พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1880 ส่งเรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง
เต๋อหมิงติดต่อเหมียวอี้แล้วจริงๆ เขากับเหมียวอี้มีระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกันโดยตรงมาตั้งนานแล้ว เป็นเพราะตอนแรกเหมียวอี้แคยพักอยู่ที่สำนักลมปราณ
ผู้ตรวจการใหญ่หนิว ตอนเหมียวอี้ได้รับข่าวจากเต๋อหมิง ตัวก็กำลังเหาะด้วยความเร็วสูงอยู่ในดาราจักร กำลังจะไปปฏิบัติตามแผนการที่ปรึกษากับหยางชิ่งมาเนิ่นนาน จู่ๆ ก็ได้ยินเรื่องราวระดับนี้ ทำให้เขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ญาติของอนุภรรยาอ๋องสวรรค์ต้องการจะแต่งงานกับเป่าเหลียนงั้นเหรอ?
เต๋อหมิงไม่ได้บอกเขาว่าอีกฝ่ายพุ่งเป้ามาที่ร้านขายของชำซื่อตรง ไม่ได้ปะปนกับเรื่องอื่น บอกแค่เรื่องเป่าเหลียน บอกเพียงว่าเกาเหยียนจะบังคับแต่งงานกับเป่าเหลียน อีกทั้งเจ้าตัวก็มาถึงสำนักลมปราณแล้ว เป่าเหลียนไม่เต็มใจแต่งงาน แต่สำนักลมปราณอาจจะแบกรับความกดดันนี้ไม่ไหว เรื่องอื่นไม่ได้เอ่ยถึงเลย ไม่ได้ขอร้องให้เหมียวอี้ช่วยเหลือลูกสาวด้วย
แต่ตอนนี้โลกทัศน์ของเหมียวอี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการรวบรวมข่าวจากทั่วทุกสารทิศ หรือจะเป็นระดับบุคคลที่คบค้า เดิมทีเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับเขาทางอ้อมอยู่แล้ว มีหรือที่จะเดาสาเหตุที่แท้จริงไม่ออก
ประการแรกเป็นเพราะฐานะของเกาเหยียน ด้วยฐานะอย่างนั้นอยากจะหาสาวงามอย่างไรก็ได้ ทำไมต้องพุ่งเป้ามาที่เป่าเหลียนคนเดียวไม่ยอมเลิก? แม้เป่าเหลียนจะเป็นผู้หญิงสวย แต่ก็ยังไม่สวยถึงระดับยอดหญิงงาม มีค่าถึงขนาดให้เกาเหยียนแต่งงานรับเป็นฮูหยินเอกเชียวหรือ? ไม่ได้จะรับเป็นอนุภรรยา แต่จะรับเป็นฮูหยินเอก! สาเหตุก็เดาได้ไม่ยาก เป็นเพราะพุ่งเป้ามาที่ร้านขายของชำซื่อตรงแล้ว
ตามหลักแล้ว เบื้องหลังร้านขายของชำซื่อตรงเกี่ยวข้องกับอำนาจหลายฝ่าย กอปรกับสำนักลมปราณอยู่บนอาณาเขตของตระกูลอิ๋ง ตระกูลก่วงอาศัยอะไรเพื่อเข้ามาก้าวก่ายบนอาณาเขตของตระกูลอิ๋งล่ะ? แสดงว่าได้รับอนุญาตจากตระกูลอิ๋งแล้วแน่นอน แล้วทำไมตระกูลอิ๋งจึงอนุญาต? ไม่ต้องบอกก็รู้ เขาเดาออกทันทีว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตน เพื่อที่จะเติมเต็มเงื่อนไขที่ตนเสนอ คาดว่าสำนักลมปราณคงจะเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่ตระกูลอิ๋งนำไปประนีประนอมกับตระกูลก่วง เพราะเงื่อนไขบางข้อที่เขาเสนอ ต่อให้ตระกูลอิ๋งจะมีอำนาจมากขนาดไหน แต่ก็ไม่อาจเติมเต็มให้ได้โดยลำพัง ตอนนี้ตระกูลอิ๋งยอมทิ้งการควบคุมสำนักลมปราณและร้านขายของชำซื่อตรงแล้ว หลักการก็เรียบง่ายมาก สำนักลมปราณอยู่บนอาณาเขตของตระกูลอิ๋ง ก็ย่อมถูกควบคุมจากตระกูลอิ๋ง
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเป่าเหลียนติดตามรับใช้เขามากี่ปี อาศัยแค่เรื่องครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะได้รับผลกระทบจากเขา เขาก็ไม่สะดวกจะนิ่งดูดายแล้ว
ประเด็นของปัญหาในตอนนี้ก็คือ ถ้าเขาเข้าไปแทรกแซง ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสำนักลมปราณก็จะถูกเปิดโปงแล้ว อาจจะไม่ใช่เรื่องนี้สำหรับสำนักลมปราณ จากที่อยากจะช่วยอาจกลายเป็นสร้างปัญหา
พอคิดไปคิดมา ถ้าจะแก้กระดิ่งที่คอเสือ ก็ต้องแก้ที่คนผูกกระดิ่ง เขาไม่สะดวกจะเข้าไปก้าวก่ายอย่างเปิดเผย ทั้งยังต้องลงมือจากฝั่งตระกูลก่วงอีก จึงนำระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิว เล่าเรื่องให้ฟังคร่าวๆ รอบหนึ่ง ให้อวิ๋นจือชิวติดต่อก่วงเม่ยเอ๋อร์ เพราะอวิ๋นจือชิวกับก่วงเม่ยเอ๋อร์ค่อนข้างสนิทสนมกัน ให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์ไปช่วยพูดให้
หลังจากเตรียมการเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็เก็บระฆังดาราแล้วเร่งเดินทางต่อ ตอนนี้เขามีเรื่องสำคัญกว่านั้นต้องจัดการ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของคนกลุ่มใหญ่ เรื่องของเป่าเหลียนเป็นเพียงเรื่องรองเท่านั้น
จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่ได้รับข่าวจากอวิ๋นจือชิวไม่ชักช้าเลยสักนิด กระตือรือร้นกว่าเรื่องไหนทั้งนั้น ถือกระโปรงวิ่งไปคุยเรื่องนี้กับมารดา
เม่ยเหนียงนั่งสง่าอยู่ในห้อง หลังจากฟังจบแล้วก็เงียบไป เรื่องภายนอกนางอาจจะไม่มีประสบการณ์ แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับภายในบ้าน นางกลับตอบสนองเร็วมาก ถึงอย่างไรก็แช่อยู่ในนี้เป็นเวลานาน ตระหนักได้ถึงเงื่อนงำที่อยู่ในนั้นแล้ว ตำแหน่งของเกาเหยียนในทัพตะวันตกถูกท่านอ๋องถอดแล้ว เกาจื่อเซวียน แม่สื่อของเกาเหยียนอยากจะช่วยหาเส้นทางเติบโตใหม่ให้หลานชาย เรื่องที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของ เกรงว่าเกาจื่อเซวียนคงไม่ปล่อยไปง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางรายได้ ท่านอ๋องจะยอมปล่อยไปง่ายๆ ได้อย่างไร
“เม่ยเอ่อร์ ถ้าจะมาเพราะเรื่องนี้เจ้ากลับไปเถอะ เรื่องนี้แม่ช่วยเจ้าไม่ได้หรอก” เม่ยเหนียงที่ใคร่ครวญพักหนึ่งส่ายหน้าถอนหายใจ
พอได้ยินดังนั้น ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็ไม่ทำแล้ว “เกาเหยียนนั่นยังไงกันแน่ อีกฝ่ายไม่อยากแต่งกับเขา เขามีสิทธิ์อะไรไปบังคับ ยังมียางอายอยู่บ้างไหม?”
เม่ยเหนียงยิ้มเจื่อน “เจ้าตัวแสบ พูดเหลวไหลอะไรกัน เจ้าไม่เข้าใจเรื่องของผู้ใหญ่หรอก ฟังแม้นะ ฟังแม่นะ กลับไปเถอะ”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์จะยอมเสียได้อย่างไร นางยังเตรียมตัวจะไปเที่ยวเล่นที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลอยู่เลย ถ้าแม้แต่เรื่องนี้ก็ยังช่วยไม่ได้ นางจะมีหน้าไปเจอได้อย่างไร นางดึงแขนเสื้อมารดาทันที “ท่านแม่ แม่ใหญ่ต้องไว้หน้าท่านบ้างอยู่แล้ว เกาเหยียนก็ไม่กล้าไม่เชื่อฟังแม่ใหญ่ด้วย ท่านก็ไปคุยกับแม่ใหญ่ด้วยตัวเองสิ แม่ใหญ่จะต้องตอบตกลงแน่นอน…” เรียกได้ว่าเร้าหรือทุกวิถีทาง
สุดท้ายเม่ยเหนียงไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ได้แต่ทำหน้านิ่งพร้อมตะคอกนาง “นางหนู เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว เรื่องนี้ถ้าท่านพ่อเจ้าไม่อนุญาต แม่ใหญ่ของเจ้าก็ตัดสินใจเองไม่ได้หรอก”
“…” ก่วงเม่ยเอ๋อร์ตะลึงทันที กะพริบตาใสแวววาวเย้ายวนใจปริบๆ ลองถามว่า “ท่านแม่ ท่านกำลังบอกว่า นี่คือความคิดของท่านพ่อเหรอ?”
เม่ยเหนียงพุ่นเสียงทางจมูก “เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าถามมากขนาดนั้น”
“ทำไมท่านชอบมองข้าเป็นเด็ก ข้าโตป่านนี้แล้ว”
“ต่อให้เจ้าโตกว่านี้ แต่ในสายตาแม่ก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่ง”
“ข้าไม่สนใจแล้ว ข้าจะไปคุยกับท่านพ่อ!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์กระทืบเท้า สะบัดมือออกจากแขนเสื้อมารดาแล้ววิ่งไป
“เจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้นะ!” เม่ยเหนียงถลันตัวตามไป เอามือบีบหลังคอนางไว้ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าขรึมเครียด “ตอนนี้ติดต่ออวิ๋นจือชิวเดี๋ยวนี้ ตอบกลับเรื่องนี้ไป อย่าเข้าไปยุ่งเรื่องนี้อีก”
“ไม่…โอ๊ย ท่านแม่ ข้าเจ็บแล้วนะ…”
สุดท้ายก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เม่ยเหนียงกักบริเวณนางเสียเลย ถ้าเรื่องแต่งงานของเกาเหยียนยังไม่ได้ผลลัพธ์อะไรก็จะไม่ปล่อยตัวออกมา ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่ให้นางเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้ ด้วยความที่ไม่มีทางเลือก ก่วงเม่ยเอ๋อร์ทำได้เพียงติดต่อไปขอโทษอวิ๋นจือชิว บอกไปตรงๆ เลยว่ามารดาไม่ให้นางมาก้าวก่ายเรื่องนี้ นางถูกกักบริเวณแล้ว
เมื่อได้ผลลัพธ์แบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็ทำได้เพียงบอกความจริงให้เหมียวอี้รู้
เหมียวอี้ที่ยังเดินทางอยู่ในดาราจักรเริ่มขมวดคิ้ว ตอนนี้เขาไม่อยากหาเรื่องตระกูลก่วง หวังว่าพอตระกูลก่วงรู้เรื่องแล้วจะชั่งน้ำหนักดูสักหน่อย มีอะไรจะได้เจรจากันง่าย อย่างมากพวกเจ้าก็แค่เปลี่ยนวิธีการรับผลประโยชน์ส่วนนั้น ถ้าอยากจะควบคุมสำนักลมปราณก็ย่อมทำได้ เขาสามารถถอยให้หนึ่งก้าวเพื่อเรื่องตรงหน้าที่สำคัญกว่า แต่ไม่จำเป็นต้องบังคับแต่งงานกับเป่าเหลียน
ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ถึงอย่างไรตัวเองก็เป็นทูตลาดตระเวนของตลาดสวรรค์ ตระกูลก่วงมีกิจการมากมายที่ตลาดสวรรค์ ต่อให้ไม่มีอำนาจที่แท้จริง แต่การไปตรวจค้นร้านค้าของตระกูลก่วงทุกๆ สามวันห้าวันโดยไม่มีเรื่องอะไรก็ย่อมทำได้อยู่แล้ว ถ้าข้าช่วยให้พวกเจ้าหลบเลี่ยงปัญหาได้นิดหน่อย เจ้าก็น่าจะไว้หน้าข้าสักหน่อยสิ?
ที่เขาให้ติดต่อกับก่วงเม่ยเอ๋อร์ ก็เพราะอยากให้ตระกูลก่วงรู้สถานการณ์ มีเรื่องอะไรจะได้เจรจากันได้สะดวก ต่อไปเขาจะได้บอกกับตระกูลก่วงได้ ว่าแม้เขาจะไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับสำนักลมปราณแล้ว แต่ถึงอย่างไรเป่าเหลียนก็ทำงานกับเขามานาน พวกเจ้าจะตบหน้าข้าอย่างนี้ไม่ได้ พอเป็นแบบนี้จะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อสำนักลมปราณมากเกินไป
เมื่อไตร่ตรองได้แบบนี้ เขาก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวี้หลิงเจินเหรินโดยตรง บอกให้อวี้หลิงเจินเหรินบอกเกาเหยียนให้ ว่าให้เกาเหยียนไว้หน้าเขาสักครั้ง
แต่ใครจะคิด อวี้หลิงเจินเหรินกลับบอกว่าซาบซึ้งในน้ำใจของผู้ตรวจการใหญ่หนิวแล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องรบกวนท่าน
เหมียวอี้ที่ตัวอยู่ในดาราจักรแปลกใจทันที จึงติดต่ออวี้หลิงเจินเหรินอีกครั้ง แต่ใครจะคิด อวี้หลิงเจินเหรินไม่ตอบกลับอะไรอีกเลย
หรือว่าสำนักลมปราณอยากจะตัดขาดสัมพันธ์กับเขาแล้วจริงๆ? ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ เช่นนั้นตัวเองไม่เข้าไปแทรกแซงก็ได้ แต่เต๋อหมิงจะติดต่อมาหาข้าทำไมล่ะ?
เขาจะไปรู้ได้อย่างไร ว่าเกาเหยียนเคยพูดต่อหน้าอวี้หลิงเจินเหรินว่า ‘หนิวโหย่วเต๋อนับเป็นตัวอะไร’ ใช่ว่าอวี้หลิงเจินเหรินจะไม่เคยอ้างชื่อหนิวโหย่วเต๋อมาก่อน อีกฝ่ายไม่เห็นหนิวโหย่วเต๋ออยู่ในสายตาเลย ถามหน่อยว่าอวี้หลิงเจินเหรินยังต้องสร้างความอัปยศให้ตัวเองอีกมั้ย?
สำหรับอวี้หลิงเจินเหริน ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ไว้หน้าหนิวโหย่วเต๋อ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องดึงหนิวโหย่วเต๋อมาลำบากด้วยอีกแล้ว ถ้าทำให้เรื่องลุกลามใหญ่โตจริงๆ สำนักลมปราณกับหนิวโหย่วเต๋อประกาศยุติความสัมพันธ์กันแล้ว ถึงตอนนั้นไม่ใช่แค่จะทำให้หนิวโหย่วเต๋อลำบาก ทั้งยังทำให้สำนักลมปราณลำบากไปด้วย ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องที่ไม่เป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย
แต่เหมียวอี้ไม่เข้าใจ อย่างน้อยก็ต้องบอกให้ชัดเจนว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่ จึงเปลี่ยนระฆังดาราอันใหม่ ติดต่อไปหาอวี้เลี่ยนเจินเหรินโดยตรง
หลังจากทั้งสองฝ่ายติดต่อกันแล้ว เหมียวอี้ก็กล่าวทักทาย : เจินเหริน สบายดีนะ!
เห็นได้ชัดว่าอวี้เลี่ยนเจินเหรินอารมณ์ไม่ดี ตอบกลับว่า : ไม่สบาย!
เหมียวอี้ : เป็นเพราะเจ้าเกาอะไรนั้นบังคับจะแต่งงานกับเป่าเหลียนใช่หรือไม่?
อวี้เลี่ยนเจินเหริน : เจ้ารู้แล้วเหรอ?
เหมียวอี้ : ข้าก็ติดต่อมาหาท่านเพราะเรื่องนี้นั่นแหละ เจินเหริน รบกวนท่านไปบอกเกาเหยียนอะไรนั่นให้หน่อย ให้เขาไว้หน้าข้าสักครั้ง ใจกว้างปล่อยเป่าเหลียนไปสักครั้ง
อวี้เลี่ยนเจินเหริน : ไม่ต้องแล้ว หน้าของเจ้าคงใช้ไม่ได้ผลแล้ว
เหมียวอี้รู้สึกขำ คิดในใจว่า หน้าของข้าใช้ได้ผลมากกว่าสำนักลมปราณแน่นอน แต่เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยสิ่งนี้ออกมา ตอบกลับว่า : เจินเหรินลองดูสักหน่อยก็ได้ แค่บอกชื่อข้าไป ไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้ยังไง?
พอพูดถึงตรงนี้ อวี้เลี่ยนเจินเหรินก็ค่อนข้างเดือด ตอบว่า : เจ้าคิดว่าเจ้าหน้าใหญ่มากใช่มั้ย! อีกฝ่ายมีอ๋องสวรรค์ก่วงหนุนหลัง เจ้าคิดว่าข้าไม่เคยลองทำแบบนั้นเหรอ เจ้าแซ่เกานั่นวางสินสอดมาเลยโดยไม่สนใจว่าพวกเราจะเต็มใจหรือไม่ ศิษย์พี่เจ้าสำนักเคยอ้างชื่อเจ้าแล้ว แต่ใครจะคิดล่ะ เจ้าแซ่เกานั่นบอกว่า ‘หนิวโหย่วเต๋อนับเป็นตัวอะไร’ เจ้าคิดว่าข้าจำเป็นต้องเอาหน้าร้อนไปแนบก้นเย็นๆ อีกเหรอ?
เหมียวอี้คิ้วกระตุกทันที : เจินเหริน ท่านคงไม่ได้กำลังยั่วยุให้ข้าฮึกเหิมหรอกใช่มั้ย เขาพูดอย่างนี้จริงเหรอ?
เขาไม่ค่อยเชื่อเท่าไร เขาไม่เคยได้ยินชื่อเกาเหยียนตดหมาอะไรนั่นด้วยซ้ำ ลูกคนใหญ่คนโตที่ตายด้วยน้ำมือเขามีเยอะแยะ แม้แต่หลานชายของอ๋องสวรรค์อิ๋ง เขาก็ฆ่าต่อหน้าฝูงชนมาแล้ว ญาติห่างๆ คนหนึ่งของตระกูลก่วงจะใจกล้าขนาดนี้เชียวหริอ? วันหลังยังคิดจะออกจากบ้านอยู่หรือเปล่า?
อวี้เลี่ยนเจินเหริน : ยั่วยุให้ฮึกเหิมอะไรกันล่ะ! เจ้าฟังให้ดีนะ เขาพูดอย่างนี้จริงๆ ‘หนิวโหย่วเต๋อนับเป็นตัวอะไรล่ะ จะมายุ่งเรื่องแต่งงานของข้าเชียวหรือ’ ฟังชัดหรือยัง หรือต้องให้ข้าพูดอีกรอบ?
ใบหน้าใต้หล้ากากของเหมียวอี้ขรึมลงเล็กน้อย ถามอีกว่า : พูดจริงหรือเปล่ส?
อวี้เลี่ยนเจินเหริน : เจ้าเด็กนี่ยอมรับความจริงไม่ไหวใช่มั้ย!
หึ! เหมียวอี้แสยะยิ้มในใจ เป็นแค่ตั๊กแตนตัวหนึ่งก็กล้าออกมากระโดดซี้ซั้ว คงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ ตระกูลก่วงทำแบบนี้หมายความว่าอะไร?
ตอนนี้เขานับว่าเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนแรกอวี้หลิงเจินเหรินพูดอย่างนั้น ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ถามอีกว่า : ไม่ทราบว่าเจ้าสำนักอวี้หลิงเตรียมจะจัดการเรื่องนี้ยังไง?
อวี้เลี่ยนเจินเหริน : เมื่อครู่นี้เพิ่งปรึกษากัน ถึงยังไงก็หนีการควบคุมจากอีกฝ่ายไม่พ้น ท่านอาจารย์ถูกกักบริเวณที่ทัพตะวันออก เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ทำได้เพียงผ่อนหนักเป็นเบา สำนักลมปราณยินดีจะพึ่งพาตระกูลก่วง ขอเพียงอีกฝ่ายปล่อยท่านอาจารย์กับเป่าเหลียนไป ไม่ว่าสำนักลมปราณจะเป็นยังไง แต่ก็ไม่มีทางนำผู้หญิงไปเจรจาสงบศึก ไม่อย่างนั้นคุณธรรมของสำนักจะไปอยู่ที่ไหน ความซื่อตรงจะไปอยู่ตรงไหน?
เหมียวอี้ฟังออกถึงความอับจนหนทางของอีกฝ่าย รู้สึกเดือดดาลนิดหน่อย จึงบอกไปอย่างดุดันว่า : ขอพึ่งพาบ้าอะไรล่ะ! พวกท่านบอกเจ้าแซ่เกานั่นด้วย อย่าคิดจะแตะต้องเป่าเหลียนแม้แต่ปลายนิ้ว เลิกคิดด้วยว่าจะตักตวงผลประโยชน์จากสำนักลมปราณ แค่บอกไปตามนี้ ถ้าเขาเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วก็ให้เขาลองดูได้ ข้าฝากบกด้วย!
อวี้เลี่ยนเจินเหริน : นี่เจ้าพูดตามอารมณ์เปล่า? ขู่ให้พวกเขาถอยได้จะมีประโยชน์เหรอ?
เหมียวอี้ : บอกเจ้าสำนักอวี้หลิงด้วย เรื่องนี้สำนักลมปราณไม่ต้องสนใจแล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ใช่เหตุผล ทั้งยังลามมาด่าถึงหัวข้า เช่นนั้นก็ส่งเรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าตระกูลก่วงจะอาศัยอิทธิพลปิดบังเรื่องนี้ได้!
จากนั้นอวี้เลี่ยนเจินเหรินจะติดต่อเขาอย่างไรก็ไม่มีอะไรตอบกลับ จึงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าพึมพำ “เดี๋ยวนี้เจ้าเด็กนี่มันอารมณ์ขึ้นง่ายจริงๆ!”
……………