พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1879 เขาบอกว่ารู้แล้ว
ชายตาเหล่เอียงหน้ามองเป่าเหลียน เต๋อหมิงกอดน้ำเต้าสุราไว้ตรงหน้าอกพลางมองข้างหน้า ฟังเสียงเป่าเหลียนกระดกสุราดื่มอึกๆ อย่างถึงอกถึงใจ
“เป่าเหลียน ไม่ใช่ว่าเอาสุรามาส่งให้พวกเราหรอกเหรอ?” ชายตาเหล่ถามกลั้วหัวเราะ “ทำไมดื่มคนเดียวซะแล้วล่ะ?”
เป่าเหลียนกลอกตามองเขา แล้วยกไหสุรากระดกดื่มต่อไป ผ่านไปครู่ใหญ่ก็เรอหนึ่งที กอดไหสุราพิงบนลำต้นของต้นไม้ใหญ่
เต๋อหมิงถอนหายใจเบาๆ “อายุน้อยแค่นี้ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจนักหนา”
ชายตาเหล่หัวเราะเบาๆ “ยังจะมีอะไรได้อีก ก็เรื่องแต่งงานน่ะสิ ได้ยินว่าเกาะแกะไม่ปล่อย เป่าเหลียน ถ้าเจ้าไม่อยากแต่งงานจริงๆ งั้นก็ไม่ต้องแต่งสิ ปฏิเสธไปเลยก็สิ้นเรื่อง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าสำนักลมปราณของเราจะทำเรื่องขายผู้หญิงแลกเกียรติยศได้”
เป่าเหลียนก้มหน้า “อาจารย์ปู่ถูกทัพตะวันออกกักบริเวณแล้ว ท่านคิดว่าคนพวกนั้นจะฆ่าล้างสำนักลมปราณไม่ได้เหรอ?”
“อาจารย์ปู่ถูกกักบริเวณแล้วเหรอ?” ชายตาเหล่เบิกตากว้างพร้อมอุทานอย่างตกใจ
เป่าเหลียนบอกอีกว่า “เมื่อครู่นี้เอง เกาเหยียนพาคนมาด้วยตัวเองแล้ว เหมือนจะเอาสินสอดมาด้วย ทั้งยังพายอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์มาอีก!”
ตอนนี้ชายตาเหล่ถึงได้รู้ว่าเป่าเหลียนมาหลบดื่มสุราย้อมใจอยู่ที่นี่ เขากัดฟันแล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ไอ้พวกน่ารังเกียจ เป็นคนดีก็โดนคนอื่นรังแก เป็นม้าดีก็โดนคนขี่ ในโลกนี้คนชั่วต้องโดนคนชั่วกว่าจัดการ ยิ่งพวกเราถอยอีกฝ่ายก็จะยิ่งประชิดเข้ามา นี่มารังแกกันถึงประตูบ้านแล้ว ดูอย่างหนิวโหย่วเต๋อสิ เอะอะก็สู้กันเอาเป็นเอาตาย ขนาดฆ่าคนของตระกูลอิ๋งแล้วยังได้เลื่อนขั้น ถึงขนาดได้เป็นผู้ตรวจการใหญ่แล้ว เฮ้อ ในปีนั้นตอนหนิวโหย่วเต๋อเป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์มาพักที่สำนักลมปราณของพวกเรา ใครจะไปคิดว่าเขาจะมีวันนี้ได้ คนโหด ช่างเป็นคนโหด!”
พอพูดถึงเหมียวอี้ เป่าเหลียนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงวันที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ ชีวิตในตอนนั้นเรียบง่ายมากจริงๆ มีเหมียวอี้คอยบังหน้าให้ ต่อให้พายุฝนแรงกว่านี้แต่ก็เหมือนจะไม่เป็นอะไร แต่หลังจากติดตามอาจารย์ปู่ ทั้งข้างบนข้างล่าง ทั้งในที่ลับและในที่แจ้งก็มีแต่คนคิดจะแต่งงานกับนาง สีหน้าท่าทางแบบนั้นนางเห็นแล้วสะอิดสะเอียน ถ้าไม่ใช่เพราะสำนักลมปราณมีอำนาจขึ้นมาบ้าง กอปรกับอาจารย์ปู่เพิ่งจะฝืนต้านไว้ เกรงว่านางคงจะเสียความบริสุทธิ์ไปนานแล้ว
หลังจากก้าวเข้าตำหนักสวรรค์ ที่จริงนางก็เริ่มเข้าใจแล้วเช่นกัน ถ้าหน้าตาสวยแล้วไม่มีใครหนุนหลัง ก็ยากที่จะหนีพ้นการถูกหยามเกียรติ ตอนอยู่ที่ตลาดสวรรค์ก็เป็นมู่หรงซิงหัว จากนั้นสิ่งต่างๆ ที่เคยเห็นก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ผู้หญิงที่น่าสงสารกว่ามู่หรงซิงหัว ผู้หญิงที่ถูกหลายคนเก็บไว้เป็นของเล่นในเวลาเดียวกันก็มีไม่น้อย ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว พอลองคิดดูให้ดีก็พบว่าตอนอยู่ข้างกายเหมียวอี้สบายใจที่สุด นางเข้าใจตัวเองดีว่าที่จริงแล้วสนใจเหมียวอี้ ขอเพียงเหมียวอี้เต็มใจ นางก็ไม่รังเกียจ ทว่าเหมียวอี้เหมือนจะไม่สนใจนางเลย กลับไปรับพวกผู้หญิงที่นอกลู่นอกทางมา ตัวเองหน้าตาไม่สวยงั้นเหรอ? ตัวเองไม่สะอาดบริสุทธิ์กว่าผู้หญิงพวกนั้นหรอกหรือ? หลักการนี้นางจะไปพูดที่ไหนได้?
พอพูดถึงตรงนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะโมโห อุ้มไหสุราขึ้นมากระดกดื่มต่อไป
ชายตาเหล่มองเต๋อหมิง เห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนคนไม่เป็นอะไร อุ้มน้ำเต้าสุราดื่มอึกแล้วอึกเล่า เขาก็อดไม่ได้ที่จะโมโห แย่งน้ำเต้าสุรามาไว้ในมือ “ศิษย์พี่ เป่าเหลียนเป็นลูกสาวของท่านนะ!”
เต๋อหมิงเอียงหน้ามองมาช้าๆ “ต้องให้เจ้าเตือนด้วยเหรอ?”
“ลูกสาวท่านถูกบังคับให้แต่งงานนะ ท่านยังทำตัวเหมือนคนไม่เป็นอะไรอีกเหรอ?” ชายตาเหล่ถลึงตาถาม
เต๋อหมิงถามกลับว่า “แล้วข้ายังจะทำอะไรได้อีกล่ะ? ขนาดสำนักลมปราณยังต้านไม่ไหวเลย พวกเราสองคนจะมีวิธีการอะไรได้?”
“พูดแบบนี้ แสดงว่าเรื่องที่เป่าเหลียนโดนบังคับแต่งงานไม่ทำให้ท่านโมโหสักนิดเลยเหรอ ไม่มีความเห็นอะไรสักนิดเลยเหรอ?” ชายตาเหล่ถามด้วยความเหลือเชื่อ
เต๋อหมิงยื่นมือแย่ง แต่แย่งน้ำเต้าสุรากลับมาไม่ได้ ทำได้เพียงถามว่า “เจ้าอยากจะฟังเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกล่ะ?”
ชายตาเหล่ยืดคอตอบ “ก็ต้องอยากฟังความจริงสิ!”
เต๋อหมิงถอนหายใจแล้วตอบว่า “ดูจากสถานการณ์ภาพรวมของสำนักลมปราณ ถ้าเป่าเหลียนแต่งงานกับเกาเหยียน ก็นับว่ามีประโยชน์ต่อการเติบโตในระยะยาวของสำนักลมปราณ พวกเขาได้รับประโยชน์จากสำนักลมปราณ สำนักลมปราณก็สามารถอาศัยอิทธิพลของอีกฝ่ายเพื่อเติบโตได้เช่นกัน อย่างน้อยก็ช่วงชิงเวลาให้สำนักลมปราณเติบโตได้สักระยะหนึ่ง”
เป่าเหลียนได้ยินแล้วกระดกไหสุราดื่มอย่างหดหู่
“ท่าน…” ชายตาเหล่ชี้เต๋อหมิงขณะโกรธจนตัวสั่น แล้วตะคอกว่า “มีพ่อที่ไหนเขาทำอย่างท่านบ้าง? คนเจ้าชู้หลายใจอย่างเกาเหยียน มีผู้หญิงน้อยที่ไหนล่ะ? ถ้าเป่าเหลียนแต่งงานกับเขา ต่อไปก็ไม่รู้ว่าต้องโมโหมากขนาดไหน”
เต๋อหมิงถอนหายใจอีก “ร้านขายของชำซื่อตรงมีสำนักลมปราณควบคุมมาตลอด เครือข่ายธุรกิจของอำนาจฝ่ายต่างๆ ล้วนอยู่ในมือสำนักลมปราณ พ่อค้าจำนวนมากที่ไม่อยากเปิดเผยหน้าร่วมงานกับสำนักลมปราณมาหลายปีขนาดนั้น ด้วยความน่าเชื่อถือที่สะสมมา คนส่วนใหญ่มีแต่จะเชื่อถือสำนักลมปราณ ขอเพียงรับประกันจุดนี้ได้ ก็ไม่มีใครมาแทนที่สำนักลมปราณได้แล้ว ต่อให้เกาเหยียนแต่งงานกับเป่าเหลียนแล้ว แต่ก็ไม่กล้าปฏิบัติต่อนางไม่ดีหรอก หรือพูดได้อีกอย่างว่า แต่งงานกับใครก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? เมื่อครู่นี้เจ้าพูดถึงหนิวโหย่วเต๋อ หรือว่าหนิวโหย่วเต๋อมีผู้หญิงน้อยล่ะ? ต่อให้แต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” เขาเอียงหน้ามองเป่าเหลียนแวบหนึ่ง แล้วพูดต่อ “นางหนูเอ๋ย! หรือไม่ก็หาผู้ชายไร้ความสามารถสักคนที่ใช้ชีวิตอย่างซื่อสัตย์สิ ผู้ชายที่โดดเด่นเกินไป ถ้าเจ้าอยากจะผูกมัดเขาไว้บนผ้าคาดเอวของเจ้าคนเดียวก็เป็นไปไม่ได้หรอก ทั้งอยากให้ผู้ชายคนนั้นมีประวัติโดดเด่นเหนือคนอื่น ทั้งอยากให้ผู้ชายคนนั้นมีแค่เจ้าคนเดียว เรื่องสมบูรณ์แบบอย่างนั้นก็อาจจะมี แต่มันมีน้อย ถ้าพูดถึงคนสวยที่มีอำนาจหนุนหลัง ก็มีคนที่เหนือกว่าเจ้าเยอะ เจ้ามีสิทธิ์อะไรไปคิดถึงเรื่องดีงามอย่างนั้น? เจ้าเองไปไตร่ตรองให้ดีเถอะ เรื่องบางเรื่องคนอื่นก็ช่วยเจ้าไม่ได้หรอก”
ชายตาเหล่ทั้งโมโหทั้งอยากขำ “พ่อแบบท่านมีที่ไหนกัน? นี่เป็นคำพูดของคนเมาหรือเปล่า?”
เห็นได้ชัดว่าเป่าเหลียนก็โมโหเหมือนกัน พลันลุกพรวดแล้วมองเต๋อหมิง “ท่านหวังให้ข้าแต่งงานกับเกาเหยียนเหรอ?”
เต๋อหมิงที่พิงต้นไม้ตอบอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ไม่เกี่ยวว่าข้าหวังหรือไม่หวัง ที่สำคัญคือเจ้าต้องถามตัวเองว่าอยากหรือเปล่า เจ้าเต็มใจจะแต่งงานกับเขามั้ยล่ะ?”
“ข้ามีทางเลือกเหรอ?” เป่าเหลียนถามอย่างคับแค้นใจ
เต๋อหมิงหันหน้ากลับไปมองนางช้าๆ “ข้าแค่ถามเจ้าว่าเต็มใจแต่งงานกับเขาหรือเปล่า?”
เป่าเหลียนตะโกนเสียงดังว่า “ไม่เต็มใจ! เขาไม่ได้มีเป้าหมายที่ข้าเลย เขาพุ่งเป้าไปที่ร้านขายของชำซื่อตรงต่างหาก!” ทว่าสีหน้านางก็เหี่ยวเฉาลงเร็วมาก พึมพำว่า “ถ้าข้าไม่แต่ง พวกเขาจะต้องลงมือกับสำนักลมปราณแน่นอน!”
“เจ้าไม่เต็มใจก็พอแล้ว เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ” เต๋อหมิงค่อยๆ นั่งตัวตรง หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมาเขย่าในมือ
ชายตาเหล่กับเป่าเหลียนมองมองเขาอย่างงุนงง
ในขณะนี้เอง ทั้งสามก็แววตาวูบไหว พากันมองไปยังจุดไกลๆ แม้ทั้งสามจะไม่รู้จักเกาเหยียน แต่ก็รู้ว่าเกาเหยียนมาแล้ว
คนสิบกว่าคนเข้ามาในสวนศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์น้องคนหนึ่งที่ชื่อว่าเต๋อจื้อเป้ยก็นำทางมาด้วยสีหน้าตึงเครียด เกาเหยียนที่สวมชุดสีขาวดุจหิมะโบกพัดเดินตามมา ข้างหลังมีผู้ติดตามสิบกว่าคน พวกเขากำลังเดินมาทางนี้
พวกเขาเดินเข้ามาใต้ต้นไม้ ศิษย์น้องที่ชื่อเต๋อจื้อเป้ยทำความเคารพสองคนใต้ต้นไม้ “คารวะศิษย์พี่ทั้งสอง ท่านนี้คือเกาเหยียน”
เกาเหยียนกวาดสายตามองทั้งสองแวบหนึ่ง จากนั้นก็ตาเป็นประกายทันทีที่จ้องเป่าเหลียน หน้าอกที่อิ่มเอิบนั่น เอวบางที่ดูมีพลัง ก้นที่กระดกงอนแบบนั้น อาศัยประสบการณ์เที่ยวผู้หญิงอันยาวนานของเขา แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นรูปร่างที่งดงามแข็งแรง ทั้งยังมีใบหน้ารูปไข่สวยน่ารัก บางทีคงเป็นเพราะดื่มจนเมา ทำให้ใบหน้านั้นแดงระเรื่อ ดวงตาโตเป็นประกายกำลังจ้องเขาด้วยแววตาไม่ยอมแพ้ ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความหัวแข็งดื้อรั้น กลิ่นกายหอมที่ปนกับกลิ่นสุราค่อนข้างยั่วยวนใจ
นึกไม่ถึงว่าจะเป็นสาวงาม! เกาเหยียนแอบดีใจทันที ก่อนหน้านี้คิดว่าฝืนใจแต่งงานไปเพื่อควบคุมร้านขายของชำซื่อตรงเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจะเก็บได้สาวงาม ตอนนี้เขายิ่งเต็มใจมากกว่าเดิม บนใบหน้าเผยรอยยิ้มทันที มองข้ามเต๋อหมิงและศิษย์คนอื่นๆ ไปเลย เขาถือพัดกุมหมัดคารวะ “ใช่แม่นางเป่าเหลียนหรือเปล่า?”
เป่าเหลียนกุมหมัดคารวะด้วยท่าทางหยิ่งยโสราวกับอยากถอยห่างพันลี้ “คารวะนายท่านเกา”
ช่างเป็นพริกเผ็ดที่กำราบยาก ต้องแบบนี้สิ เวลากำราบได้ขึ้นมาถึงจะสะใจ! เกาเหยียนไม่ถือสาเลยสักนิด รอยยิ้มบนใบหน้ากลับเข้มข้นยิ่งขึ้น “แม่นางเป่าเหลียนทำตัวห่างเหินแล้ว ที่นี่ไม่มีนายท่านะอะไรหรอก” ขณะที่พูดก็มองไปรอบๆ “ข้าเองก็มาที่สำนักลมปราณเป็นครั้งแรก ไม่ทราบว่าแม่นางเป่าเหลียนยินดีจะแสดงไม่ตรีของเจ้าบ้าน พาข้าไปเที่ยวชมสักรอบได้หรือไม่?”
“นายท่านเกา ขออภัย ให้อาจารย์อาไปเป็นเพื่อนท่านเถอะ” เป่าเหลียนมองเต๋อหมิง แล้วหาข้ออ้าง “ข้ายังต้องช่วยท่านพ่อทำงานอีก”
ท่านพ่อ? เกาเหยียนอึ้งไปชั่วขณะ ตอนนี้สายตาเพิ่งจะไปหยุดบนตัวเต๋อหมิงอย่างเป็นทางการ จากนั้นก็กุมหมัดคาระวอีกครั้งทันที “เสียมารยาทแล้ว ที่แท้ก็เป็นท่านอานี่เอง”
ทว่าเต๋อหมิงไม่มีท่าทีจะสนใจเขาเลย เพียงเหลือบตาขึ้นมองแวบหนึ่ง แล้วเขย่าระฆังดาราในมือต่อไป
เกาเหยียนโดนเมินใส่แล้ว จึงหัวเราะเสียงดังกลบเกลื่อน จากนั้นก็รออยู่ข้างๆ จนกระทั่งเต๋อหมิงเก็บระฆังดาราแล้ว ถึงได้กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอาคงยุ่งมาก!”
เต๋อหมิงตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “ก็ไม่ยุ่งหรอก ได้ยินว่ามีคนมาสู่ขอลูกสาวข้าเหรอ หัวหน้าภาคแดนรัตติกาลหนิวโหย่วเต๋อติดต่อมาถามข้า”
“…” เกาเหยียนอึ้งทันที มองเต๋อหมิงที่มีท่าทางสกปรกมอมแมม คิดในใจว่าอย่างเจ้าเนี่ยนะ หนิวโหย่วเต๋อจะเป็นฝ่ายติดต่อมาหาเจ้าก่อนเหรอ? บนใบหน้าเขาเผยรอยยิ้มทันที แทบจะหัวเราะออกมาแล้ว พบว่าสำนักลมปราณช่างน่าสนใจ ทั้งข้างล่างข้างบนล้วนอ้างชื่อหนิวโหย่วเต๋อมาขู่ ช่างไม่มีคนอื่นแล้วจริงๆ จึงพยักหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “งั้นก็ดีเลย เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้า หนิวโหย่วเต๋อมีอะไรสงสัยก็ให้เขาถามข้าโดยตรงได้เลย ขอตัว!” เขากุมหมัดคารวะต่อทุกคนแล้วหันตัวเดินจากไป มองออกแล้วว่าคนที่นี่ไม่ค่อยยินดีต้อนรับเขา ไม่ต้องหวังแล้วว่าจะให้เป่าเหลียนมาเดินเล่นเป็นเพื่อนเขา ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องใส่ตัว รอให้ถึงวันเข้าห้องหอก่อน เขาจะทำให้ผู้หญิงคนนี้รับรู้ถึงความร้ายกาจเอง
ทางฝั่งนี้ยังมองส่งพวกเขาจากไป จู่ๆ เต๋อหมิงก้ลงมือแย่งน้ำเต้าสุรากลับมา แล้วพิงต้นไม้พลางดื่มช้าๆ อึกแล้วอึกเล่า
“เมื่อครู่นี้ท่านติดต่อใคร?” ชายตาเหล่ปรับอารมณ์แล้วลองถาม ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ตั้งแต่ท่านนี้ถูกลดตำแหน่งให้มาอยู่ที่ไร่ศักดิ์สิทธิ์ ก็เห็นเขาใช้ระฆังดาราน้อยมาก และไม่คิดว่าเมื่อครู่นี้เขาพูดความจริง เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาเป็นฝ่ายติดต่อไปข้างนอกก่อน หนิวโหย่วเต๋อจะเป็นฝ่ายติดต่อมาก่อนเสียที่ไหนกัน ยังนึกว่าขู่อีกฝ่ายเฉยๆ
“เอิ๊ก…” เต๋อหมิงเรอหนึ่งทีแล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าหนิวโหย่วเต๋อ?” จากนั้นก็กระดกน้ำเต้าสุราอุดปากอีก
“ศิษย์พี่ ท่านกำลังล้อเล่นใช่มั้ย?” ชายตาเหล่ยังไม่ค่อยเชื่อ
“นั่นจำเป็นด้วยเหรอ? ข้าก็แค่ติดต่อไปก่อนก็สิ้นเรื่องแล้ว” เต๋อหมิงตอบอย่างไม่ใส่ใจ
เป่าเหลียนราวกับแมวที่ถูกเหยียบหาง ลุกพรวดในทันที แย่งน้ำเต้าสุรามาจากปากบิดา แล้วกระทืบเท้าบอกว่า “ท่านจะติดต่อไปหาเขาทำไม สำนักลมปราณไม่ได้ไปมาหาสู่กับเขานานแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปขอร้องเขา” ภาพที่นางออกจากตำหนักคุ้มเมืองปีนั้นยังติดตาเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น คนคนนั้นไร้หัวใจ ขอร้องใครก็ได้แต่อย่าขอร้องคนคนนั้น
เต๋อหมิงยืดไหล่ “ข้าไม่ได้ขอร้องเขา ก็แค่เล่าสถานการณ์ของเจ้าให้เขาฟัง”
เป่าเหลียนกระทืบเท้าอีกครั้ง โกรธจนหน้าขาวหน้าแดง ในปีนั้นฝั่งนี้เคยขอให้เขามาสู่ขอแต่ถูกปฏิเสธ นางแค้นใจจริงๆ ที่บิดาของตัวเองไม่ได้เรื่อง ยังมีความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่อยู่บ้างไหม? นางเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะบีบคอเขาให้ตายแล้ว
“หนิวโหย่วเต๋อตอบว่ายังไง?” ชายตาเหล่ถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาบอกว่าเขารู้แล้ว” เต๋อหมิงตอบอย่างเกียจคร้าน
“อย่างนี้เองเหรอ…” ชายตาเหล่น้ำเสียงอ่อนลง กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้หรือเปล่า ศิษย์พี่ แต่จะว่าไปแล้ว ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเขากับตระกูลอิ๋งวุ่นวายขนาดนั้น ถ้าเขาเข้ามาแทรกแซงจริงๆ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องนี้สำหรับสำนักลมปราณนะ!”
เต๋อหมิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าทำไร่ไถนา เกี่ยวอะไรกับข้า?” เขาทำท่าเหมือนกำลังบอกว่า ‘ข้าจำเป็นต้องพิจารณามาขนาดนั้นเชียวเหรอ’
“…” ชายตาเหล่อ้าปากค้าง
…………………………