พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1877 กล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูด
ศีลแปดถูกนางมองจนอึดอัดไปทั้งตัว ถามอย่างกินปูนร้อนท้องเช่นกันว่า “จะมองข้าอย่างนั้นทำไม?”
“เจ้าบอกข้ามาแต่โดยดี เจ้ามาจากที่ไหน?” อวี้หลัวช่าถาม
ด้วยโลกทัศน์ของนาง นางย่อมเข้าใจว่าเรื่องที่สระน้ำมังกรดำนั้น อิ๋งจิ่วกวงไม่มีทางเลิกจองเวรเหมียวอี้แน่ ตอนแรกนางนึกว่าศีลแปดมาเพื่อหลบภัย ผลปรากฏว่าพูดเผยพิรุธทันที
เขาหันหลังเบี่ยงข้างให้ “ยังจะมาจากไหนได้อีก บอกแล้วไงว่าพี่ใหญ่บังคับให้ข้าเก็บตัวฝึกตนมาตลอด…ไอ้หยา เจ้าปล่อยนะ!” จู่ๆ ก็ร้องเสียงแปลกๆ อวี้หลัวช่าบีบข้อมือเขาไว้แล้ว ความรู้สึกนั้นราวกับกระดูกจะถูกบีบแตก
อวี้หลัวช่าคว้าข้อมือเขาสะบัด เนื้อย่างในมือศีลแปดกระเด็นหายจนไม่เห็นเงาแล้ว
หลังจากข้อมือได้รับอิสระแล้ว ศีลแปดก็กระโดดลงจากเตียงทันที นวดข้อมือพลางร้องบ่นว่า “อาศัยว่าวรยุทธ์สูงรังแกคนอื่นใช่มั้ย? ยังมีความเป็นกุลสตรีบ้างหรือเปล่า?”
อวี้หลัวช่านอนตะแคงเอามือหนุนศีรษะ แสยะยิ้มพลางบอกว่า “พูดเหลวไหลตาไม่กระพริบ เจ้าไม่ได้มาจากทางพี่ใหญ่เลย ไม่อย่างนั้นเรื่องที่พี่ใหญ่เจ้าเกือบเอาชีวิตไม่รอด คงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะไม่รู้?”
ศีลแปดปวดใจทันที เบิกตากว้างขึ้นหลายเท่า “เจ้าพูดอะไรน่ะ? พี่ใหญ่เป็นอะไรไป?”
เขาจะไปรู้เรื่องสระน้ำมังกรดำได้อย่างไร เขาถูกขังอยู่ที่จุดซ่อนสมบัติลับสำนักหนานอู๋หลายปีขนาดนั้น เป็นการฝึกตนแบบสามวันจับปลา สองวันตากแห[1] ไม่มีกะจิตกะใจจะฝึกตนเลย ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือทนอุดอู้ไม่ไหว ตอนนั้นหลังจากเหมียวอี้ไปแล้ว เขาก็คิดหาทางที่จะออกมาตลอด แต่จนใจที่หาทางออกไม่เจอเลย เขาถึงได้บังคับตัวเองให้ลองฝึกตนดูสักครั้ง แต่วิธีฝึกตนที่ก่อกวนสภาพจิตใจแบบนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะรับไหว เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ แทบจะกลายเป็นบ้าอยู่แล้ว
ช่วงนี้เขาเพิ่งจะตระหนักถึงวิธีการเปิดประตู จึงแอบหนีออกมาทันที เขาไม่กล้าไปหาเหมียวอี้หรอก ยังฝึกไม่สำเร็จจะกล้าไปหาเหมียวอี้ได้อย่างไร อีกทั้งยังถูกขังมาหลายปีขนาดนั้น อยากจะหาผู้หญิงเพื่อผ่อนคลายสักหน่อย ตัวอยู่ที่แดนสุขาวดีพอดี อยู่ใกล้กับอวี้หลัวช่า เฝ้าคิดถึงวิธีการปรนนิบัติของอวี้หลัวช่ามาตลอด จึงมาด้วยความลุ่มหลงในความงาม ผลก็คือได้ผ่อนคลายจริงๆ ด้วย รสชาติแบบนั้นยอดเยี่ยมจนตอนอยู่ที่สถานที่ผนึกเทียบไม่ติด
อวี้หลัวช่าชำเลืองมองเขา “ปั้นเรื่องต่อไปเถอะ เจ้ามาจากทางพี่ใหญ่ไม่ใช่เหรอ?”
“เอ่อ…” เงียบ ตอนนี้รู้ตัวทันทีว่าตัวเองตกหลุมพรางแล้ว จึงเดินไปด้านข้างแล้วเหก็บเสื้อผ้าขึ้นมาใส่ “ถ้าไม่ต้อนรับ ข้าไปก็ได้” ในใจพึมพำว่า ข้าได้คลายผนึกจุดหยางแล้ว ยังกลัวจะหาผู้หญิงไม่ได้เชียวเหรอ?
“พี่ใหญ่กับอิ๋งจิ่วกวงสู้กันแล้ว นำทัพใหญ่หนึ่งแสนแดนรัตติกาลไปที่สระน้ำมังกรดำเพื่อทำศึกกับทัพตะวันออกห้าล้าน…” อวี้หลัวช่าที่เรือนร่างขาวดุจหยกเล่าสถานการณ์ที่รู้ให้ฟัง
ศีลแปดที่สวมเสื้อผ้าเสร็จแล้วก้าวขาไม่ออกทันที ยืนฟังด้วยความตกตะลึง หลังจากฟังจบ ก็ลองถามว่า “หมายความว่าตอนนี้พี่ใหญ่ไม่เป็นอะไรแล้วใช่มั้ย?”
“จะต้องการจะไปไม่ใช่เหรอ?” อวี้หลัวช่าถามเสียงเย็น
“เหอะๆ! ข้าล้อเล่น เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปไหนได้ล่ะ” ศีลแปดนั่งลงบนเตียงอย่างหน้าด้านอีกครั้ง ขณะที่สองมือกำลังจะลูบไล้บนร่างกายนาง แต่กลับกลายเป็นร้อง “โอ๊ยๆ”
อวี้หลัวช่าบีบข้อมือที่มันแผล็บของเขา แล้วพูดทิ้งท้ายว่า “ไปล้างให้สะอาด!”
“ได้ๆ!” ศีลแปดถลันตัวไปริมลำธารทันที ล้างมือสะอาดแล้วถึงได้วิ่งกลับมา พอล้มตัวลง ก็กอดอวี้หลัวช่าด้วยความเซ็งอีกครั้ง พลางถามว่า “พี่ใหญ่ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”
อวี้หลัวช่าเอามือคล้องคอเขา พ่นลมหายใจหอมสดชื่นกระซิบข้างหูเขาว่า “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะไม่รู้เลยสักนิด ตามหลักแล้วเจ้าสามารถติดต่อพี่ใหญ่ของเจ้าโดยตรงได้เลย ดูท่าแล้วเจ้าคงไม่อยากให้พี่ใหญ่เจ้ารู้ บอกมาแต่โดยดี เจ้ามาจากไหนกันแน่?”
นางเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน เดิมทีสามารถใช้วิชาเสน่ห์ทำให้ศีลแปดพูดอย่างซื่อสัตย์ได้ ทว่าสิ่งที่น่าแปลกก็คือ วิชาเสน่ห์ที่นางฝึกมาอย่างเชี่ยวชาญและลึกซึ้งได้ผลแค่นิดหน่อย ระบำมารสวรรค์ก็แค่เพิ่มความบันเทิงให้ศีลแปดนิดหน่อยเท่านั้น ตอนนี้ตัวเองเจอกับคู่รักคู่อาฆาตแล้วจริงๆ
สองมือเขากำลังลูบไล้อยู่บนตัวนาง “พูดความจริงก็ได้ ข้าเก็บตัวฝึกตนมาตลอด ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ข้าโดนพี่ใหญ่กักบริเวณไว้ในสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อบังคับให้ฝึกตน ไม่ง่ายเลยกว่าข้าจะงัดประตูแอบหนีออกมาได้ จะกล้าให้พี่ใหญ่รู้ได้ยังไงล่ะ เดี๋ยวกลับไปพี่ใหญ่ต้องหักขาข้าแน่”
อวี้หลัวช่าบิดร่างกาย ทำตาปรือกล่าวด้วยสีหน้าผ่อนคลาย “จริงเหรอ? เจ้านี่ใจกล้าไม่เบา ต่อไปถ้าพี่ใหญ่ลงมือกับเจ้า ข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้นะ”
ศีลแปดหัวเราะแห้งๆ “ก็ไม่ใช่เพราะข้าคิดถึงเจ้าหรอกเหรอ เลยอดใจไม่ไหวต้องแอบหนีมาหาเจ้าไง”
อวี้หลัวช่าพ่นเสียงทางจมูก ทำท่าเหมือนไม่ได้ปฏิเสธและไม่ได้ยอมรับ นางมีประสบการณ์เรื่องผู้ชายมาเยอะจนตัวเองก็ยังนับไม่หมด สันดานผู้ชายเป็นอย่างไร มีหรือที่นางจะไม่รู้ชัด แต่สิ่งนี้ไม่สำคัญแล้ว ขอเพียงศีลแปดรักษาสัญญาก็พอ นางจึงไม่พูดประเด็นนี้ ถามว่า “ไปถูกขังอยู่ที่ไหนมาตั้งหลายปี?”
ศีลแปดพลิกตัวเอนกายอยู่ข้างกัน แล้วกล่าวพร้อมยิ้มเจื่อน “เรื่องนี้บอกไม่ได้จริงๆ เจ้าเองก็อย่าถามเลย พี่ใหญ่ข้าหวังดี ข้าก็แค่เหงาจนทนไม่ไหว ทนความอดอยากไม่ไหวจนหนีออกมา” ขณะที่พูดก็ตบต้นข้านางเบาๆ “รีบบอกมาเถอะ เรื่องพี่ใหญ่ข้าเป็นยังไงกันแน่?”
อวี้หลัวช่าพลิกตัว ร่างกายครึ่งหนึ่งของนางนอนหมอบบนร่างกายเขา “ต้องบอกเลยว่าพี่ใหญ่ของเจ้าเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ ทำศึกที่สระน้ำมังกรดำได้งดงาม ขนาดทัพตะวันออกห้าล้านยังต้านพี่ใหญ่ของเจ้าไม่ไหว ตอนนี้ได้เลื่อนตำแหน่งอีกแล้ว ได้กลายเป็นผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์อีกแล้ว…” นางเล่าสถานการณ์ปัจจุบันให้ฟังรอบหนึ่ง
ศีลแปดได้ฟังแล้วโล่งอก “ใช่แล้ว พี่ใหญ่ไม่ธรรมดามาตั้งแต่เด็กแล้ว”
อวี้หลัวช่าลูบไล้ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา กล่าวด้วยสายตาลุ่มหลงว่า “ศีลแปด ลูกของเราเติบโตแล้ว หน้าตาดีมาก เขาได้ข้อดีของพวกเราได้ บริสุทธิ์เหมือนหยกที่ยังไม่ได้เจียระไน”
ใบหน้ายิ้มเจื่อน แต่ในใจอยากจะร้องไห้โดยไร้น้ำตา พูดเป็นอะไรไปได้ เขาถามอย่างตะกุกตะกักว่า “เจ้าไปดูมาแล้วเหรอ?”
อวี้หลัวช่าแนบใบหน้าบนหน้าอกเขา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าทำใจอดคิดถึงลูกไม่ได้จริงๆ ข้าเว้นช่วงไปเยี่ยมเขาเสมอ พวกเราทำผิดต่อเขาเกินไป” ขณะที่พูดน้ำตาก็พรั่งพรูราวกับน้ำพุ เริ่มร้องไห้อย่างปวดใจบนตัวศีลแปด ตอนนี้นางนึกเสียใจทีหลังจริงๆ นึกเสียใจที่ตัวเองเดินบนเส้นทางนี้ ชื่อเสียงโด่งดังทั้งใต้หล้า จนถึงขั้นไม่กล้าให้ลูกรู้ว่าตัวเองคือมารดาของเขา รสชาติขื่นขมแบบนั้น คนนอกยากที่จะเข้าใจได้
ศีลแปดเองก็ถูกนางทำให้สับสนคิดวนเวียนแล้ว เขาไม่มีความกล้าที่จะไปเผชิญหน้ากับลูกตัวเองเลย ผ่านไปหนึ่งหมื่นปีกว่าแล้ว จินตนาการได้เลยว่าลูกเติบโตขนาดไหนแล้ว จู่ๆ ก็มีเด็กหนุ่มโผล่มาบอกว่าเป็นลูกชายของเขา ฉากนั้นงดงามเกินไป เขาตบหลังอวี้หลัวช่าเบาๆ แล้วเปลี่ยนประเด็นสนทนา “เจ้าไปที่นั่นไม่กลัวคนจะมองพิรุธออกเหรอ?”
อวี้หลัวช่าที่เปียกปอนน้ำตาส่ายหน้าสะอึกสะอื้น “ไม่เป็นไร ข้าประกาศแล้วว่าข้าคือศิษย์สำนักหนานอู๋ที่ยังรอดชีวิต ที่ข้าสนใจที่อยู่ของพระปีศาจหนานโปก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ในจุดนี้ข้ารู้จักประมาณตน”
ศีลแปดไม่อยากเอ่ยเรื่องลูกอีก จึงเปลี่ยนประเด็นต่อไป “ในภายหลังถ้าพี่ใหญ่ของข้าพบปัญหาอะไร เจ้าต้องยื่นมือเข้าไปช่วยนะ!”
อวี้หลัวช่าเอามือปาดน้ำตา “ข้าลงมือเองไม่สะดวก แต่เจ้าไม่ต้องห่วง พี่ใหญ่มีแผนในใจแล้ว เมื่อถึงเวลาที่ต้องการให้ข้าช่วยจริงๆ เขาย่อมเอ่ยปากบอก แล้วข้าค่อยคิดหาทางช่วยเขาอีกที…ใช่แล้ว ต่อไปเจ้าฝึกตนอยู่ที่นี่ก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอก แล้วอีกอย่าง เจ้าก็รู้ถึงลักษณะพิเศษของสำนักหลัวช่า ข้าซ่อนผู้ชายไว้ที่นี่ก็ไม่ทำให้คนสงสัยหรอก”
“เอ่อ…” ศีลแปดรีบส่ายหน้า “แบบนี้ไม่เหมาะ ถ้าพี่ใหญ่ไปตรวจสอบขึ้นมาล่ะ ตอนนี้ข้าหายไปแล้ว เขาต้องตีข้าแน่นอน ใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยเห็นฉากที่เขาซ้อมข้าจะเป็นจะตาย เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะมาเจอเจ้าบ่อยๆ แต่มีเงื่อนไขว่าเจ้าห้ามให้พี่ใหญ่รู้”
อวี้หลัวช่าลังเลนิดหน่อย ไม่รู้ว่าปิดบังเหมียวอี้แบบนี้จะเหมาะสมหรือเปล่า นางรู้ว่าเหมียวอี้เป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจแทนศีลแปดได้อย่างเบ็ดเสร็จ ถ้าทำให้เหมียวอี้เดือดดาลแล้วจะอึดอัดมาก แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้าเบาๆ “รอบนี้ยังไม่ต้องงรีบไป อยู่เป็นเพื่อนข้าอีกสักหน่อย…” จากนั้นก็ย้ายปากมาข้างหูเขา” ตั้งแต่มีเจ้า ข้าก็ไม่เคยแตะต้องผู้ชายที่ไหนอีกเลย ต่อไปนี้ก็จะเป็นอย่างนี้ ข้าพูดแล้วทำได้”
ศีลแปดเหล่ตามองบนร่างกายนาง ตอนนี้นางยั่วยวนใจเกินไป พอหันตัวมาก็ฉีกเสื้อผ้าน้อยชิ้นบนร่างกายนางออกอย่างดุดัน…
ดาวไร้ลักษณ์ สำนักลมปราณ ค่ายกลตรงประตูใหญ่เปิดออก กำลังพลตำหนักสวรรค์ร้อยกว่าคนเข้ามาข้างใน สวมเกราะรบสีม่วงทั้งหมด ชายหนุ่มชุดขาวที่ถือพัดอยู่ในมือดูเจ้าชู้รักอิสระ หน้าตาหล่อสดใส ผู้ติดตามข้างกายเป็นยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์หนึ่งคน
อวี้หลิงเจินเหรินเจ้าสำนักลมปราณและผู้อาวุโสอวี้เลี่ยนเจินเหรินออกมาต้อนรับหน้าประตูใหญ่ด้วยตัวเอง ทว่าแต่ละคนกลับมีสีหน้าซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก
“รบกวนเจ้าสำนักอวี้หลิงต้องออกมารับด้วยตัวเองแล้ว ผู้น้อยเกาเหยียนทักทาย” ชายหนุ่มชุดขาวที่ชื่อเกาเหยียนเก็บพัดแล้วกุมหมัดคารวะ ใบหน้ายิ้มแย้ม
“นายท่านเกาให้เกียรติมาเยือนด้วยตัวเอง ถือเป็นเกียรติของสำนักลมปราณ” อวี้หลิงเจินเหรินเจียดกล่าวพร้อมฝืนยิ้ม
เกาเหยียนหัวเราะเบาๆ แล้วยิ้ม “เรียกนายท่านอะไรกัน ทำตัวห่างเหินแล้ว แถมข้าก็ไม่ใช่นายท่านอะไรตั้งนานแล้ว เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น”
อวี้หลิงเจินเหรินมองยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ที่อยู่ข้างกายเขา แล้วเอียงตัวยื่นมือเชิญ “นายท่านเกาเชิญข้างใน!”
“ก็ดี!” เกาเหยียนกุมหมัดคารวะอีกครั้ง กางพัดโบกเบาๆ พร้อมเดินตามหลังอวี้หลิงเจินเหรินที่นำทางด้วยตัวเอง เขาเหลียวซ้ายแลขวาตลอดทาง “สถานที่อันงดงามก่อกำเนิดบุคคลอันยอดเยี่ยมจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจที่เป็นบ้านเกิดของสตรีผู้งดงามมากด้วยสติปัญญาอย่างเป่าเหลียน!”
พอกล่าวแบบนี้ อวี้หลิงเจินเหรินกับอวี้เลี่ยนเจินเหรินก็สีหน้าตึงเครียดอย่างอดไม่ได้ ศิษย์บางคนถึงขั้นเม้มริมฝีปากแน่นสายตาแฝงความไม่พอใจ กล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูด
เป็นเพราะสำนักลมปราณไปมีเรื่องกับคนคนนี้ไม่ไหวจริงๆ
ผู้ที่มามีประวัติไม่ธรรมดา เป็นลูกพี่ลูกน้องของก่วงจวินอัน เป็นลูกชายของน้องชายของมารดาก่วงจวินอัน เดิมทีเป็นแม่ทัพภาคคนหนึ่ง ตอนก่วงลิ่งกงจัดระเบียบทัพตะวันตก เพื่อที่จะแสดงถึงต้นแบบที่ดี จึงลงดาบกับญาติอย่างท่านนี้ก่อน เกาเหยียนขอร้องอาหญิงแล้วไม่ได้ผล เดิมทีก็คับแค้นในใจอยู่แล้ว ใครจะคิดว่าจะมีโชคร่วงลงมาใส่เขา อาหญิงให้เขาแต่งงานกับเป่าเหลียนจากสำนักลมปราณ
ตอนแรกเกาเหยียนยังไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เมื่อได้รับคำชี้แนะจากอาหญิงแล้วถึงเข้าใจ อาหญิงบอกว่าตระกูลก่วงสนใจหุ้นของสำนักลมปราณที่มีอยู่ในร้านขายของชำซื่อตรง ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ร้านขายของชำซื่อตรงก็ยังอยู่ในมือสำนักลมปราณ เดิมทีตระกูลก่วงไม่ได้มีความคิดนี้ เพราะอย่างไรเสียร้านขายของชำซื่อตรงก็ยังเกี่ยวข้องกับอำนาจอีกหลายฝ่าย แล้วสำนักลมปราณก็อยู่ในอาณาเขตของตระกูลอิ๋งด้วย ตระกูลก่วงจึงไม่สะดวกจะยื่นมือเข้ามา ทว่าหลังจากเกิดเรื่องนี้สระน้ำมังกรดำ ถูกเงื่อนไขของเหมียวอี้บีบบังคับ เพื่อที่จะให้ตระกูลก่วงช่วยเหลือ ตระกูลอิ๋งจึงนำสำนักลมปราณมาเป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยน ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือนำอำนาจในการควบคุมร้านขายของชำซื่อตรงมาเป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยน ไม่อย่างนั้นตระกูลก่วงจะช่วยตระกูลอิ๋งตอนประชุมราชสำนักได้อย่างไร
แม้จะบอกว่านำสำนักลมปราณมาเป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยน แต่การแย่งชิงมาอย่างเปิดเผยก็จะดูโลภเกินไป ถึงอย่างไรเบื้องหลังสำนักลมปราณก็เกี่ยวข้องกับอำนาจหลายฝ่าย โดยทั่วไปไม่มีใครกล้าแตะต้องสำนักลมปราณส่งเดช ไม่อย่างนั้นก็จะมีคนนำไปเป็นประเด็นถกเถียงในที่ประชุมขุนนางได้ทุกเมื่อ ย่อมต้องทำให้ดูดีสักหน่อย ส่วนเป่าเหลียนก็เป็นหลานสาวของอวี้หลิงเจินเหรินเจ้าสำนักลมปราณ ถ้าแต่งงานกับเป่าเหลียน แล้วมีตระกูลอิ๋งให้ความร่วมมือ ตระกูลก่วงก็ย่อมมีวิธีสนับสนุนให้เป่าเหลียนขึ้นสู่ตำแหน่งสำนักลมปราณอยู่แล้ว เท่ากับได้ควบคุมสำนักลมปราณ ได้มีอำนาจควบคุมร้านขายของชำซื่อตรง
…………………………
[1] สามวันจับปลา สองวันตากแห 三天打鱼两天晒网