พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1860 กองทัพองครักษ์ห้าแสน
นอกสระน้ำมังกรดำ ประตูดวงดาวตรงทางเข้าและจุดสุญญากาศตรงทางออก จู่ๆ ก็มีกำลังกลุ่มใหญ่ปรากฏตัวขึ้น
ทั้งสองจุดล้วนมีทัพใหญ่หลายล้าน เป็นกำลังพลทัพใต้ที่ได้รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ให้มาตรวจสอบ ทว่ากำลังพลกลุ่มนี้ไม่ได้เข้าไปตรวจในสระน้ำมังกรดำตามคำสั่งตำหนักสวรรค์ แม่ทัพนำทัพใหญ่มารักษาการณ์ตรงทางเข้าออก เฝ้าไว้!
แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง บนตึกในเรือนด้านหลังของตำหนักปราชญ์
ใต้ตึก อวิ๋นอ้าวเทียน มู่ฝานจวิน ซือถูเซี่ยว ฉางเหลย จีฮวน ทั้งห้ามาถึงครบแล้ว ต่างคนต่างก็พาประมุขขุนพลมาด้วย พวกเขาเงยหน้ามองบนตึกเป็นระยะ
สถานการณ์ทางสระน้ำมังกรดำเริ่มดุเดือดขึ้น คนพวกนี้นั่งไม่ติดที่แล้ว ทยอยกันมาถึงที่นี่ แต่กลับถูกจินม่านขวางไว้ บอกว่าผู้ช่วยใหญ่มีธุระสำคัญ ไม่สะดวกจะรบกวน คนพวกนี้จึงทำได้เพียงรออยู่ตรงนี้
บนตึกศาลา หยางชิ่งนั่งพิงเก้าอี้อยู่ริมหน้าต่าง หลับตาโดยไม่พูดอะไร แต่มองเห็นได้ว่าลูกตาที่อยู่ใต้หนังตากำลังกลอกไปกลอกมาเป็นระยะ
จินม่านยืนกอดอกพิงริมหน้าต่าง มองดูมหาสมุทรกว้างที่อยู่ไกลๆ บางครั้งก็หันกลับมามองหยางชิ่งที่กำลังหลับตาอยู่ รู้ว่าเขากำลังครุ่นคิดเรื่องราว จึงไม่ได้รบกวนเขา
ตอนที่ได้ยินเก้าอี้ไม้ขยับเบาๆ พักหนึ่ง จินม่านก็หันกลับมามองอีกครั้ง เห็นหยางชิ่งค่อยๆ ลุกนั่ง แล้วยืนขึ้นอย่างช้าๆ
“เจ้าคิดหนักเกินไปแล้ว ในเมื่อตัดสินใจแทนราชาปราชญ์ไม่ได้ ต่อให้คิดมากกว่านี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” จินม่านพูดแขวะ
หยางชิ่งยิ้มบางๆ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้เสียเลย
ตรงทางออกสระน้ำมังกรดำ ทัพตะวันออกหนึ่งล้านที่เคยดักซุ่มอยู่ตรงนี้ปรากฏตัวหมดแล้ว กำลังเฝ้าที่นี่อย่างโจ่งแจ้ง
บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่อยู่ไกลๆ พวกเหมียวอี้มาถึงแล้ว ตานฉิงรวมทั้งผู้อาวุโสเผ่าเทพอสรพิษดำโผล่หน้ามาต้อนรับ
มองไปรอบๆ ครู่หนึ่ง เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง ถามตรงๆ เลยว่า “สิ่งที่ให้พวกเจ้าเตรียมไว้ พวกเจ้าเตรียมไว้เรียบร้อยหรือยัง?”
ตานฉิงพยักหน้า “นายท่านวางใจ เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว”
ขณะกำลังจะเอ่ยปากพูด เหมียวอี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าหยางชิ่งกำลังติดต่อมาหาเขา จึงหยิบระฆังดาราออกมา แล้วถามว่า : มีเรื่องอะไร?
หยางชิ่ง : นายท่าน ศพกับเชลยศึกของทัพตะวันออกห้าล้าน นายท่านพยายามรวบรวมไว้ก็ได้ ไม่แน่ว่าอาจถึงเวลาได้ใช้งาน
เหมียวอี้เงียบไป รู้ว่าหยางชิ่งพูดแบบนี้แสดงว่ามีเหตุผลแน่ ตอนนี้เป็นเวลาเร่งด่วน เขาไม่มีเวลามาค่อยๆ คิด จึงไม่ได้ถามอะไรละเอียดอีก ตอบไปเพียงว่า : เข้าใจแล้ว
หลังจากเก็บระฆังดารา เขาก็สั่งให้หยางเจาชิงติดต่อชิงเยว่เพื่อดำเนินการเรื่องนี้
จากนั้นคนเกือบสิบคนก็เร่งเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า มุ่งตรงไปยังดาราจักร
“นายท่าน มีความเคลื่อนไหว!”
ในทัพใหญ่หนึ่งล้านที่แน่นขนัดอยู่นอกประตูดวงดาวทางออก แม่ทัพคนหนึ่งรีบมาเตือนลู่ผิงฟาง
ลู่ผิงฟางที่กำลังคุยกับบรรดาแม่ทัพรีบหันกลับมา แล้วใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไป เห็นเงาคนรางๆ หลายคนกำลังเร่งเหาะมาทางนี้จริงด้วย ยังไม่ทันมองให้ละเอียด ทันใดนั้นเงาคนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทักใหญ่กองหนึ่งเร่งประชิดเข้ามาทางนี้
ลู่ผิงฟางตกใจทันที เขาเองก็กำลังติดตามสถานการณ์รบ นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ตรงนี้จะมีกำลังพลกลุ่มใหญ่ปรากฏตัว จึงรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนว่า “ข้าศึกบุก!”
ทัพใหญ่หนึ่งล้านรีบวางกำลัง ทว่าตอนที่กำลังจะเข้าใกล้ ทัพใหญ่กลับหยุดกะทันหัน ผู้ที่นำหน้ามายกมือห้ามทัพใหญ่ไม่ให้ไปต่อ จากนั้นหยิบระฆังดาราขึ้น ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน
ลู่ผิงฟางและทัพใหญ่หนึ่งล้านที่ปิดล้อมทางออกประตูดวงดาวสูดหายใจอย่างตกตะลึง ทัพใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมีกำลังพลประมาณห้าแสน ทั้งหมดแทบจะสวมเกราะรบเครื่องแบบตำหนักสวรรค์ แทบจะเป็นเกราะม่วงทั้งหมด หกสิบคนที่อยู่หน้าสุดสวมเครื่องแบบแม่ทัพเกราะแดง หมายความว่าหกสิบคนนี้อย่างน้อยต้องเป็นนักพรตบงกชกลาย
ที่น่าหวาดกลัวที่สุดก็คือ ในมือของกำลังพลห้าแสนแทบจะมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์คนละคัน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมหาศาลขนาดนี้ทำให้ฝั่งนี้ตกใจมาก
“นายท่าน คนที่สวมเกราะแดงมีขนนั่นคือหนิวโหย่วเต๋อ!” ผู้ช่วยข้างกายลู่ผิงฟางพลันโบกมือชี้เหมียวอี้ที่กำลังใช้ระฆังดาราติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง
“เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นหนิวโหย่วเต๋อ?” ลู่ผิงฟางหันขวับกลับมาถาม
ผู้ช่วยบอกว่า “ไม่ผิดแน่ ในปีนั้นตอนหนิวโหย่วเต๋อก่อเรื่องที่น่านฟ้าระกาติง ข้าเคยติดตามพ่อบ้านจั่วไปที่ตลาดสวรรค์ทางนั้น ข้าเคยเจอเขา”
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ข้างหลังมีคนทยอยบอกมาเรื่อยๆ ยืนยันว่าแม่ทัพที่อยู่ข้างหน้าคือหนิวโหย่วเต๋อ บางคนบอกว่าเคยเจอที่ตลาดผีมาก่อน บางคนบอกว่าโชคดีเคยเจอที่อุททยานหลวง บางคนบอกว่าในปีก่อนๆ เคยเจอที่ตลาดสวรรค์
ลู่ผิงฟางรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออ๋าวเฟยด้วยสีหน้าคร่ำเครียด
ขณะเห็นทัพใหญ่หนึ่งล้านฝั่งตรงข้ามตอบสนองราวกับพบศัตรูที่น่ากลัว จู่ๆ เหลิ่งจัวฉุนที่ทำท่าครุ่นคิดพักหนึ่งก็ถ่ายทอดเสียงถามเหมียวอี้ว่า “ราชาปราชญ์ ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ว่าทำไมท่านต้องให้จุดซ่อนตัวอยู่ตรงตำแหน่งกลางทางออกและทางเข้าสระน้ำมังกรดำ ที่แท้ก็ทิ้งทางหนีทีไล่ไว้ตั้งแต่แรกแล้วนี่เอง เพราะอยู่ใกล้”
“ก็แค่ป้องกันเหตุไม่คาดคิดเท่านั้น แสดงละครมาพอสมควรแล้ว ถอนกำลัง หนีเถอะ!” เหมียวอี้ที่เก็บระฆังดาราโบกมือ
ทัพใหญ่ห้าแสนฝั่งนี้หดตัวอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งเก็บเหมียวอี้เข้ากระเป๋าสัตว์ของตานฉิง ทัพใหญ่เปลี่ยนจำนวนคนแล้ว จู่ๆ ก็เลี้ยวหนีไปเลย
ในดาราจักร อ๋าวเฟยที่กำลังเร่งเหาะอยู่ในดาราจักรได้รับข่าวจากลู่ผิงฟางอย่างกะทันหัน เขาเองก็ตกใจเช่นกัน รีบถามว่า : เจ้ามองผิดหรือเปล่า หนิวโหย่วเต๋อจะเอากำลังพลห้าแสนจากไหนมาใส่เครื่องแบบนี้?
ลู่ผิงฟาง : แม่ทัพใหญ่ ไม่ผิดจริงๆ ข้าเห็นเองกับตา ไม่ใช่ตัวปลอม หนิวโหย่วเต๋อนำทัพใหญ่มาด้วยตัวเอง ทางฝั่งข้ามีคนไม่น้อยเคยเห็นหนิวโหย่วเต๋อ มองปราดเดียวก็จำเขาได้
อ๋าวเฟยถามว่า : เป็นกองทัพองครักษ์หรือเปล่า? ไม่อย่างนั้นจะเอาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มาจากไหนมากมายขนาดนั้น?
ลู่ผิงฟาง : เรื่องนี้ข้าไม่มีทางยืนยันได้
อ๋าวเฟยรีบถามอีก : แล้วสถานการณ์ทางเจ้าเป็นยังไงบ้าง?
ลู่ผิงฟางมองกำลังพลที่รีบรวมตัวกันแล้วหนีไป ก่อนจะตอบว่า : ทางฝั่งข้ายังไม่มีอุปสรรคอะไร หนิวโหย่วเต๋อยังไม่โจมตีกำลังของข้า แต่กลับหยุดอย่างกะทันหัน เก็บกำลังพลหนีไปแล้ว ค่อนข้างแปลก
ทัพใหญ่ติดอาวุธมาอย่างห้าวหาญขนาดนั้น เห็นได้ชัดว่ากำลังจะโจมตีลู่ผิงฟาง แต่กลับถอยไปแล้ว นี่มันหลักการอะไรกัน? อ๋าวเฟยครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็หนังตากระตุก รีบถามว่า : กำลังพลไปทางไหน?
ลู่ผิงฟางงงไปชั่วขระ หลังจากแยกแยะทิศทางที่เงาคนหายไปแล้ว ก็พลันเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน รีบตอบว่า : แม่ทัพใหญ่ เหมือนจะไปทางจุดที่ทัพใหญ่สองฝ่ายสู้กันแล้ว
อ๋าวเฟยหลับตาสะบัดหน้า “ฮึ่ย” แล้วรีบบอกว่า : พวกเขาจะไปช่วยกำลังพลที่ถูกถ่วงเวลาไว้ อย่าให้เขาหนีไป ตามติดหลังพวกเขาไป ข้าจะรีบดึงทัพใหญ่หนึ่งล้านของอูจินหวนไปดักไว้ ถึงตอนนั้นจะมีทัพใหญ่สองล้านล้านขนาบโจมตีหน้าหลัง ถ้ากำจัดไม่ได้ก็ถ่วงเวลาไว้ก็พอ!
ลู่ผิงฟางเข้าใจแล้ว รีบโบกมือให้บรรดาแม่ทัพ “ตามข้าไปจับตาดูพวกเขาไว้ ส่วนคนที่เหลือรวบรวมทัพใหญ่ตามมา!”
ไม่สนใจทัพใหญ่ที่รวมตัวกันข้างหลังแล้ว เขานำคนไม่กี่คนเร่งตามไปก่อน ถ้าถ่วงเวลานานกว่านี้ ศัตรูก็อาจหายไปจนไร้เงาแล้ว ตอนนี้สายลับหนึ่งล้านที่อยู่ฝั่งนี้กำลังรวมตัวแล้ว ไม่มีคนคอยช่วยจับตาดูให้พวกเขาอีกแล้ว
พอพวกอ๋าวเฟยไปแล้ว แม่ทัพที่อยู่ข้างหลังก็รีบรวบรวมทัพใหญ่ แล้วก็ตามหลังไป
อีกด้านหนึ่ง พอหวังหย่วนเฉียวเห็นอ๋าวเฟยมีสีหน้าโกรธแค้น ก็รีบถามว่า “แม่ทัพใหญ่ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
อ๋าวเฟยตอบว่า “สาเหตุที่ไอ้จัญไรนั่นไม่โผล่มาเลย ก็เพราะในมือยังมีทัพใหญ่เกรียงไกรห้าแสน ทัพใหญ่ที่โดนพวกเราถ่วงไว้คือกับดัก เขาฉวยโอกาสตอนที่พวกเรารวมทัพใหญ่ นำทัพเกรียงไกรห้าแสนไปจู่โจมกำลังพลของลู่ผิงฟางแล้ว”
คงฮั่นประหลาดใจ “มีอะไรน่ากลัว? กำลังพลห้าแสนนั่นคงจะเป็นกำลังพลเผ่าเทพอสรพิษดำ ถ้าเจอกับลู่ผิงฟางก็ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย จะได้กำจัดรวดเดียวเลย”
อ๋าวเฟยกล่าวอย่างร้อนใจ “ที่สำคัญคือกำลังพลห้าแสนนั่นไม่ใช่คนของเผ่าเทพอสรพิษดำ ทุกคนใส่เคนื่องแบบตำหนักสวรรค์ มีแต่ยอดฝีมือ แล้วในมือแต่ละคนก็ถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ นี่คือเครื่องแบบที่เผ่าเทพอสรพิษดำหามาได้เหรอ?”
อ๋าวเฟยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอีก “ข้าสงสัยว่าคนของกองทัพองครักษ์จะสอดมือเข้ามายุ่ง!”
“ประมุขชิงทำแบบนี้หมายความว่ายังไง? ให้ท่านอ๋องไปถามดูเถอะ!” หวังหย่วนเฉียวกล่าวอย่างโมโห
อ๋าวเฟยบอกว่า “ถ้ามบ้าอะไรล่ะ! ตอนนี้พวกเราเป็นโจร เปิดเผยฐานะที่แท้จริงได้เหรอ? กองทัพองครักษ์ปราบโจรผิดตรงไหน? ถ้าเปิดโปงขึ้นมา นอากจากประมุขชิงจะมาเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย เรื่องที่พวกเราดักฆ่าหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นการทำผิดกฎ แล้วจะให้ท่านอ๋องชี้แจงยังไง?”
“สถานการณ์การรบฝั่งลู่ผิงฟางเป็นยังไง?” คงฮั่นถาม
อ๋าวเฟยส่ายหน้า “ไม่ได้สู้กันเลย หลังจากหนิวโหย่วเต๋อนำทหารไปถึง จู่ๆ ก็ถอนกำลัง ไปทางจุดที่ทัพใหญ่สองฝ่ายกำลังต่อสู้กัน สถานการณ์ชัดเจนมาก เขาโยนกำลังพลมาล่อให้ทัพใหญ่ฝั่งพวกเรารวมตัวกัน จากนั้นค่อยโจมตีลู่ผิงฟาง จุดประสงค์ก็เพื่อกำจัดกำลังพลของลู่ผิงฟางได้อย่างไม่มีอะไรมาถ่วงรั้ง แต่เขาก็นึกไม่ถึงว่ากำลังพลที่เขาโยนออกมาล่อโดนพวกเราพัวพันไว้แล้ว ถ้าเสียเวลาอยู่กับลู่ผิงฟางอีก ทัพใหญ่แดนรัตติกาลของเขาก็จะตายกันหมด พอในมือไม่มีกำลังพลแล้ว เขาก็แบกรับผลที่ตามมาไม่ไหว ดังนั้นจึงเลิกตามไปช่วยลู่ผิงฟางก่อน!”
หวังหย่วนเฉียวกล่าวเสียงต่ำว่า “จะให้ทัพใหญ่สองกลุ่มนั้นไปรวมตัวกันไม่ได้ ถ้ากำลังพลกลุ่มใหญ่รวมตัวกับธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดใหญ่ สุดท้ายต่อให้พวกเราชนะ แต่ก็เป็นชัยชนะที่ยับเยิน เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้น แม้แต่กำลังพลหนึ่งล้านก็พากลับไปไม่ได้!”
อ๋าวเฟยแนะนำทั้งสองว่า “ดังนั้นข้าจึงสั่งให้ทัพใหญ่ของลู่ผิงฟางตามหลังเขาไป ตอนนี้สั่งให้ทัพใหญ่หนึ่งล้านของอูจินหวนเปลี่ยนทิศทาง ต้องดักหนิวโหย่วเต๋อไว้ให้ได้ แล้วค่อยตีขนาบหน้าหลังพร้อมกับลู่ผิงฟาง! ต่อให้กำจัดไม่ได้ แต่ก็รอให้พวกเราจัดการข้าศึกที่ติดพันต่อสู้นั่นก่อน แล้วจะตามไปสนับสนุน!”
ทั้งสองหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทันที ส่วนอ๋าวเฟยก็นำระฆังดาราขึ้นมาติดต่ออิ๋งจิ่วกวง
ริมแม่น้ำ อิ๋งจิ่วกวงราวกับสัตว์ร้ายที่ถูกยั่วโมโห พลันหันตัวมา ประชิดเข้าหาจนจั่วเอ๋อร์จนก้าวถอยหลัง “กองทัพองครักษ์ห้าแสน?”
จั่วเอ๋อร์ถอยหลังอย่างกังวลพร้อมตอบว่า “ท่านอ๋อง อ๋าวเฟยเองก็ยืนยันไม่ได้ เพียงเดาจากเครื่องแบบและอาวุธของฝ่ายตรงข้าม!”
อิ๋งจิ่วกวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “นอกจากกองทัพองครักษ์ หนิวโหย่วเต๋อจะเอาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มาจากไหนมากขนาดนั้น? ตระกูลอื่นไม่มีทางให้เขา! ช่างดีนักนะประมุขชิง นึกไม่ถึงว่าจะวางกับดักข้าอย่างนี้ บัญชีนี้เอาไว้พวกเราค่อยๆ สะสางเถอะ!” เขาสะบัดแขนเสื้อ ถือระฆังดาราอันหนึ่งไว้ในมือ ติดต่อฮ่าวเต๋อฟางโดยตรงแล้ว
ฮ่าวเต๋อฟางถามว่า : ยังเหลือเวลาอีกไม่ถึงสามชั่วยาม สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?
อิ๋งจิ่วกวง : กำลังพลของเจ้าไปถึงด้านนอกสระน้ำมังกรดำหรือยัง?
ฮ่าวเต๋อฟาง : ถึงแล้ว เจ้าวางใจเถอะ ถ้ายังไม่ถึงเวลา คนของข้าก็ไม่เข้าไป
อิ๋งจิ่วกวง : สั่งให้คนของเจ้าเข้าไปเดี๋ยวนี้ ช่วยข้าอีกแรง!
ฮ่าวเต๋อฟาง : ล้อเล่นอะไรของเจ้า? เจ้าบ้าไปแล้ว หรือว่าข้าบ้าไปแล้ว? มีทัพเกรียงไกรห้าล้านแล้วยังจะให้คนของข้าไปช่วยอีกเหรอ?
อิ๋งจิ่วกวง : ประมุขชิงกำลังหนุนหลังหนิวโหย่วเต๋อ เล่นไม่ซื่ออยู่เบื้องหลัง ในสระน้ำมังกรดำมีกองทัพองครักษ์ห้าแสนโผล่มา!
ฮ่าวเต๋อฟางเงียบทันที สุดท้ายก็ตอบช้าๆ ว่า : งั้นคนของข้าก็ยิ่งเข้าไปไม่ได้ ตอนนี้กำลังพลห้าล้านของเจ้าคือโจร กองทัพองครักษ์ปราบโจรเป็นหลักการที่สมเหตุสมผล จะให้คนของข้าถ่อเข้าไปช่วยโจรโจมตีกองทัพองครักษ์หรือไง? อีกเดี๋ยวกำลังพลกองทัพองครักษ์กลุ่มใหญ่จะไม่กำจัดคนของข้าไปด้วยหรอกเหรอ!
……………