พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1871 เริ่มฉายแววสิงห์ร้ายที่เห่อเหิมทะเยอทะยาน
“เจ้าเด็กนี่มันขาดสติปัญญา ทำไมเรื่องอะไรก็เอาไปพูดข้างนอกหมด?”
ตำหนักดาราจักร จู่ๆ ประมุขชิงที่นั่งอ่านแผ่นหยกอยู่หลังโต๊ะยาวก็ทำสีหน้าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เอาแต่ส่ายหน้าอยู่อย่างนั้น
ซ่างกวนชิงหัวเราะเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ แผ่นหยกนี้เขาส่งขึ้นมาเอง ข้างในคือเนื้อหาที่เขาถามชิงหยวนจุน หลังจากทางนี้ได้ข่าวว่าเหมียวอี้กับชิงหยวนจุนเจอกันแล้ว ประมุขชิงก็สั่งให้เขาถามชิงหยวนจุนว่าคุยอะไรกับเหมียวอี้บ้าง
สิ่งนี้ทำให้ชิงหยวนจุนแอบตกใจ แต่คิดไปคิดมาก็พบว่าไม่แปลก เพราะเดิมทีกองทัพองครักษ์ก็เป็นกลังพลสายตรงของเสด็จพ่ออยู่แล้ว จะรู้สถานการณ์ของตัวเองก็ไม่แปลกอะไร กอปรกับท่านแม่สั่งไว้ ท่านแม่คือคนที่เขาเชื่อใจมากที่สุดในโลกนี้ เขาเชื่อว่าท่านแม่ไม่มีทางทำร้ายเขา ดังนั้นถึงทำตามที่ท่านแม่กำชับไว้ รายงานบทสนทนาระหว่างตัวเองกับเหมียวอี้อย่างเปิดเผยซื่อสัตย์ ซ่างกวนชิงถามอะไรก็ตอบอย่างนั้น
ส่วนเนื้อหาที่ถามตอบกัน ซ่างกวนชิงก็เรียกได้ว่าคัดลอกไว้บนแผ่นหยกโดยไม่ขาดแม้แต่ตัวเดียว แม้แต่คำถามของตัวเองก็บันทึกลงไปด้วย เขาไม่กล้าเล่นตุกติกกับความสัมพันธ์ระหว่างสองพ่อลูกคู่นี้ ต้องรักษาท่าทีที่เที่ยงธรรมเอาไว้ ให้ประมุขชิงไปตัดสินเอง และไม่กล้าชักจูงชี้แนะอะไรด้วย ในฐานะที่เป็นคนสนิทข้างกายประมุขชิง เขารู้ว่าเรื่องบางเรื่องคนฐานะอย่างเขาไม่อาจแตะต้องได้ ถ้าคนฐานะอย่างเขากล้าเข้ามายุ่งเรื่องแบบนี้ ต่อให้อยู่กับประมุขชิงมานานแค่ไหน แต่ประมุขชิงก็ไม่มีทางเกรงใจเขาแน่
ซ่างกวนชิงย่อมรู้ว่าเพราะอะไรประมุขชิงถึงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เป็นเพราะเห็นว่าเหมียวอี้ยอมรับว่าราชินีสวรรค์สั่งให้ตัวเองลงมือกับสนมฉินแน่นอน ก่อนหน้านี้พอถามเรื่องนี้จากปากชิงหยวนจุน เขาก็รู้แล้วว่าจะทำให้ประมุขชิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ประมุขชิงจะลงโทษหรือไม่ลงโทษดีล่ะ? ใช่ว่าประมุขชิงจะไม่รู้ว่าตัวการใหญ่ที่ลงมือกับครอบครัวของสนมฉินคือราชินีสวรรค์ ก็แค่แกล้งโง่มาตลอดก็เท่านั้นเอง
“เฮ้อ! เจ้าเด็กนี่มันขาดสติปัญญา!” ประมุขชิงถอนหายใจอีกครั้ง ขณะที่กำลังยิ้มเจื่อน ก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาจำต้องยอมรับ นั่นก็คือลูกชายไม่เคยปิดบังอะไรเขาเลยตั้งแต่เด็กจนโต บางทีอาจจะขาดสติปัญญา แต่กลับไม่เคยหลอกลวงบิดาอย่างเขาและมารดาอย่างเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ซื่อสัตย์กับบิดามารดามาตลอด
แน่นอน นี่คือสิ่งที่เขาตัดสินผิดพลาด อย่างน้อยครั้งนี้ชิงหยวนจุนก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ตัวเองขอเงินจากเหมียวอี้ และไม่ได้บอกมารดาด้วย ทั้งยังให้เหมียวอี้ช่วยปิดบังให้อีก
แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว เขาไม่สนใจว่าชิงหยวนจุนจะขาดสติปัญหาหรือไม่ เขาต้องวางแผนสร้างอนาคตให้พวกพี่น้องเบื้องล่างที่หลั่งเลือดทำงานเพื่อเขา ถ้าไม่คิดวางแผนเพื่อลูกน้อง แล้วจะมีใครมาทำงานรับใช้เขาอีก? แล้วจะหล่อหลอมขวัญกำลังใจทหารได้อย่างไร?
ส่วนคำพูดที่กระตุ้นให้ชิงหยวนจุนฮึกเหิม เขาก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ชิงหยวนจุนจะกลายเป็นประมุขวีรบุรุษแห่งยุคได้หรือไม่ สำหรับเขานั้นไม่สำคัญเลยสักนิด ถึงขนาดหวังให้ชิงหยวนจุนโง่เขลาสักหน่อยด้วยซ้ำ ถ้าชิงหยวนจุนไม่โง่เขลา แล้วลูกน้องคนสนิทอย่างเขาจะเรืองอำนาจได้อย่างไร? แต่ไหนแต่ไรมาสาเหตุที่ขุนนางกุมอำนาจการปกครองได้ ก็เพราะมีประมุขโง่เขลาไร้ความสามารถ อำนาจมหาศาลถึงตกอยู่ในมือคนข้างกาย ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอย่างประมุขชิง มีหรือที่จะปล่อยให้อำนาจตกอยู่ในมือคนข้างกาย สี่อ๋องสวรรค์อยู่มานานขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าถูกประมุขชิงบีบไว้แน่นหรอกหรือ
ตอนที่วางแผนเรื่องในอนาคตกับหยางชิ่ง หยางชิ่งก็ได้ชี้แนะไว้ชัดเจนแล้ว ว่าชิงหยวนจุนจะได้รับความคาดหวังจากประมุขชิงหรือไม่นั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือต้องรักษาความสัมพันธ์พ่อลูกระหว่างชิงหยวนจุนกับประมุขชิงเอาไว้ นี่คือรากฐานของความสัมพันธ์พ่อลูกระหว่างประมุขชิงและชิงหยวนจุน ขอเพียงประมุขชิงยอมรับลูกชายคนนี้ในด้านความรู้สึก ในอนาคตไม่ว่าชิงหยวนจุนจะได้ขึ้นสู่ตำแหน่งหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ถึงตอนนั้นต่อให้ชิงหยวนจุนไม่ประสบความสำเร็จ ประมุขชิงก็จะคิดหาทางเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ลูกชายคนนี้ และจะไม่ตัดขาดพรรคพวกของชิงหยวนจุนด้วย หรือพูดได้อีกอย่างก็คือ ประมุขชิงจะไม่แตะต้องเหมียวอี้ อย่างน้อยในช่วงระยะเวลาหนึ่งก็จะไม่แตะต้อง พอเป็นแบบนี้ก็สามารถทำเวลาให้เหมียวอี้ได้ไม่น้อย
สำหรับสิ่งนี้ เหมียวอี้เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง!
ซ่างกวนชิงจับสังเกตได้ว่าประมุขชิงไม่ได้ไม่พอใจอะไร จากคำว่า ‘เจ้าเด็กนี่’ จากปากประมุขชิงก็ทำให้รู้แล้ว
“เพื่อที่จะโน้มน้าวหยวนจุน เจ้าลูกลิงนั่นถึงขั้นใช้ประโยชน์จากความรักระหว่างแม่ลูกแล้ว นับว่าใส่ใจ” ประมุขชิงมองแผ่นหยกพลางพึมพำ “จะได้ผลกับหยวนจุนหรือเปล่า?”
ซ่างกวนชิงเดาออกทันทีว่าประมุขชิงคงเห็นที่หนิวโหย่วเต๋อบอกว่า ราชินีสวรรค์ได้รับความอัปยศใหญ่หลวงตอนอยู่ในวัง เขาจึงแสร้งทำเป็นไม่เห็น และไม่แสดงความคิดเห็นอะไรด้วย
“ครั้งนี้อิ๋งจิ่วกวงเสียหน้าหมดแล้วจริงๆ แต่ศึกนี้เจ้าลูกลิงก็ทำได้งดงาม นับว่าใช้ความพยายามทุกอย่าง” เมื่อได้อ่านขั้นตอนที่เกิดขึ้นระหว่างการรบ ประมุขชิงถึงได้เข้าใจว่าขั้นตอนการต่อสู้ที่แท้จริงเป็นอย่างไร แม้ทางนี้จะรู้สถานการณ์คร่าวๆ จากสายลับเผ่าเทพอสรพิษดำแล้ว แต่รายละเอียดก็ไม่ชัดเจน นอกจากบุคคลระดับสูงของเผ่าเทพอสรพิษดำที่อยู่ที่ศูนย์บัญชาการกับเหมียวอี้ตลอด สมาชิกส่วนใหญ่ของเผ่าเทพอสรพิษดำก็รู้ไม่ครบว่าศึกนี้สำเร็จได้อย่างไร
“คนที่ข้าเลี้ยงมาตั้งหลายปี สุดท้ายก็เฉิงอวี่ก็ได้ชุบมือเปิบแล้ว” อ่านไปอ่านมาเขาก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวเหน็บแนม
ซ่างกวนชิงยิ้มบางๆ แล้วก็รีบเก็บสำรวมสีหน้าหน้าทาง ฟังออกแล้วว่าประมุขชิงไม่ค่อยพอใจ
“หึหึ หนึ่งหมื่นล้านล้านยาแก่นซียน ผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์…สงสัยคนของโถงชุมนุมอัจฉริยะที่ถูกปล่อยจะเป็นหนึ่งในการชดเชยของอิ๋งจิ่วกวง…” ประมุขชิงเดาะลิ้นส่ายหน้าอีก แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้ามองซ่างกวนชิง ถามอย่างตกใจว่ “อิ๋งอู๋หม่านยังไม่ตาย ยังอยู่ในมือเขาเหรอ?”
ซ่างกวนชิงพยักหน้า “องค์ชายพูดอย่างนี้ แม้แต่เรื่องสนมฉินก็ยังพูดแล้ว คาดว่าหนิวโหย่วเต๋อคงไม่เอาเรื่องนี้มาหลอกองค์ชายขอรับ”
ประมุขชิงเหล่ตามองแผ่นหยกในมือ “สะสางบัญชีกับตระกูลอิ๋ง เขายังคิดจะใช้อิ๋งอู๋หม่านมาลงมือกับตระกูลอิ๋งก่อน เจาคิดว่าเขาจะทำยังไง?”
ซ่างกวนชิงส่ายหน้า “ไม่ทราบขอรับ บ่าวถามองค์ชายแล้ว องค์ชายบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้พูดรายละเอียดเรื่องนี้ เพียงเอ่ยถึงเท่านั้น”
“อ้อ!” ประมุขชิงแสยะหัวเราะ “เช่นนั้นข้าก็จะตั้งตารอดูแล้วกัน” พูดจบก็โยนแผ่นหยกไว้บนโต๊ะ แล้วลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะ เอามือไขว้หลังเดินเนิบนาบอยู่ในตำหนักใหญ่ พอเดินมาถึงหน้าประตูก็ยืนเงียบอยู่พักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ถามด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้มว่า “เฉิงอวี่กับหยวนจุนดูเหมือนคนในครอบครัวเดียวกันมากกว่าหรือเปล่า?”
ซ่างกวนชิงที่เดินตามอยู่ข้างหลังเข้าใจความรู้สึกของเขา กำลังถามว่าในฐานะบิดา เขาไร้ความปรานีเกินไปหรือเปล่า? จึงปลอบใจทันที “ฝ่าบาทมีปณิธานต่อใต้หล้า ในภายหลังองค์ชายย่อมเข้าใจ”
“มีปณิธานต่อใต้หล้า…” ประมุขชิงแววตาดูเลือนลอยขณะพึมพำกับตัวเอง สีหน้าเจือด้วยความสลดหดหู่
ซ่างกวนชิงหันมองใบหน้าด้านข้างแวบหนึ่ง แล้วรีบเปลี่ยนประเด็นสนทนาเพื่อคลายบรรยากาศ “ฝ่าบาท ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งแสนกว่าคันที่อยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อจะจัดการอย่างไรขอรับ? จะให้ส่งออกมาหรือเปล่า?”
“ในเมื่อทั้งสองฝ่ายล้วนแกล้งโง่ช่วยกันปิดบัง ถ้าข้าปิดบังตอนนี้จะไม่ไปลดโอกาสในการตักตวงผลประโยชน์ของเจ้าลูกลิงนั่นเหรอ ได้เห็นปฏิกิริยาของอิ๋งจิ่วกวงตอนขาดทุนควักเนื้อก็เป็นเรื่องที่น่าสนุกเหมือนกันไม่ใช่หรือ ในเมื่อรู้ว่าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อยู่ในมือเจ้าเด็กนั่นแล้ว มันจะหนีไปไหนได้อีก? ข้าเอากลับมาได้ทุกเมื่อ คอยดูไปเถอะ ข้าอยากจะเห็นนักว่าเขาจะหาเรื่องตระกูลอิ๋งยังไง…” ประมุขชิงพลันหรี่ตา “หนิวโหย่วเต๋อน่าจะรู้ว่าปิดบังเรื่องนี้ข้าไม่ได้ แต่กลับยังฮุบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนี้ไว้ แบบนี้แปลว่าอะไรล่ะ? แปลว่าเขารู้ว่าตอนนี้ข้าไม่อยากแตกคอกับอิ๋งจิ่วกวง ถึงได้ฉวยโอกาสนี้ตักตวงผลประโยชน์ไว้…เจ้าเด็กนี่ไม่เหมือนในปีนั้นแล้ว วิธีการยิ่งสูงส่งล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังช่ำชองการศึก ในภายหลังเกรงว่าสองแม่ลูกคงจะคุมไม่อยู่ ต้องสังเกตการณ์ไปก่อน!”
เริ่มฉายแววสิงห์ร้ายที่เห่อเหิมทะเยอทะยาน? ซ่างกวนชิงฟังแล้วแอบตกใจ นึกไม่ถึงว่าประมุขชิงจะวิจารณ์หนิวโหย่วเต๋อด้วยคำพูดประเภทนี้ มีความหมายแฝงอะไรกัน?
ทว่าในตอนนี้เอง ซ่างกวนชิงก็ดึงสติกลับมา แล้วดึงระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมา หลังจากติดต่อได้ครู่เดียว ก็ทำสีหน้าตกตะลึง หลังจากเงียบไปสักพัก ก็รายงานว่า “ฝ่าบาท อ๋องอสรพิษดำมีรายงานขอรับ!”
“อ้อ!” ประมุขชิงก็ดึงสติกลับมาแล้วเช่นกัน “ปกติก็ไม่ติดต่อมาทางนี้ ทำไมนางถึงคิดได้ว่าต้องรายงานในเวลานี้ นางรายงานอะไรมาบ้าง?”
ซ่างกวนชิงตอบว่า “อ๋องอสรพิษดำบอกว่าคนในเผ่าประสบหายนะใหญ่หลวง บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน นางมิอาจเลี่ยงความผิดนี้ จึงสละตำแหน่งหัวหน้าเผ่าเทพอสรพิษดำแล้ว ตอนนี้ให้ผู้อาวุโสโม่โหยวคุมเผ่าแทน จึงขอให้ฝ่าบาทถอดตำแหน่งอ๋องอสรพิษดำให้ หวังว่าฝ่าบาทจะส่งต่อมงกุฎอ๋องอสรพิษดำให้โม่โหยว”
ประมุขชิงพ่นเสียงทางจมูก “ตายไปล้านกว่าก็ทำท่าจะเป็นจะตายแล้ว ความคิดอ่านของสตรี! นางต้องขอบคุณหนิวโหย่วเต๋อกับอิ๋งจิ่วกวงสิถึงจะถูก เจ้าสองคนนั้นก่อเรื่องไว้ กลับถ่วงเวลาที่ข้าจะลงมือด้วยซ้ำ ถ้าจะให้ข้าลงมือเองจริงๆ เกรงว่าถึงตอนนั้นคงไม่ใช่แค่หนึ่งล้านคนแน่ๆ อนุญาตไปเถอะ แม้แต่หัวหน้าเผ่าก็ไม่ใช่แล้ว ยังจะสวมมงกุฎอ๋องไว้บนศีรษะนางทำไม!”
“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ แล้วเตรียมดำเนินการเรื่องนี้
สระน้ำมังกรดำ กองทัพองครักษ์ก็แค่ทำงานพอเป็นพิธีเท่านั้น ทั้งหาโจรไม่พบ และหาเผ่าเทพอสรพิษดำไม่พบด้วย หลังจากเตะถ่วงยืดเวลานิดหน่อยก็ถอนกำลังออกไปแล้ว
พอกองทัพองครักษ์ถอนกำลัง เหมียวอี้ก็ไม่สะดวกจะอยู่ที่สระน้ำมังกรดำนาน ถ้าอิ๋งจิ่วกวงโจมตีกลับมาอีกครั้งก็จะไม่สนุกแล้ว แม้จะรู้ว่าตอนนี้อิ๋งจิ่วกวงไม่น่าจะทำอย่างนั้น แต่ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็ ‘เชิญ’ กองทัพองครักษ์กลับไปแล้ว แต่ก็ยังต้องระวังเอาไว้ พยายามออกไปให้เร็วที่สุด
ขณะที่ฝั่งนี้กำลังเก็บรวมกำลังพล บนท้องฟ้ากลับมีคนกลุ่มหนึ่งเหาะลงมา ชิงเยว่กับหลงซิ่นรวมถึงทัพใหญ่แดนรัตติกาลมาล้อมคุ้มกันเหมียวอี้ทันที คอยเฝ้าระวังผู้ที่มา
ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน อ๋องอสรพิษดำนั่นเอง ทั้งยังมีผู้อาวุโสอีกหลายคนของเผ่าเทพอสรพิษดำ
พวกเหมียวอี้สังเกตเห็นความผิดปกติ พบว่าที่คาดผมใบหัวใจสีเขียวบนศีรษะอ๋องอสรพิษดำหายไปแล้ว ตอนนี้สวมใส่อยู่บนศีรษะของโม่โหยวแทน ส่วนโม่โหยวและผู้อาวุโสคนอื่นๆ มีก็สีหน้าเศร้าสลดอย่างที่ปิดบังได้ยาก
เห็นได้ชัดว่าไม่ปกติ พวกเหมียวอี้มองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่ค่อยเข้าใจว่าหมายความว่าอะไร อย่างไรเสียก็รู้สึกว่าไม่ปกติ
ท่ามกลางสายตาของทุกคน อ๋องอสรพิษดำก้าวออกมาจากวงผู้อาวุโส จากนั้นก็หันตัวไปหาโม่โหยว ค่อยๆ ย่อตัวลง แล้วคุกเข่าข้างเดียวทำความเคารพโม่โหยว
กลุ่มผู้อาวุโสทยอยกันคุกเข่าข้างเดียวทำความเคารพกลับ โม่โหยวก็ยิ่งรีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า ใช้สองมือประคองให้อ๋องอสรพิษดำลุกขึ้นมา แล้วส่ายหน้าในขณะที่น้ำตาคลอ
พวกเหมียวอี้ยิ่งไม่เข้าใจแล้ว นี่อ๋องอสรพิษดำกำลังคุกเข่าทำความเคารพโม่โหยวเหรอ? สายตาของทุกคนย้ายไปรวมตรงที่คาดผมใบหัวใจสีเขียวบนศีรษะโม่โหยว ในใจแต่ละคนพึมพำว่า ไม่ใช่หรอกมั้ง หรือว่า…
อ๋องอสรพิษดำผละออกจากสองมือของโม่โหยว หันตัวก้าวเข้ามาช้าๆ เดินมาทางฝั่งเหมียวอี้
เหมียวอี้เอามือลูบจมูก พอจะเดาอะไรออกแล้ว รู้สึกอับอายนิดหน่อย
แต่พวกชิงเยว่กลับงุนงงเหมือนหมอกลงในสมอง เมื่อเข้ามาใกล้ในระยะหนึ่งก็ขวางอ๋องอสรพิษดำไว้ ไม่ให้นางเข้าใกล้เหมียวอี้เกินไป จะได้ไม่ภัยคุกคามต่อเหมียวอี้
อ๋องอสรพิษดำหยุดเดิน แล้วพูดกับเหมียวอี้ที่ยืนอยู่หลังการคุ้มกันที่หนาแน่นด้วยเสียงดังว่า “ข้าไม่ใช่อ๋องอสรพิษดำแล้ว ไม่ใช่หัวหน้าเผ่าเทพอสรพิษดำด้วย ถูกขับไล่ออกจากเผ่าเทพอสรพิษดำแล้ว หัวหน้าภาคหนิวยินดีจะรับข้าไว้หรือไม่?”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เผ่าเทพอสรพิษดำและบรรดาผู้อาวุโสต่างก็มีสีหน้าเศร้าอาดูร โม่โหยวก็ยิ่งน้ำตาไหลเป็นสาย
…………