พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1853 โชคดีที่ยังมีชีวิต
ไม่ต้องพูดอะไรมากเลย สวีถังหรานพยักหน้าซ้ำๆ สื่อว่าเข้าใจ บาดแผลบนตัวยังไม่ทันหายดี ความเร็วมีผลกระทบ จึงเป็นฝ่ายขอให้หยางเจาชิงเก็บเขากับอิ๋งอู๋หม่านเข้ากระเป๋าสัตว์อีกครั้ง
หยางเจาชิงที่หยิบระฆังดาราออกมารีบหนีออกไปจากด้านหลังของดาวดวงนั้น เร่งเหาะไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ติดต่อทางฝั่งเหมียวอี้
เหมียวอี้ที่อยู่ในโถงถ้ำหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อพักหนึ่ง “ฮ่าๆ” จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะลั่น หยางเจาชิงเรียกได้ว่าทำให้เขาประหลาดใจตื่นเต้นมาก นอกจากไป ‘เจรจา’ ช่วยสวีถังหรานกลับมาได้แล้ว ก็ยังมัดอิ๋งอู๋หม่านกลับมาได้ด้วย เป็นเรื่องน่ายินดีเหนือความคาดหมายจริงๆ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ นี่คือเรื่องที่น่ายินดีที่สุด
พวกอ๋าวเถี่ย พวกโม่โหยวต่างพากันมองเขาอย่างงุนงง บางครั้งก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงดีใจขนาดนี้
“ทำไมนายท่านหัวเราะล่ะ?” อ๋าวเถี่ยลองถาม
เหมียวอี้ยันมือสองข้างบนเข็มทิศพลางส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นสดใสกระปรี้กระเปร่า เขาชี้ไปที่ตานฉิงกับเมิ่งหรู “หยางเจาชิงเจรจากลับมาแล้ว อวิ๋น มู่ พวกเจ้าสองคนรีบไปรับ จำไว้นะ ยอมแลกทุกอย่างเพื่อพาหยางเจาชิงกลับมาให้ได้!”
สาเหตุที่เรียกทั้งสองว่าอวิ๋น มู่ ก็ย่อมเป็นเพราะไม่สะดวกจะเผยตัวตนที่แท้จริงของทั้งสอง จึงเรียกแซ่ของหกปราชญ์ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาเสียเลย
ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ดูจากท่าทีของเหมียวอี้ก็รู้ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงแน่นอน จึงกุมหมัดคารวะพร้อมกัน “รับทราย!” เอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป
รอสักประเดี๋ยวเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเหมียวอี้ยังไม่หายไป โม่โหยวจึงอดไม่ได้ที่จะถาม “ผู้บัญชาการหนิว เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?”
เหมียวอี้โบกมือ ไม่ยอมบอกอะไร “รออีกประเดี๋ยวก็จะเข้าใจเอง”
หยางเจาชิงบอกว่าเรื่องที่อิ๋งอู๋หม่านตกอยู่ในมือเขา อีกฝ่ายอาจจะยังไม่รู้ความจริง ตอนนี้เขาไม่สะดวกจะเปิดเผย ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางรับประกันได้ว่าที่นี่จะไม่มีใครปล่อยข่าวให้คนนอกรู้หรือไม่ ถ้าข่าวหลุดเมื่อไร อิ๋งอู๋หม่านก็อาจจะแสดงประโยชน์อย่างที่ควรจะเป็นไม่ได้แล้ว
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ในใจมีคำถาม แต่ดูจากปฏิกิริยาเหมียวอี้แล้วก็รู้ว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องร้ายอะไร
จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ภายใต้แสงจันทร์ กลุ่มคนประมาณสิบกว่าคนเหาะลงจากฟ้า ลอยมาเหยียบบนหลังคาของตำหนักหลัก
ผู้ที่นำหน้ามาคือยอดหญิงงามสวมชุดกระโปรงยาวสีเงิน ดวงตางามสดใสกำลังกวาดมองไปรอบๆ ลักษณะสูงส่งเยือกเย็น ใบหน้าสวยสดใส ท่วงท่าอ่อนหวานแช่มช้อย มีสง่าราศีโดดเด่น ไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือลี่หัว ประมุขปราสาทดำเนินจันทร์นั่นเอง เวลาผ่านมาเนิ่นนาน คนของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลขอเข้าพบทุกปี แต่กลับไม่ได้เห็นหน้านางเลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้มาเยือนด้วยตัวเองแล้ว แต่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลตรงหน้ากลับเย็นชา ปล่อยให้คนเข้าออกโถงได้อย่างอิสระ ไม่เห็นเงาใครสักคน
ผู้ติดตามหลายคนพลันถลันตัวเหาะไปตรวจสอบทุกที่ในจวนหัวหน้าภาค ตอนที่ทยอยเหาะกลับมาบนหลังคาอีกครั้ง ก็พากันส่ายหน้าให้ลี่หัว
สาวสวยคนหนึ่งที่ยืนฝั่งขวาของลี่หัวบอกว่า “ประมุขปราสาท สงสัยจะซ่อนตัวหลบภัยแล้วจริงๆ”
สาวสวยฝั่งซ้ายบอกว่า “ได้ยินว่าสี่ทัพกำลังตามจับคนของโถงชุมนุมอัจฉริยะทั่วทุกหนแห่ง บ้างก็ถูกจับ บ้างก็ถูกฆ่า ที่บาดเจ็บก็นับไม่ถ้วน ไม่รู้เหมือนกันว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังทำอะไรกันแน่ ใจกล้าคับฟ้าจริงๆ”
ลี่หัวเงยหน้ามองพระจันทร์ที่เรียงกันบนท้องฟ้า กล่าวเสียงใสว่า “ความสำเร็จของหนึ่งแม่ทัพแลกด้วยกระดูกนับพันหมื่น…”
“ท่านอ๋องให้เวลาพวกเราห้าชั่วยามเพื่อกำจัดปัญหาในสระน้ำมังกรดำ”
ในโถงถ้ำ อ๋าวเฟยที่ยืนอยู่หน้าเข็มทิศกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังขณะเก็บระฆังดารา
หวังหย่วนเฉียวกับคงฮั่นล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ในมือทั้งสองล้วนถือระฆังดารา ล้วนมีลูกน้องอยู่ภายนอก ข้างนอกเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองจะไม่รู้ มีคนทยอยส่งข่าวให้พวกเขา เมื่อครู่นี้ทั้งสามก็จัดการเรื่องนี้อยู่ตลอด
“รีบรบรีบจบก็ย่อมไม่มีปัญหา ถ้าหนิวโหย่วเต๋อหลบไม่ยอมออกมา เกรงว่าห้าชั่วยามจะ…” หวังหย่วนเฉียวส่ายหน้าช้าๆ
อ๋าวเฟยถอนหายใจเบาๆ “กองทัพองครักษ์ระดมพลเยอะขนาดนั้น ทางท่านอ๋องก็กดดันมากเหมือนดัน เรื่องมาจนป่านนี้แล้ว ถ้าไม่แก้ไขซะ ทุกคนก็คงรู้ถึงผลที่ตามมาชัดเจนดี ถ้าแม้แต่ทัพใหญ่ห้าล้านยังกำจัดหนิวโหย่วเต๋อคนเดียวไม่ได้ พวกเราคงไม่มีหน้ากลับไปเจอท่านอ๋องอีก คิดหาวิธีเถอะ หาทางบีบให้หนิวโหย่วเต๋อรีบรบรีบจบ!”
คงฮั่นยิ้มเจื่อน “อีกฝ่ายดันไม่ออกมา ถ้าพวกเรายังหาไม่เจออีก จะรีบรบรีบจบได้ยังไง?”
อ๋าวเฟยก้มหน้าเงียบๆ นานมาก ก่อนจะเงยหน้าบอกว่า “ไปหิ้วหยางเจาชิงเข้ามา ลองเริ่มจากตัวเขาก่อน”
นอกถ้ำมีคนไปปฏิบัติตามทันที ผลปรากฏว่ามีรายงานกลับมาบอกว่าไม่เห็นคนแล้ว
หวังหย่วนเฉียวกับคงฮั่นมองหน้ากันเลิกลั่ก อ๋าวเฟยเหม่องงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตะคอกใส่คนที่มารายงานอย่างเดือดดาลทันที “คนจะหายไปในอากาศเชียวเหรอ? พาตัวทหารยามที่เฝ้าเข้ามา!”
ผ่านไปไม่นาน ทหารยามสองคนก็ถูกผลักเข้ามา อ๋าวเฟยเอามือไขว้หลังเดินไปตรงหน้าทั้งสอง จ้องทั้งสองอย่างเย็นเยียบ อารมณ์หวาดกลัวบนใบหน้าทั้งสองยากจะปิดบังได้ อ๋าวเฟยมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามีปัญหา จึงถามเสียงต่ำว่า “คนไปไหนแล้ว?”
มาถึงขั้นนี้แล้ว ทหารยามทั้งสองยังจะกล้าปิดบังได้อย่างไร ทั้งสองคุกเข่าพร้อมกัน แล้วหนึ่งในนั้นก็ตอบอย่างหวาดกลัวว่า “ถูกผู้บัญชาการใหญ่อู๋พาตัวไปแล้วขอรับ”
ไม่บอกไม่ได้หรอก เป็นเพราะอู๋เซียนฉีไม่รักษาสัญญา บอกไว้แล้วว่าถ้าฝั่งนี้มาขอคนก็ให้ติดต่ออู๋เซียนฉีเพื่อนำคนกลับไปทันที แต่ใครจะคิดว่าจะติดต่ออู๋เซียนฉีไม่ได้ ทั้งสองรับผิดชอบสิ่งนี้ไม่ไหว
อ๋าวเฟยโน้มตัวจ้องทั้งสอง “ผู้บัญชาการใหญ่อู๋ไหน?”
คนนั้นตอบว่า “อู๋เซียนฉี ผู้บัญชาการใหญ่อู๋”
อ๋าวเฟยขมวดคิ้ว “พาไปไหนแล้ว?”
ทั้งสองส่ายหน้า ต่างก็บอกว่าไม่รู้
หวังหย่วนเฉียวกับคงฮั่นสบตากันแวบหนึ่ง แล้วทั้งคู่ก็เดินไปข้างกายอ๋าวเฟย หวังหย่วนเฉียวบอกว่า “อู๋เซียนฉีเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการใหญ่ทัพใหม่ของท่านโหวอิ๋ง เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับท่านโหว”
คงฮั่นพยักหน้าเช่นกัน สื่อเป็นนัยว่า นอกจากท่านโหวแล้วยังจะมีใครใจกล้าขนาดนี้อีก
“ไป! ไปดูหน่อย” อ๋าวเฟยพูดทิ้งท้าย แล้วนำคนเร่งฝีเท้าเดินไป ถ้าเขาไม่ออกหน้าเอง คาดว่าคนอื่นคงไม่กล้าพูดอะไรยามอยู่ต่อหน้าอิ๋งอู๋หม่าน
คนกลุ่มนี้รีบไปยังชัยภูมิถ้ำสวรรค์ที่ขังอิ๋งอู๋หม่านไว้ ทหารยามตรงประตูทำความเคารพ อ๋าวเฟยหยุดยืนตรงประตู แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ไปรายงาน”
แม้ตอนนี้ท่านโหวอิ๋งจะถูกควบคุมตัว แต่เขาก็ไม่กล้าเสียมารยาท
ทว่าทหารยามเข้าไปครู่เดียว ก็รีบร้อนวิ่งออกมาอย่างหวาดกลัวแล้ว “ท่านโหวหายไปแล้ว!”
“หายไปแล้ว?” อ๋าวเฟยถลึงตามองเขา จากนั้นโบกมือผลักเขาไปไว้อีกด้าน แล้วเดินก้าวยาวบุกเข้าไป
พวกเขาเข้าไปดูในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ปัญหาอยู่ตรงเรือนที่ระเบิดพังเป็นเศษเล็กเศษน้อย พวกเขาร่ายอิทธิฤทธิ์คนหาพื้นที่ว่างเล็กๆ ทั่วทุกซอกทุกมุม แต่ไม่เห็นเงาคนแล้ว
เรื่องที่เกิดขึ้นต่อมาก็จินตนาการได้ไม่ยาก เขาติดต่ออิ๋งอู๋หม่านทันที แต่ติดต่อไม่ได้ จึงติดต่ออู๋เซียนฉีอีก แต่ก็ยังติดต่อไม่ได้ จึงไปตรวจสอบทิศทางที่คนหายไป คนข้างนอกบอกว่าไม่เห็นอิ๋งอู๋หม่านหายไป เห็นแค่อู๋เซียนฉีพาคนออกไป ไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว
อ๋าวเฟยโมโหแทบกระอักเลือด พบว่าทัพใหม่ช่างสมกับเป็นคนของอิ๋งอู๋หม่านจริงๆ มีคนถือวิสาสะบุกเข้าออกแต่ดันไม่มีใครรายงานขึ้นมาเลย เขารู้อยู่แจ่มแจ้งว่ากำลังพลกลุ่มนี้มีวรยุทธ์ค่อนข้างสูง ขนาดเขายังไม่กล้าให้เจียงเชียนหลี่นำออกไปใช้งาน เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่อง แต่ใครจะคิดว่าขนาดอยู่ในรังยังก่อเรื่องได้อีก
ฝั่งนี้คิดไปโดยสัญชาตญาณว่าอิ๋งอู๋หม่านไม่ยอมถูกักขัง จึงถือวิสาสะหนีไป แต่เจ้าจะไปก็ไปเฉยๆ สิ พาหยางเจาชิงไปด้วยหมายความว่าอะไร? จงใจจะถ่วงความเจริญกันใช่มั้ย?
อ๋าวเฟยที่สุดแสนเดือดดาลเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ตรงตีนเขาไม่หยุด สีหน้าแย่มาก
คนที่เฝ้าหยางเจาชิงอยู่นอกถ้ำ คนที่รับหน้าที่เฝ้าอยู่นอกชัยภูมิถ้ำสวรรค์ แล้วก็คนของทัพใหม่ที่รับหน้าที่เฝ้าด่านอยู่ทางนี้ นับรวมๆ แล้วได้เกือบร้อยคน ไม่นานทั้งหมดก็ถูกควบคุมตัวมาแล้ว แต่ละคนถูกเชือกมัดเซียนมัดไว้แน่น ถูกให้นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น
เมื่อถามซ้ำอีกครั้ง ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าอิ๋งอู๋หม่านกับอู๋เซียนฉีไปไหนแล้ว อ๋าวเฟยจ้องกลุ่มคนที่ถูกกดให้คุกเข่าบนพื้น ถ้อยคำที่โหดร้ายพุ่งพรวดออกมาจากซอกฟัน “ประหาร!”
“แม่ทัพใหญ่ไว้ชีวิตด้วย…”
ตรงนั้นมีเสียงวิงวอนขอร้องดังขึ้นทันที ทว่าจากนั้นก็ตามด้วยเลือดสดฉีดพุ่งสายแล้วสายเล่า ศีรษะหลายใบตกลงพื้น ไม่มีเสียงอะไรแล้ว
อ๋าวเฟยมองข้ามศีรษะที่กลิ้งอยู่บนพื้น ออกคำสั่งตรงนั้นเลยว่า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้สายลับที่กระจายตัวอยู่ค้นหาทิศทางของอู๋เซียนฉีเดี๋ยวนี้!”
ในโถงถ้ำศูนย์กลางของทัพใหญ่แดนรัตติกาลและทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำ ตานฉิงกับเมิ่งหรูเดินก้าวยาวกลับมารายงานผลการปฏิบัติงาน โดยมีหยางเจาชิงและสวีถังหรานเดินตามหลังเข้ามา
“นายท่าน โชคดีที่ยังมีชีวิตรอด จุดเดิมที่มีการดักซุ่มมีกำลังพลอยู่หลายแสนจริงๆ” หยางเจาชิงกุมหมัดคารวะ
“นายท่าน!” สวีถังหรานผมหายไปเกินครึ่งหัว ผมที่เหลือยุ่งเหยิงแผ่สยาย บนตัวมีแต่รอยเลือด สภาพสะบักสะบอมเกินทน มาเข้ามาก็คุกเข่าทันที น้ำตาไหลพรากขณะเงยหน้ามองเหมียวอี้ “ข้าน้อยนึกไม่ถึงว่าจะยังรอดชีวิตกลับมาเจอนายท่านได้ เป็นข้าน้อยที่ไร้ความสามารถ สร้างปัญหาให้นายท่านแล้ว!” เสียงพูดสะอึกสะอื้นเล็กน้อย
เมื่อได้เจอเขา เหมียวอี้ก็ทอดถอนใจเช่นกัน แต่ก็ปวดประสาทนิดหน่อย ทำไมเล่นบทคุกเข่าร่ำไห้อีกแล้วล่ะ
หารู้ไม่ว่าครั้งนี้สวีถังหรานซาบซึ้งแล้วจริงๆ นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะยอมลงทุนสู้กับทัพใหญ่ห้าล้านของตระกูลอิ๋งจนถึงที่สุด ในหลายปีมานี้ มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนขี้ประจบในสายตาคนอื่น รู้ว่ามีคนมากมายแอบดูถูกเขา คาดว่านายท่านก็อาจจะดูถูกเขาด้วยเหมือนกัน แต่เขาเองก็ไม่ได้ถือสาอะไร ย่อมมีมุมมองต่อความประพฤติอยู่แล้ว ทว่าครั้งนี้เขาซาบซึ้งใจมากจริงๆ ที่แท้ในหัวใจนายท่าน ตนก็มีน้ำหนะกมากขนาดนี้ ไม่เสียแรงที่ตนคอยวิ่งเต้นรับใช้มาหลายปี ครั้งนี้รู้สึกมีเกียรติในฐานะมนุษย์แล้วจริงๆ!
“กลับมาก็ดีแล้ว” เหมียวอี้ยื่นมือประคองเขาให้ลุกขึ้นมา แล้วกวักมือเรียกทั้งสองคน “พวกเจ้าตามข้ามา”
สวีถังหรานปาดน้ำตาและเดินตามเหมียวอี้เข้าไปในถ้ำภูเขาพร้อมกับหยางเจาชิง
หลังจากพ้นสายตาคนอื่นแล้ว เหมียวอี้ก็ถ่ายทอดเสียงถามหยางเจาชิงทันที “แน่ใจนะว่าฝั่งนั้นยังไม่รู้ว่าอิ๋งอู๋หม่านอยู่ในมือพวกเราแล้ว?”
หยางเจาชิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทางนั้นให้ฟังคร่าวๆ ทันที สุดท้ายก็กล่าวสรุปว่า “ในช่วงสั้นๆ นี้อาจยังไม่รู้ นอกเสียจากอู๋เซียนฉีนั่นจะกลับไปรนหาที่ตายเอง ข้าน้อยเห็นว่าอู๋เซียนฉีนั่นไม่ใช่ทหารที่จงรักภักดีอะไร เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตน น่าจะไม่ไปเสี่ยงอันตรายแบบนั้น”
“ดี!” เหมียวอี้ประมือ แล้วตบบ่าหยางเจาชิงอีก กล่าวชมอย่างจริงใจ “ทำได้ดีมาก!”
แม้เขาจะรู้ว่าหยางเจาชิงพูดเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่ที่จริงแล้วสุดแสนจะอันตราย ไม่ได้ผ่อนคลายขนาดนั้น ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่ได้โง่ หลังจากจบเรื่องย่อมทำความเข้าใจรายละเอียด ทว่าเขาก็ไม่ได้บอกหยางเจาชิงว่าเจ้าสร้างผลงานใหญ่จะตบรางวัลให้อย่างงาม เพราะสำหรับคนบางคน คำบางคำนั้นไม่จำเป็นต้องพูด
“เป็นเรื่องที่อยู่ในภาระหน้าที่” หยางเจาชิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม แล้วก็ยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร ราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เพราะเขารู้ตำแหน่งของตัวเองดี เมื่ออยู่ข้างกายเหมียวอี้เขาก็แค่ต้องทำงาน ไม่จำเป็นต้องสร้างผลงานเพื่อเอารางวัล สิ่งที่ควรจะมีหรือควรจะให้ เหมียวอี้ก็ให้เขาเสมอ ดูแลเขาไม่ขาดตกบกพร่อง การสะสมผลงานอย่างแนบเนียนต่างหากถึงจะเป็นแนวทางในการยืนหยัดข้างกายเหมียวอี้ เขาไม่เปิดเผยขั้นตอนระหว่างจับตัวอิ๋งอู๋หม่านให้ใครรู้
ส่วนทางด้านนี้ สวีถังหรานโยนเจ๋อชุนชิวออกมาแล้ว กล่าวด้วยสีหน้าจนใจว่า “นายท่าน ข้าน้อยใช้ประโยชน์จากเจ้าเวรนี่สั่งให้คนยักย้ายทรัพย์สินร้านค้านับพันของตระกูลอิ๋งจนเกือบหมดแล้ว แต่จนใจที่ตอนนี้โถงชุมนุมอัจฉริยะเคลื่อนไหวไม่สะดวก ใช้งานคนบางกลุ่มไม่ได้ เป็นเพราะมีกำลังคนไม่พอจริงๆ ไม่อย่างนั้นข้าน้อยคงขนร้านค้าของตระกูลอิ๋งได้เป็นหมื่นร้านแล้ว”
เขารู้แล้วว่าโถงชุมนุมอัจฉริยะได้รับความเสียหาย ยิ่งรู้ด้วยว่าโถงชุมนุมอัจฉริยะคือช่องทางรายได้ของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ตอนนี้ช่องทางรายได้เสียหายไปมากมายเพราะเขา ในใจเขารู้สึกกระวนกระวายที่สุด ดังนั้นระหว่างทางจึงทำทุกวิถีทางเพื่อบีบให้เจ๋อชุนชิวคายสมบัติของตระกูลอิ๋งออกมา หวังว่าจะชดเชยความเสียหายได้บ้าง
……………