พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1854 ศึกใหญ่เริ่มขึ้นแล้ว
ถ้ามองจากอีกมุม จะเห็นได้ว่าตอนนี้เหมียวอี้มีอำนาจไม่น้อยแล้วจริงๆ มีเรื่องมากมายที่เขาไม่ต้องลงมือเอง มีคนกลุ่มใหญ่ให้ระดมใช้งานได้ทุกเมื่อ พอบอกให้กระจายข่าวลือก็รู้กันทั้งใต้หล้าทันที บอกว่ายักย้ายร้านค้าของตระกูลอิ๋งนับพันร้านก็มีคนไปดำเนินการให้ทันที
สำหรับเหมียวอี้ในปีแรกๆ ต่อให้เขาจะมีแผนการที่ดีกว่านี้ แต่ในมือก็ไม่ได้มีคนมากกว่านี้คอยดำเนินการให้ ยิ่งไปต้องพูดถึงการยืนหยัดต่อสู้กับตระกูลอิ๋งที่สระน้ำมังกรดำ
พอมองเจ๋อชุนชิวที่ถูกทรมานสาหัสจนแทบไม่เหลือสภาพคน แล้วมองสวีถังหรานที่กำลังมองตนอย่างกังวลและจนใจ เหมียวอี้ก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาดี คิดในใจว่า ตอนนี้เจ้ายักย้ายทรัพย์สินของอีกฝ่ายไปหมดแล้ว จะไม่ถูกตระกูลอิ๋งสงสัยได้ง่ายเหรอว่าอิ๋งอู๋หม่านตกอยู่ในมือฝ่ายศัตรูแล้ว?
แต่ในเมื่อทำก็ทำไปแล้ว กอปรกับเป็นเจตนาดีของสวีถังหราน มิหนำซ้ำก็เพิ่งได้รับความลำบากมาเพราะทำงานให้เขา จะให้เขาว่าอะไรได้อีกล่ะ? หวังเพียงว่าภายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ทางร้านค้าจะยังไม่รู้ตัว ถึงอย่างไรก็ขนของในร้านค้าตระกูลอิ๋งไปหมดแล้ว
“เจ้า…” หยางเจาชิงจ้องสวีถังหราน เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะด่าแม่ ตัวเองเสี่ยงอันตรายขนาดนี้เพื่อเอาตัวอิ๋งอู๋หม่านมา ดีไม่ดีอาจจะหมดประโยชน์ด้วยน้ำมือเจ้าแล้ว
เหมียวอี้ยกมือห้ามไม่ให้เขาพูดต่อ แล้วถามสวีถังหรานด้วยรอยยิ้มเจื่อนว่า “ได้ทรัพย์สินมาเท่าไร?”
สวีถังหรานเห็นปฏิกิริยาของหยางเจาชิง ก็รู้ตัวแล้วว่าตัวเองทำอะไรผิดไป แต่เขาไม่รู้สถานการณ์คุมเชิงกันของฝั่งนี้ชัดเจน จึงเครียดทันที รีบกล่าวรับประกันว่า “นายท่าน แม้ตอนนี้จะยังไม่ได้นับรวม แต่ทรัพย์สินของตระกูลอิ๋งก็เห็นๆ กันอยู่ ทรัพย์สินของร้านค้านับพันไม่น้อยแน่นอน เป็นจำนวนที่น่าตกตะลึงแน่”
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออกจริงๆ บางครั้งเงินทองก็ไม่ได้สำคัญเท่าเรื่องบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นผลแพ้ชนะของศึกที่อยู่ตรงหน้านี้ เขาขยับมุมปากเล็กน้อย แอบถอนหายใจแล้วฝืนยิ้มออกมา “ดี! ยังไงก็ชดเชยความเสียหายได้บ้าง…อิ๋งอู๋หม่านล่ะ?” ไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้ว เปลี่ยนประเด็นสนทนาแล้ว
สวีถังหรานรีบโยนอิ๋งอู๋หม่านออกมา อิ๋งอู๋หม่านถลึงตาอย่างเดือดดาลทันที “หนิว…”
เหมียวอี้เอามือบีบคอเขา ทำให้เขาพูดคำหลังไม่ออก แล้วบีบหน้าหันซ้ายหันขวา กล่าวพลางแสยะยิ้มว่า “ท่านโหวอิ๋ง นึกไม่ถึงว่าจะมีวันที่กลายมาเป็นเชลยของหนิวคนนี้สินะ? ดูเขาไว้ให้ดี ตอนนี้อย่าเพิ่งให้รู้!” เขาผลักออกไป แล้วหันตัวเดินก้าวยาวออกไป
พอเข้ามาในโถงถ้ำ เหมียวอี้ก็เดินมายืนตรงหน้าเข็มทิศ จ้องเข็มทิศพลางถามว่า “กำลังพลที่เที่ยวตระเวนกลุ่มนั้นไปถึงไหนแล้ว?”
เหลิ่งจัวฉุนชี้ที่ตำแหน่งหนึ่งบนเข็มทิศ “มาถึงตรงนี้ ยังห่างจากตำแหน่งที่ดักซุ่มไว้ล่วงหน้า”
เหมียวอี้จ้องเข็มทิศคำนวณอะไรนิดหน่อย แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ไม่ต้องรอแล้ว เตรียมรุกโจมตี”
รุกโจมตี? ทุกคนตกใจ เหลิ่งจัวฉุนเตือนทันทีว่า “ตำแหน่งของพวกเขาในตอนนี้ อยู่ใกล้กับกำลังพลดักซุ่มห้าจุด ถ้ารุกโจมตีตอนนี้ ก็จะมีกำลังเสริมมาสนับสนุนทันที หรือว่าจะทำตามแผนเดิม ให้พวกเขาออกห่างสักหน่อยเพื่อให้เวลาพวกเรา?”
เหมียวอี้ตะโกนทันที “จิน ฟังคำสั่ง!”
“ขอรับ!” อ๋าวเถี่ยเอ่ยรับ
เหมียวอี้ใช้นิ้วลากบนเข็มทิศ “เจ้าพาพี่น้องสิบคนไปที่จุดดักซุ่ม ไปขอกำลังพลแดนรัตติกาลหนึ่งหมื่นจากหลงซิ่น ติดอาวุธเป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งคัน แล้วระดมกำลังพลห้าแสนของเผ่าเทพอสรพิษดำ ให้หลงซิ่นเป็นผู้บัญชาการ เจ้าคอยเป็นผู้ช่วย โจมตีกำลังพลหนึ่งแสนที่เที่ยวตระเวนอยู่ที่นั่นซึ่งๆ หน้า อย่าลืมล่ะ กำลังพลเก้าหมื่นที่ดึงจากเผ่าเทพอสรพิษดำให้ปลอมตัวเป็นกำลังพลแดนรัตติกาล”
“นายท่าน แค่กำลังพลแดนรัตติกาลหนึ่งหมื่นบวกกับกำลังพลเผ่าเทพอสรพิษดำห้าแสน เกรงว่าคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกำลังพลหนึ่งแสน ในเมื่ออิ๋งอู๋หม่านกล้าปล่อยคนหนึ่งแสนออกมา ก็เกรงว่าจะดูถูกไม่ได้ ข้าเดาว่าพวกเขามีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนไม่น้อยเลย” อ๋าวเถี่ยกล่าวอย่างงุนงง
“เรื่องนี้ข้ารู้ เดี๋ยวข้าจะมีคำสั่งอีกอย่าง ถึงตอนนั้นเจ้าย่อมเข้าใจเอง” เหมียวอี้กล่าว
“ขอรับ!” อ๋าวเถี่ยฝืนใจเอ่ยรับ
“มู่ จี ฟังคำสั่ง” เหมียวอี้ตะโกนอีก
“รับทราบ!” เมิ่งหรูกับจ่างหงเอ่ยรับ
เหมียวอี้ชี้วาดบนเข็มทิศต่อไป “พวกเจ้าสองคนพาพี่น้องยี่สิบคนเจอกับชิงเยว่ นำทัพใหญ่แดนรัตติกาลเก้าหมื่นกับเผ่าเทพอสรพิษดำสองล้านที่เหลือไปที่นี่ ดักซุ่มเงียบๆ อยู่บนทางที่กองหนุนทางตะวันตกจะต้องผ่าน ปล่อยให้ข้าศึกผ่านไป ไม่ต้องขัดขวาง รอให้กำลังพลของหลงซิ่นปะทะกับกองหนุนแล้ว ก็เทรังออกมาให้หมดทันที สังหารมาจากข้างหลังด้วยความเร็ว ร่วมโจมตีขนาบทั้งด้านหน้าด้านหลังไปพร้อมกับกำลังพลของหลงซิ่น ต้องทำให้กองหนุนเสียระเบียบให้ได้ ต่อให้ไม่อาจกำจัดกองหนุนได้หมด แต่ก็ต้องกำจัดได้จำนวนมากแน่นอน ถ้ากำลังพลของหลงซิ่นไม่ได้ปะทะกับกองหนุน กำลังพลของเจ้าก็ซ่อนตัวต่อไป รอฟังคำสั่งของข้าตอนหลัง”
“รับทราบ!” เมิ่งหรูและจ่างหงเอ่ยรับ
“อวิ๋น ฟังคำสั่ง!” เหมียวอี้ตะโกนอีกครั้ง
“อยู่ขอรับ!” ตานฉิงขานรับ
เหมียวอี้ชี้ตรงทางออกสระน้ำมังกรดำ “ตรงนี้มีกำลังพลห้าสิบของเผ่าเทพอสรพิษดำดักซุ่ม เจ้านำพี่น้องสิบคนไปที่ทางออกสระน้ำมังกรดำ รวมตัวกับผู้อาวุโสเผ่าเทพอสรพิษดำที่นำทัพ จัดระเบียบกำลังพลอย่างเร็วที่สุด เตรียมตัวควบคุมกำลังพลให้คล่อง ตอนเรียกออกก็ต้องประจำที่ให้เร็วเหมือนฟ้าผ่า ตอนสั่งถอยก็อย่าให้ข้าศึกไล่ตามทัน เตรียมตัวฟังคำสั่งข้าให้ดี ถ้าไม่มีคำสั่งข้าก็ห้ามเคลื่อนไหวโดยพลการ ใครขัดคำสั่งโดนประหาร!”
“รับทราบ!” ตานฉิงเอ่ยรับ
คนกลุ่มหนึ่งร่วมทั้งพวกชำชองสนามรบที่มาจากแดนอเวจีต่างก็ไม่เข้าใจว่าเหมียวอี้จัดเตรียมแบบนี้หมายความว่าอะไร
ส่วนเหมียวอี้ก็เรียกอ๋าวเถี่ยมาข้างกาย แล้วถ่ายทอดเสียงกำชับว่า “อ๋าวเถี่ย หยางเจาชิงไปเจรจาแล้วเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้เยอะมาก อิ๋งอู๋หม่านตกอยู่ในมือข้าแล้ว…”
อ๋าวเถี่ยยังฟังยิ่งตาเป็นประกาย หันกลับไปมองเข็มทิศ เผยสีหน้ากระจ่างทันที เหมือนเข้าใจแล้วว่าทำไมเหมียวอี้ต้องวางแผนอย่างนี้
สุดท้ายเหมียวอี้ก็ย้ำอีกว่า “เรื่องนี้คือกุญแจสำคัญของศึกนี้ จะให้คนอื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาด ถ้ายังไม่ถึงตอนสุดท้ายก็ห้ามเผยตัวอิ๋งอู๋หม่าน เข้าใจมั้ย?”
“เข้าใจ!” อ๋าวเถี่ยพยักหน้า
“คนอยู่กับสวีถังหราน ไปเอาตัวมาเถอะ” เหมียวอี้เอียงหน้าบอก จากนั้นก็ตะโกนบอกกลุ่มคนอีกว่า “กฎทหารเข้มงวด ฟังคำสั่งข้า ใครขัดคำสั่ง ฆ่าไม่ละเว้น ปฏิบัติเดี๋ยวนี้ ไปได้!”
“รับทราบ!” สี่คนที่ถูกเรียกชื่อกุมหมัดคารวะพร้อมกัน จากนั้นก็ออกไปเตรียมตัวด้วยความรวดเร็ว
อ๋าวเถี่ยดึงสวีถังหรานไปที่ห้องถ้ำอีกด้านหนึ่ง เสร็จแล้วถึงได้ออกไป
พวกโม่โหยวมองหน้ากันเลิกลั่ก เหมียวอี้ระดมกำลังพลอย่างเป็นระบบระเบียบสุดๆ ทำท่าเอาจริงเอาจัง ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ทำอย่างนี้ถูกหรือผิด แต่ศึกใหญ่กำลังจะเริ่มแล้ว คนกลุ่มนี้วิตกกังวลมาก ถ้าสู้ชนะก็ไม่เท่าไรหรอก แต่ถ้าสู้แพ้ขึ้นมา ก็กังวลจริงๆ ว่าเผ่าเทพอสรพิษดำจะถูกฝ่ายตระกูลอิ๋งล้างเลือด
“ผู้บัญชาการหนิว มีความมั่นใจในศึกหรือเปล่า?” สุดท้ายโม่โหยวก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
เหมียวอี้เหลือบตาขึ้นมองนาง “สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปมากในชั่วอึดใจเดียว ตั้งตารอดูเถอะ”
ตรงจุดที่มีดาวหกดวงล้อมรอบ ในโถงถ้ำ หวังหย่วนเฉียวพลันกำระฆังดาราในมือแน่น กล่าวเสียงต่ำว่า “แม่ทัพใหญ่ สายลับพบร่องรอยของอู๋เซียนฉีแล้ว”
อ๋าวเฟยที่เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอย่างร้อนรนพลันหันตัวมา รีบถามว่า “คนอยู่ตรงไหน?”
มาจนป่านนี้แล้ว เขาไม่ได้กังวลว่าจะเกิดเรื่องกับอิ๋งอู๋หม่าน แต่กังวลว่าอิ๋งอู๋หม่านจะตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อแล้ว
หวังหย่วนเฉียวชี้เข็มทิศ “อู๋เซียนฉีปลอมตัวมา ตอนถูกพบที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ฝ่ายเราเข้าใจผิดว่าเขาคือสายลับฝ่ายศัตรู พวกเราเลยดักไว้ แต่ไม่มีใครดักไหว อาจจะเป็นเพราะเขารู้แล้วว่าจะถูกเปิดโปง เลยเร่งความเร็วหนีเต็มที่ ตอนหลังหลังยอดฝีมือหลายคนของจงซานหมิงร่วมมือกันดักไว้ พอประมือกันถึงได้รู้ตัวตนของเขา แต่ก็ยังดักเขาไว้ไม่ได้ เขาหนีไปแล้ว สายลับพบว่าเขาหนีไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตลอดทาง”
อ๋าวเฟยลากนิ้วไปตามทางที่เขาหนีไป แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “อยู่ไม่ห่างจากอาณาเขตดาวนิรนามแล้ว ให้จงซานหมิงรวบรวมสายลับที่อยู่ทางนั้น ต้องสกัดเขาไว้ให้ได้!”
หลังจากจ่ายงานเรียบร้อยแล้ว เขาก็โล่งอกมากเช่นกัน ขอเพียงคนยังไม่ตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อก็ยังดี
“นายท่าน สายลับฝ่ายศัตรูทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือรวมตัวกันเคลื่อนไหว เหมือนกำลังไล่ฆ่าใครสักคน”
ทางด้านเหมียวอี้ ทหารที่ทำหน้าที่ติดต่อออกมาแล้ว ชี้บนเข็มทิศดาวพลางรายงาน
เหมียวอี้เหล่ตามองเข็มทิศ ในหัวมีชื่อของคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นมา ‘อู๋เซียนฉี’ เขายิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ “ไม่ต้องสนใจ จับตาดูต่อไปก็พอ”
ใต้ร่มไม้ริมแม่น้ำ เสียงน้ำกระเด็นดังตู้ม ละอองน้ำกระจาย
อิ๋งจิ่วกวงทุ่มเก้าอี้ลงในแม่น้ำเสียเลย โกรธจนหน้าเขียวแล้ว “เดรัจฉาน! ถ้าเก่งนักก็อย่ากลับมาอีกเลย!”
เขามั่นใจกับสถานการณ์ทางด้านอ๋าวเฟยมาตลอด แต่พอได้รู้เรื่องราวทางนั้นแล้ว เขาก็โมโหแทบตาย เขาเองก็คิดว่าอิ๋งอู๋หม่านก่อเรื่องเพราะไม่ยอมแพ้อ๋าวเฟย แค้นใจที่ตัวเองอนุญาตตอนที่อิ๋งอู๋หม่านมาเสนอตัวทำงานนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเวรนี่ เรื่องดีๆ คงไม่กลายเป็นอย่างนี้
“บอกอ๋าวเฟย ทำงานของตัวเองให้ดี ไม่ต้องสนใจความเป็นความตายของเจ้าเดรัจฉานนั่น!” อิ๋งจิ่วกวงพลันหันมาบอก
“รับทราบ!” หลังจากจั่วเอ๋อร์เอ่ยรับแล้ว ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลองถามอีกว่า “นายท่าน ต่อให้คุณชายใหญ่จะเป็นยังไง แต่ก็ไม่ถึงขั้นไม่รับข้อความระฆังดาราของท่านหรอกค่ะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วหรือเปล่า? หรือว่าเรื่องจะไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเราคิดไว้ อู๋เซียนฉีเป็นคนจับท่านโหวไปหรือเปล่า?”
อิ๋งจิ่วกวงเงียบทันที หลังจากหรี่ตาเบาๆ ก็กล่าวเสียงต่ำว่า “ยังไม่ต้องสนใจเจ้าเดรัจฉานนี่ บอกอ๋าวเฟยไป ต้องเข้าใจว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คืออะไร อย่าให้เสียระเบียบเพราะเจ้าเดรัจฉานนี่!”
“ค่ะ!” จั่วเอ๋อร์เอ่ยรับแล้วจัดการ
อ๋าวเฟยที่ได้รับข้อความนั้นกลับเงยหน้าถอนหายใจเบาๆ หวังเพียงว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้นกับอิ๋งอู๋หม่าน ไม่อย่างนั้นต่อให้ชนะศึกนี้ แต่พอกลับไปจะเผชิญหน้ากับท่านอ๋องได้อย่างไร เพราะถึงอย่างไรก็เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งอ๋อง
“แม่ทัพใหญ่ มีสถานการณ์ด่วนของข้าศึก!” หนึ่งในแม่ทัพเกราะม่วงที่รับหน้าที่ประสานงานวิ่งออกมา
“ว่ามา!” อ๋าวเฟยตะคอก หวังหย่วนเฉียวและคงฮั่นก็รีบเดินเข้ามาล้อมข้างเข็มทิศเช่นกัน
แม่ทัพเกราะม่วงชี้ “ทางตะวันตกเฉียงใต้ จู่ๆ ก็มีคนนับร้อยปรากฏตัว ดูจากกระบวนทัพแล้ว เป็นคนของทัพใหญ่แดนรัตติกาลจริงๆ กำลังมุ่งหน้าไปยังทัพใหญ่ที่เที่ยวตระเวนของฝ่ายพวกเรา!”
หวังหย่วนเฉียวเงยหน้ามองอ๋าวเฟย “คนนับน้อยจะบุ่มบ่ามไปหาทัพใหญ่หนึ่งแสนได้ยังไง คงจะมีกำลังพลซ่อนอยู่!”
อ๋าวเฟยกล่าวเสียงต่ำว่า “รวบรวมสายลับห้าร้อยให้ไปหยั่งเชิงเดี๋ยวนี้ สั่งให้เจียงเชียนหลี่เตรียมตัวรับข้าศึกด้วย สั่งให้กองหนุนทางตะวันตกเตรียมเข้ามาสนับสนุนได้ทุกเมื่อ”
คงฮั่นหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อถ่ายทอดคำสั่งให้ผู้นำของสามกองนั้นทันที
หลังจากนั้นพักหนึ่ง แม่ทัพเกราะม่วงก็พุ่งออกมาอีก รีบรายงานว่า “แม่ทัพใหญ่ สายลับห้าร้อยสกัดคนหนึ่งร้อยนั่นไม่ไหว อีกฝ่ายมีพลังแข็งแกร่งมาก สายลับห้าร้อยทนการโจมตีครั้งเดียวไม่ไหว พอประมือกันก็ร่วงเลย บาดเจ็บล้มตายไปเกือบสามร้อย อีกฝ่ายไม่เปลี่ยนแปลงทิศทาง!”
“คงจะเป็นยอดฝีมือที่ฝ่ายศัตรูรวบรวมไว้!” หวังหย่วนเฉียวกล่าว
ปั้ง! อ๋าวเฟยตบฝ่ามือบนเข็มทิศ แล้วกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ดี! ในที่สุดก็ออกมาแล้ว สงสัยหนิวโหย่วเต๋อจะอดใจไม่ไหว อยากจะกัดเนื้ออ้วนชิ้นนี้เต็มที ช่างใจกล้านัก! บอกเจียงเชียนหลี่ว่าต้องต้านไว้ให้ได้ บอกเชออู่ที่อยู่ทางตะวันตก ว่าถ้ายังไม่ได้รับคำสั่งจากข้าก็อย่าเคลื่อนไหวโดยพลการ อย่าทำให้อีกฝ่ายตกใจหนีไป รอให้ฝั่งเจียงเชียนหลี่ประมือจนแน่ใจว่าเป็นกำลังหลักของฝ่ายศัตรู พวกเราก็โจมตีทันที ไม่ต้องกวาดล้าง แต่ต้องพัวพันไว้ ถึงตอนนั้นค่อยสั่งให้สายลับหนึ่งล้านของจงซานหมิงที่กระจายตัวอยู่สี่ด้านแปดทิศไปรวมตัวกันที่จุดทำศึก พอเจอปลาลอดแหก็ฆ่าทิ้งซะ พร้อมสั่งให้กำลังพลดักซุ่มแต่ละสายเร่งตามมา ให้ทัพใหญ่หนึ่งล้านที่ปิดทางเข้าไว้ก็รีบตามมาให้หมด กำลังพลของข้าก็จะรีบตามไปที่นั่นเหมือนกัน กำจัดข้าศึกทิ้งในรวดเดียว!”
“ไม่เคลื่อนไหวกำลังพลที่ปิดล้อมทางออกเหรอ?” คงฮั่นถาม
อ๋าวเฟยโบกมือ “เคลื่อนไหวกำลังพลตรงทางออกไม่ได้ ป้องกันไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อใช้กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม[1]แล้วฉวยโอกาสหนีไป! แต่เจ้าเวรนั่นถ้าจะหนีก็คงหนีไปนานแล้ว ที่ดึงดันอยู่ต่อได้ก็เพราะเป็นพวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา!”
หวังหย่วนเฉียวกำหมัดตบฝ่ามือ “ดี! ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อจะหนีไป แต่ขอแค่กำจัดกำลังพลของเขาได้ พอในมือไม่มีกำลังทหารคุ้มครองแล้ว เขาก็ไม่เป็นโล้เป็นพายหรอก นอกเสียจากทั้งชีวิตนี้จะไม่โผล่หน้าออกมาอีกเลย ไม่อย่างนั้นก็โดนกำจัดได้ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ!”
…………………………
[1] กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม 声东击西 เป็นหนึ่งในกลศึกสามก๊ก เป็ฯการใช้วิธีหลอกล่อศัตรูให้เกิดการหลงทิศกับการบุกโจมตีและนำกำลังทหารไปเฝ้าระวังผิดตำแหน่ง