรายงานแล้ว เหมียวอี้ก็ขมวดคิ้วถาม “กระจายตัวกันขนาดนั้นเลยเหรอ?”
นายทหารระดับสูงตอบ “ใช่ขอรับ!” หลังจากรายงานจบ แน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรจะกำชับ เขาก็กลับออกไป
อ๋าวเถี่ย ขุนพลใหญ่ลัทธิอู๋เลี่ยที่อยู่อีกฝั่งของเข็มทิศอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “ช่างลงทุนลงแรง นี่เขากำลังใช้คนหนึ่งล้านคนมาเป็นสายลับ นายท่าน ผู้บัญชาการสูงสุดของอีกฝ่ายคงจะไม่ธรรมดา เกรงว่าศึกนี้คงจะต้องระวังหน่อยแล้ว”
ในขณะนี้เอง มีนายทหารระดับสูงอีกคนมารายงานว่า “นายท่าน กำลังพลที่แยกไปสองสายก่อนหน้านี้ สายหนึ่งแยกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งมุ่งตรงไปยังดาวเคราะห์ที่อยู่อาศัยของเผ่าเทพอสรพิษดำ หลังจากกระจายตัวแล้วก็เป็นกลุ่มคนประมาณสามแสน พวกเขาค้นหาทั่วทั้งดาวเคราะห์ของเผ่าเทพอสรพิษดำ อีกกลุ่มหนึ่งเร่งไปยังทางออกสระน้ำมังกรดำ แล้วซ่อนตัวที่ดาวเคราะห์แถวๆ นั้น อยู่ที่ตำแหน่งนี้ขอรับ ยังมีกำลังพลอีกสายที่ไปถึงทางเข้าสระน้ำมังกรดำแล้ว หลังจากกระจายตัวแล้วก็ได้ทัพใหญ่หนึ่งล้าน ปิดล้อมบริเวณทางเข้าไว้ พอเห็นคนก็ฆ่า เพียงแต่กำลังพลสองสายนี้ไม่ได้สวมเกราะรบเครื่องแบบตำหนักสวรรค์”
โม่โหยวสบตากับผู้อาวุโสที่อยู่ข้างกาย แล้วมองไปที่เหมียวอี้พร้อมกัน พบว่าเจ้าหมอนี่เดาไม่ผิดจริงๆ กำลังพลของตระกูลอิ๋งคิดจะจับเผ่าเทพอสรพิษดำเป็นตัวประกันจริงด้วย โชคดีที่ก่อนหน้านี้รีบอพยพไปแล้ว พอนึกถึงตรงนี้ แต่ละคนก็กัดฟันกรอด ไม่ว่าจะเป็นหนิวโหย่วเต๋อหรือตระกูลอิ๋ง ก็เห็นเผ่าเทพอสรพิษดำกลายเป็นเนื้อบนเขียงทั้งนั้น อยากจะหั่นอย่างไรก็หั่น ไม่หวาดกลัวเลยสักนิด
“ไม่ได้ใส่เกราะรบตำหนักสวรรค์ด้วยเหรอ?” เหมียวอี้ถามยืนยัน เรื่องปิดทางเข้าออกคือสิ่งที่เขาเดาไว้อยู่แล้ว แต่การที่อีกฝ่ายไม่ใส่เกราะรบตำหนักสวรรค์ทำให้เขาแปลกใจนิดหน่อย
“ใช่ขอรับ คนที่ออกมาล้วนไม่ได้สวมเกราะรบ” นายทหารระดับสูงตอบ
“แปลกจัง ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ก่อนหน้านี้ทำไมชักช้าไม่เคลื่อนกำลังพล?” เหมียวอี้พึมพำเบาๆ คิดไม่ตกกับปัญหานี้ จึงวางความคิดนี้ไว้ชั่วคราว อีกฝ่ายแสดงออกแล้วว่าจะฆ่าให้สิ้นซาก ปิดทางออกของเขาไว้แล้ว เขาเองก็ต้องวางแผนให้ไม่แพ้ก่อนที่จะวางแผนให้ชนะ เตรียมทางหนีทีไล่ให้ตัวเอง จึงหันกลับมาตะโกนว่า “เจาชิง ให้หยวนกงติดต่อโถงชุมนุมอัจฉริยะ สั่งให้โถงชุมนุมอัจฉริยะกระจายข่าวให้ทั่วทั้งใต้หล้า บอกว่าเพื่อที่จะสังหารข้า อ๋องสวรรค์อิ๋งถึงกับยอมปลอมเป็นโจรมาจับตัวรองหัวหน้าภาคสวีเป็นตัวประกันเพื่อล่อให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลมาปราบโจรที่สระน้ำมังกรดำ ขณะเดียวกันก็แอบระดมทัพตะวันออกห้าล้านมาปลอมตัวเป็นโจรเพื่อดักสังหารข้าที่สระน้ำมังกรดำ…” เขามองพวกโม่โหยวที่อยู่ตรงข้าม แล้วบอกอีกว่า “ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เผ่าเทพอสรพิษดำเข้ามาเกี่ยวข้อง”
พวกตานฉิงสบตากันแวบหนึ่ง พบว่าท่านนี้ต้องการจะทำให้เรื่องราวใหญ่โตจริงๆ!
“รับทราบ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป
……………