พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1849 สวีกับหยางพบกัน
หยางเจาชิงมีพื้นเพอย่างไร? เป็นคนประเภทที่ไม่มีเส้นสายภูมิหลังโดยแท้ ในปีนั้นที่ยังอยู่จวนเมฆธาราทางพิภพเล็ก เขาก็ฉวยโอกาสสร้างผลงานหนึ่งครั้ง รับตำแหน่งประมุขขุนเขาชั่วคราวเพื่อเผชิญการทดสอบของเหมียวอี้ เพื่อที่จะคว้าชัยชนะ เจ้าเวรนี่ดักปล้นคนแล้วเอาเงินไปจ้างกลุ่มนักพรตอิสระ แม้แต่กำลังพลใต้บังคับบัญชาของเขาก็ยังโจมตีกลุ่มเพื่อนร่วมงานจนพ่ายแพ้ยับเยิน ในเวลาครึ่งปีที่ทำศึกเล็กศึกใหญ่ยี่สิบแปดครั้งกับกำลังพลอีกเก้าขุนเขา ก็ไม่น่าเชื่อวจะไม่เคยแพ้เลย แสดงผลงานได้น่าทึ่งมาก ทำเอากลุ่มเพื่อนร่วมงานทยอยกันมาฟ้องต่อหน้าเหมียวอี้ ตั้งแต่นั้นมาความสามารถก็เข้าตาเหมียวอี้อย่างเป็นทางการ
ตอนหลังก็เฝ้าคุ้มครองที่ทะเลทรายม่านเมฆาอย่างจงรักภักดี การปฏิบัติของเขาทำให้ได้รับความชื่นชมจากเหมียวอี้ ตั้งแต่นั้นมาก็ถูกเหมียวอี้รับไว้เป็นลูกน้องคนสนิท เหมียวอี้เดินมาจนถึงทุกวันนี้ ใช่ว่าข้างกายจะไร้สหายที่เคยคบกัน ยกตัวอย่างเช่นพวกจ้าวเฟยกับซือคงอู๋เว่ย แต่นอกจากเหยียนซิวที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ตั้งแต่เหมียวอี้มีฐานะต่ำต้อย คนที่สามารถกลายเป็นลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้ได้ ทั้งยังถูกยอมรับจากอวิ๋นจือชิวยังจะมีใครอีกล่ะ? ก็มีแค่หยางเจาชิงแล้ว
ตั้งแต่ติดตามเหมียวอี้มา เขาอาจจะไม่เคยทำงานใหญ่ที่ครึกโครมโด่งดัง แต่ตลอดทางที่ติดตามรับใช้เหมียวอี้ก็ไม่เคยทำงานอะไรพลาดใหญ่หลวง ทำให้เหมียวอี้ไว้ใจมากขึ้น มองจุดเล็กทำให้เห็นภาพรวม จุดนี้เพียงพอที่จะให้เห็นความสามารถของเขาแล้ว ตอนนี้อยู่ข้างกายเหมียวอี้ก็แทบจะสวมบทบาทพ่อบ้าน ส่วนคนที่ติดตามเหมียวอี้มาก่อนอย่างเหยียนซิวกลับกลายเป็นองครักษ์ประจำตัว ทำไมถึงไม่เลือกเหยียนซิวแต่เลือกหยางเจาชิงน่ะเหรอ ก็เพราะเหมียวอี้เล็งเห็นความสามารถของหยางเจาชิง และการถูกคนระดับเหมียวอี้เลือกให้เป็นพ่อบ้านก็ได้แสดงให้เห็นอะไรบางอย่างแล้ว ลองถามหน่อยว่าพ่อบ้านของโค่วหลิงซวีและอ๋องสวรรค์คนอื่นๆ มีใครบ้างที่ธรรมดา
มีหรือที่อู๋เซียนฉีจะเอาเรื่องแบบนี้มาตบตาหยางเจาชิงสำเร็จ
พอหยางเจาชิงได้ฟัง ก็รู้สึกได้ถึงปัญหาทันที ที่อู๋เซียนฉีบอกว่านับถือเขาเป็นชายชาตรีถึงได้ช่วยเขาอะไรนั่น ถ้าเขาเชื่อก็แปลกแล้ว เขาเองก็ไม่ใช่พวกยอดเยี่ยมในยุทธภพที่จะหวั่นไหวเพราะคำพูดพวกนี้ อิ๋งอู๋หม่านจะพบตนก็เห็นได้ชัดว่าต้องหลบเลี่ยงอ๋าวเฟย ทั้งยังไม่อยากให้อ๋าวเฟยรู้อีกเหรอ?
พอนึกเชื่อมโยงกับก่อนหน้านี้ที่อ๋าวเฟยไม่ให้ตนพบกับอิ๋งอู๋หม่าน ทั้งยังบอกว่าตัวเองมีอำนาจตัดสินใจเรื่องยอมจำนน เมื่อนำมาเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ตอนนี้ หยางเจาชิงก็ตระหนักได้เร็วมากว่าระหว่างอิ๋งอู๋หม่านกับอ๋าวเฟยเกิดปัญหาขึ้นแล้ว อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ยังจะเกิดปัญหาอะไรได้อีก? นอกเสียจากว่าคนที่มีอำนาจทางทหารจะตัดสินใจ
ตอนนี้มีความเป็นไปได้สูงว่าคนที่คุมสถานการณ์อาจจะเป็นอ๋าวเฟย ไม่อย่างนั้นอู๋เซียนฉีคงไม่หวาดกลัวอ๋าวเฟยขนาดนี้ เพราะการพบอิ๋งอู๋หม่านครั้งเดียวไม่จำเป็นต้องทำลับๆ ล่อๆ ใครจะกล้าทำอะไรอิ๋งอู๋หม่านเชียวหรือ?
อาศัยฐานะของอิ๋งอู๋หม่าน ทำไมอ๋าวเฟยถึงข้ามขั้นไปคุมสถานการณ์โดยรวมได้ล่ะ? เป็นไปไม่ได้ที่อ๋าวเฟยจะแย่งอำนาจทางทหาร ความเป็นไปได้เดียวก็คืออ๋องสวรรค์อิ๋งมีประสงค์ให้ควบคุมอิ๋งอู๋หม่านไว้ แต่ในเมื่ออ๋องสวรรค์อิ๋งส่งลูกชายมาคุมสถานการณ์โดยรวม แล้วทำไมถึงเปลี่ยนแม่ทัพตอนศึกกระชั้นชิดเข้ามาด้วยล่ะ?
ชั่วพริบตานี้ จู่ๆ เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้หัวหน้าภาคถึงสงสัยมาตลอดว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ แปลกใจว่าทำไมตอนแรกกำลังพลของตระกูลอิ๋งชักช้า แต่ตอนหลังกลับลงมือต่อเนื่องราวกับฟ่าผ่า ทั้งยังลงมือได้ชำนาญมากด้วย ที่แท้ก็เปลี่ยนคนนี่เอง!
ในฐานะที่ใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพมานาน คิดได้ถึงขั้นนี้แล้วก็เดาความจริงได้ไม่ยาก อิ๋งอู๋หม่านทำพลาดจนเสียโอกาสดีในการรบ ทำให้อ๋องสวรรค์อิ๋งโมโห ด้วยเหตุนี้จึงถูกแย่งอำนาจทางทหาร เปลี่ยนให้อ๋าวเฟยมาคุมสถานการณ์รบเอง!
อู๋เซียนฉีเองก็ไม่กล้าพูดอะไรมากกับเขา หยางเจาชิงไม่มีสิทธิ์ตอบตกลงหรือไม่ตกลงด้วย เก็บหยางเจาชิงเข้ากระเป๋าสัตว์เสียเลย
“ทำเหมือนไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ถ้าทางนี้ต้องการคน ให้ติดต่อข้าทันที” อู๋เซียนฉีที่เดินมาถึงหน้าถ้ำสั่งทหารยาม
ล้วนเป็นพี่น้องของทัพใหม่ทั้งนั้น ย่อมรู้ว่าอู๋เซียนฉีทำงานรับใช้ใคร พวกทหารยามพยักหน้าซ้ำๆ “เข้าใจแล้ว!”
พอมองไปรอบๆ ครู่หนึ่ง อู๋เซียนฉีก็รีบออกไป เขาไม่กล้าถ่วงเวลาแล้ว พยายามรีบไปรีบกลับโดยไม่สร้างความเคลื่อนไหวอะไร
ใช้เวลาไม่นาน อู๋เซียนฉีที่กลับเข้ามาในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ก็ทำความเคารพอิ๋งอู๋หม่าน แล้วโบกมือเรียกหยางเจาชิงเข้ามา
พอโผล่หน้ามา หยางเจาชิงก็มองรอบๆ พอเห็นเจ๋อชุนชิวในสภาพอนาถ หยางเจาชิงก็งุนงงนิดหน่อย เขาไม่เคยเจอเจ๋อชุนชิว และไม่รู้ด้วยว่าเป็นใคร จากนั้นสายตาก็ไปหยุดที่อิ๋งอู๋หม่านในศาลา อีกฝ่ายกำลังมองเขาด้วยสายเย็นเยียบ จึงกุมหมัดคารวะด้วยความเคารพ “ผู้น้อยหยางเจาชิง คารวะท่านโหวอิ๋ง!”
อิ๋งอู๋หม่านเคยเจอหยางเจาชิงที่อุทยานหลวง ตอนนี้กำลังยกจอกสุราขึ้นจิบอย่างช้าๆ เสร็จแล้วถึงได้ถามว่า “ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อส่งเจ้ามาเจรจากับโหวผู้นี้เหรอ?”
“รับทราบ” หยางเจาชิงตอบอย่างสุภาพเกรงใจ
“เจรจาอะไร?” อิ๋งอู๋หม่านถาม
“เอ่อคือ…” หยางเจาชิงแสดงความลังเล
อิ๋งอู๋หม่านหรี่ตาถาม “มาเจรจากับโหวผู้นี้ไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องลังเล?”
หยางเจาชิงตอบว่า “เดิมทีคิดจะมาเจรจากับท่านโหวอิ๋งจริงๆ แต่ทางอ๋าวเฟย…” เขาทำท่าสับสนลังเล เหมือนพูดไม่ออก
“ทำไม? หรือว่าทางอ๋าวเฟยพูดอะไร?” อิ๋งอู๋หม่านเลิกคิ้วถาม
หยางเจาชิงส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ท่านโหว เป็นคำพูดที่ไม่น่าฟังนัก ผู้น้อยไม่สะดวกจะพูดจริงๆ! ที่แม่ทัพใหญ่อ๋าวบอกก็คือ ตอนนี้ท่านโหวอิ๋งไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเจรจากับท่านโหวอิ๋ง ให้เจรจากับเขาโดยตรงได้เลย เขามีอำนาจตัดสินใจ”
อิ๋งอู๋หม่านทำสีหน้าดุร้ายทันที กำจอกสุราในมือไว้แน่น หายใจเข้าออกอย่างยากลำบาก สายตาค่อนข้างน่าตกใจ
หยางเจาชิงแอบสำรวจปฏิกิริยาที่เก็บกดของเขา ในใจได้คำตอบแล้ว พิสูจน์การคาดเดาของตนได้แล้ว
อิ๋งอู๋หม่านเองก็ไม่อยากแสดงออกให้คนนอกเห็นเยอะ พยายามข่มอารมณ์ที่ไม่ปกติเอาไว้ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “บอกมาเถอะ หนิวโหย่วเต๋อให้เจ้ามาเจรจาอะไรกับข้า”
หยางเจาชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ท่านโหว ท่านอย่ากดดันข้าสิ ถ้าให้แม่ทัพใหญ่อ๋าวรู้ว่าข้าไม่ทำตามที่เขาบอก เกรงว่าข้าคงไม่มีทางรอดชีวิตกลับไป”
อิ๋งอู๋หม่านแสยะยิ้ม
อู๋เซียนฉีที่อยู่ข้างๆ ถลันตัวเข้ามาทันที กระชากมวยผมของหยางเจาชิงไปข้างหลัง “เจ้าเชื่อมั้ยว่าข้านี่แหละที่จะทำให้เจ้ารอดกลับไปไม่ได้ตอนนี้เลย?”
“ข้าบอกแล้ว บอกแล้ว!” หยางเจาชิงที่กำลังเงยคอยอมบอกทันที กล่าวขอร้องซ้ำๆ
ตอนนี้อู๋เซียนฉีถึงได้ผลักเขาออก แล้วตะคอกว่า “รีบบอกมา!”
หยางเจาชิงเอามือลูบศีรษะ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็ไม่มีอะไร ท่านโหว…ไม่ถูกสิ แม่ทัพใหญ่อ๋าวมีวิธีการระดมกำลังพลที่ยอดเยี่ยมมาก บีบจนฝ่ายพวกเราตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายมาก หัวหน้าภาคหนิวส่งข้ามาเจรจาเรื่องยอมแพ้กับท่านโหวอิ๋ง”
“ยอมแพ้เหรอ?” อิ๋งอู๋หม่านตะลึงงัน แล้วถามอย่างสงสัย “หนิวโหย่วเต๋อจะยอมแพ้ได้เหรอ?”
เจ๋อชุนชิวที่นอนหมอบอยู่บนเตียงเตี้ยรวมทั้งอู๋เซียนฉีต่างก็ตะลึงงัน
หยางเจาชิงถอนหายใจ “แน่นอนว่ามีเงื่อนไข เงื่อนไขก็คือต้องรับประกันความปลอดภัยของหัวหน้าภาคหนิว”
“อ๋าวเฟยตอบตกลงแล้วเหรอ?” อิ๋งอู๋หม่านรีบถาม
หยางเจาชิงส่ายหน้า “ยังไม่ได้เจรจาอย่างเป็นทางการ แม่ทัพใหญ่อ๋าวกังวลว่าจะมีลับลมคมใน ตอนนี้กำลังตรวจสอบความจริงใจของหัวหน้าภาคหนิว”
ตอนนี้อิ๋งอู๋หม่านนั่งไม่ติดที่แล้ว เขายืนขึ้นแล้วเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา เขาพอจะได้ยินข่าวจากข้างนอกมาบ้าง ทั้งสองฝ่ายเหมือนจะยังไม่ได้ใช้กำลังทหารปะทะกันจริงๆ ถ้ากดดันจนหนิวโหย่วเต๋อยอมแพ้แบบนี้ เช่นนั้นการที่เขาขอคำชี้แนะก่อนหน้านี้จะไม่ดูเป็นการไร้ความสามารถหรอกหรือ แบบนั้นก็จะกลายเป็นคนที่ถูกหัวเราะเยาะ ในใจเรียกได้ว่าเซ็งมาก
ความไม่พอใจเป็นเรื่องรอง เพราะสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของเขา ถ้าถูกคนที่มีเจตนาไม่ซื่อใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่อยากจะคิด
“ข้าต้องการติดต่อท่านพ่อ คลายผนึกบนตัวข้า” อิ๋งอู๋หม่านพลันตะคอก
ทหารยศเล็กที่อยู่ในศาลา อู๋เซียนฉีและเจ๋อชุนชิวที่อยู่ด้านนอกต่างก็ทำสีหน้าไม่ถูก พวกเขาก้มหน้าอย่างกินปูนร้อนท้อง ไม่มีใครกล้าตกปากรับคำ ใครจะไปกล้าล่ะ ถ้าอิ๋งอู๋หม่านกับท่านอ๋องติดต่อกันได้แล้ว เรื่องนี้ก็จะเกิดปัญหาทันที คนที่ท่านอ๋องถ่ายทอดคำสั่งลงโทษ ไม่น่าเชื่อว่าจะยังบัญชาการได้อย่างอิสระ แบบนี้จะไม่แย่หรอกหรือ? ท่านอ๋องจะพูดกลับไปกลับมาได้อย่างไร?
ถูกผนึกไว้เหรอ? หยางเจาชิงเหลือบตาสังเกตอย่างแนบเนียน
“เจ้า!” อิ๋งอู๋หม่านชี้ทหารที่อยู่ในศาลา อีกฝ่ายคุกเข่าทันที ก้มหน้าอยู่อย่างนั้นไม่ยอมพูดอะไร ผลปรากฏว่าถูกอิ๋งอู๋หม่านเตะกระเด็น
เจ๋อชุนชิวเห็นอิ๋งอู๋หม่านส่งสายตามา จึงรีบพูดพร่ำทันที “ท่านโหว ต่อให้บ่าวเสี่ยงตายคลายผนึกให้ท่าน แต่ท่านคิดถึงผลที่ตามมาบ้างหรือเปล่า? ต่อให้ท่านจะสร้างผลงานใหญ่ แต่เกรงว่าจะถูกข้อหาขัดคำสั่งท่านอ๋องมาเปิดกั้นอนาคต หากท่านโหวไม่เชื่อฟังคำสั่งท่านอ๋อง ท่านเคยคิดหรือเปล่าว่าท่านอ๋องจะมองท่านยังไง?”
ประโยคนี้ทำให้อิ๋งอู๋หม่านสงบลงอีกครั้ง สายตาจ้องไปที่หยางเจาชิงอีก “เจ้าติดต่อหนิวโหย่วเต๋อ คอยเป็นตัวกลางถ่ายทอดข้อความ โหวผู้นี้จะเจรจากับเขา”
“บนตัวผู้น้อยก็โดนผนึกพลังเหมือนกัน” หยางเจาชิงยิ้มเจื่อน
อิ๋งอู๋หม่านเอียงหน้าบอกใบ้อู๋เซียนฉี “คลายผนึกให้เขา!”
เรื่องนี้ก็ได้อยู่! อู๋เซียนฉีก้าวขึ้นมาลงมือทันที คำสั่งอ๋าวเฟยกับคำสั่งท่านอ๋องเป็นคนละเรื่องกันเลย ยิ่งไปกว่านั้น เดี๋ยวค่อยผนึกอีกรอบก็ได้ อาศัยวรยุทธ์ของเขาตอนนี้ก็ไม่กลัวว่าหยางเจาชิงจะเล่นตุกติกอะไร
หยางเจาชิงที่ถูกคลายผนึกแล้วขยับร่างกายเล็กน้อย แล้วก็สะบัดแขนเสื้อ ทว่าพอลูบที่ข้อมือ ก็ยิ้มเจื่อนแล้วบอกอีกว่า “ท่านโหว ข้าลืมไป ของบนตัวข้าถูกค้นไปหมดแล้ว ไม่มีทางติดต่อกับหัวหน้าภาคหนิวได้”
อิ๋งอู๋หม่านรู้สึกเหมือนโดนปั่นหัวทันที สีหน้าเครียดขรึมลง ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก หยางเจาชิงก็รีบโบกมือบอกว่า “ท่านโหวไม่ต้องกังวล ยังมีสวีถังหรานอีกคน บนตัวสวีถังหรานมีระฆังดาราที่ใช้ติดต่อหัวหน้าภาคหนิว ให้สวีถังหรานเป็นตัวกลางสื่อสารได้เหมือนกัน”
อิ๋งอู๋หม่านจ้องเจ๋อชุนชิวทันที “พาตัวมาที่นี่”
หยางเจาชิงโล่งอกทันที สงสัยสวีถังหรานจะยังมีชีวิตอยู่
เจ๋อชุนชิวแอบทอดถอนใจ ลูกคนใหญ่คนโตที่สายตาสูงฝีมือต่ำแบบนี้ เขารับใช้ด้วยความยากลำบากจริงๆ แต่ดันไปยั่วโมโหไม่ได้อีก
เขาทำได้เพียงบอกใบ้คนที่กำลังรักษาบาดแผลให้ พอคนนั้นโบกมือ สวีถังหรานที่สภาพสะบักสะบอมก็ถูกโยนออกมา
สวีถังหรานที่ตกลงพื้นมองไปรอบๆ พอเห็นหยางเจาชิงก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน จากนั้นก็ดีใจมาก ความรู้สึกหดหู่ท้อใจหายไปหมด รีบเดินเข้าไปจับแขนหยางเจาชิง “พี่หยาง เจ้ามาได้ยังไง?” ความหมายในคำพูดก็คือ เจ้ามาช่วยข้าเหรอ? เรียกได้ว่าสายตาเต็มไปด้วยความหวัง เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะร้องไห้
หยางเจาชิงคว้าฝ่ามือเขาแล้วตบเบาๆ หนึ่งนิ้วด้านล่างขยับอย่างรวดเร็วที่ฝ่ามือสวีถังหราน นี่คือจังหวะที่ทั้งสองใช้ระฆังดาราติดต่อกันยามปกติ แต่ภายนอกกลับส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “พี่สวีไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เรื่องมันยาว ยากที่จะเล่าให้จบ!”
“หา…” สีหน้าเฝ้าคอยและเปี่ยมความหวังของสวีถังหรานหายไปหมดสิ้น แทนที่ด้วยสีหน้าสับสน กลืนน้ำลายอึกหนึ่งแล้วถามอย่างยากลำบาก “เจ้าก็โดนจับมาเหมือนกันเหรอ?”
“เร็วๆ!” อิ๋งอู๋หม่านไม่มีความอดทนจะดูฉากที่สองคนนี้ได้หวนมาพบกัน
หยางเจาชิงเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้สวีถังหรานฟังทันที สุดท้ายก็ปล่อยมือแล้วถอนหายใจ “ทำตามที่ท่านโหวอิ๋งบอกเถอะ พวกเราจะได้ลำบากน้อยลงหน่อย”
สวีถังหรานมองเขาอย่างงุนงงครู่หนึ่ง ในดวงตาฉายแววประหลาดใจ ถึงขั้นหวาดกลัวเล็กน้อย สุดท้ายก็ค่อยๆ หันกลับไปมองคนที่เพิ่งปล่อยตัวเองออกมาเมื่อครู่นี้ “ระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกับนายท่านไม่ได้อยู่ในมือข้า”
…………………