พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1881 เจ้าต้องแต่งงานกับเป่าเหลียน
เหมียวอี้ที่เก็บระฆังดาราแล้วเร่งเหาะในดาราจักรต่อไป จุดหมายปลายทางไม่เปลี่ยนแปลง แม้เรื่องของเกาเหยียนจะทำให้เขาเดือดดาล แต่ก็ยังไม่พอให้กระทบถึงการปฏิบัติตามแผนที่ร่างไว้แล้ว เขาขมวดคิ้วครุ่นคิดตลอดทางว่าจะแก้ไขปัญหาเรื่องเป่าเหลียนอย่างไร ไหนจะท่าทีของตระกูลก่วงอีก
ส่วนอวี้เลี่ยนเจินเหริน หลังจากจบการติดต่อแล้วก็ไปหาศิษย์พี่เจ้าสำนักที่ห้องนอนทันที เล่าสถานการณ์ให้ฟัง
ศิษย์พี่และศิษย์น้องคู่นี้เดินวนไปวนมาอยู่ในลานบ้าน อวี้หลิงเจินเหรินส่ายหน้าถอนหายใจ “เฮ้อ ศิษย์น้องเจ้าเลอะเลือนแล้ว ทำไมเจ้าบอกเรื่องนี้กับเขา?”
อวี้เลี่ยนเจินเหรินยักไหล่สองข้าง “ในเมื่อเขาถามถึงแล้ว ข้ายังมีอะไรที่พูดไม่ได้อีกเหรอ”
อวี้หลิงเจินเหรินยิ้มเจื่อน “ก่อนหน้านี้เขาติดต่อข้ามาแล้ว ข้าเลยปฏิเสธไป! ความผันผวนวุ่นวายที่เขาก่อขึ้นในหลายปีมานี้ พวกเราได้ยินจนหูชา ด้วยลักษณะการทำงานของเขา ถ้าให้เขาเข้ามาเกี่ยวข้องจริงๆ ผลที่ตามมาคงร้ายแรงจนไม่อยากจะคิดถึงเลย!”
อวี้เลี่ยนเจินเหรินขมวดคิ้ว “ศิษย์พี่ ท่านอาจจะคิดมากไปแล้ว ตอนนี้ฐานะของเขาไม่เหมือนในอดีตแล้ว ลองดูสิ ขนาดตระกูลอิ๋งยังทำอะไรเขาไม่ได้เลย ในเมื่อเขาต้องการจะยุ่งเรื่องนี้ ก็แสดงว่ามีความมั่นใจอยู่บ้าง”
“ศิษย์น้องเลอะเลือน ที่ตระกูลอิ๋งทำอะไรเขาไม่ได้ เป็นเพราะทำอะไรเขาไม่ไหวเหรอ? อาศัยอำนาจของตระกูลอิ๋ง จะจัดการเขาไม่ไหวได้ยังไง แสดงว่าเจออุปสรรคบางอย่างแน่นอน ถึงต้องยอมระงับไว้ชั่วคราว เกิดเรื่องสระน้ำมังกรดำแล้ว เจ้าคิดว่าตระกูลอิ๋งจะปล่อยเขาไปได้เหรอ? แค่ไม่เคลื่อนไหวเท่านั้นแหละ ถ้าเคลื่อนไหวอีกครั้งก็ต้องเอาถึงตายแน่นอน! หนิวโหย่วเต๋อมีวิธีการแก้ปัญหายังไง ผ่านมาหลายปีขนาดนี้เจ้าไม่เคยได้ยินบ้างเหรอ? ใช้แต่วิธีการลงดาบ ตระกูลอิ๋งกดดันเขาใหญ่หลวงแล้ว ถ้าให้ตระกูลก่วงเช้ามาเกี่ยวข้องเพราะเรื่องนี้อีก นอกจากสำนักลมปราณจะประสบเคราะห์แล้ว ยังจะดึงเขามาลำบากอีก จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้นมั้ย? ตอนนี้เขามีปัญหามากพอแล้ว” อวี้หลิงเจินเหรินกล่าว
เหมียวอี้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ ตอนแรกอวี้เลี่ยนเจินเหรินยังแอบดีใจนิดหน่อย แต่อนนี้เริ่มมีสีหน้ากังวล ถามว่า “ศิษย์พี่ แล้วตอนนี้เราจะทำยังไงกันดี?”
อวี้หลิงเจินเหรินถอนหายใจ “ช่างเถอะ เรื่องนี้พวกเราแก้ไขกันเองดีกว่า! ในเมื่อเขาบอกแล้วว่าจะเข้ามายุ่ง งั้นพวกเราก็จะชักช้าไม่ได้เช่นกัน รีบแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ล่วงหน้าเถอะ ไม่จำเป็นต้องเพิ่มปัญหาให้เขา”
ดังนั้นศิษย์พี่และศิษย์น้องทั้งสองจึงออกจากเรือนด้วยกัน มุ่งตรงไปยังเรือนรับแขก
สำนักลมปราณในวันนี้ไม่เหมือนสำนักลมปราณในวันเก่าแล้ว แขกที่ไปมาหาสู่ก็เยอะกว่าในปีนั้น ระดับของแขกก้สูงขึ้นเช่นกัน ในมือมีความสามารถแล้ว เรือนรับแขกก็สร้างได้งดงามประณีตเช่นกัน
เพียงแต่ผู้ติดตามของเกาเหยียนคุ้มกันเรือนพักแขกไว้แล้ว ศิษย์พี่และศิษย์น้องทั้งสองต้องรายงานก่อนถึงจะเข้าไปได้ ตอนที่เพิ่งจะเข้าเรือนใหญ่ เกาเหยียนก็สาวเท้าเดินออกมาต้อนรับอย่างเริงร่าแล้ว “เจินเหรินทั้งสองมาแล้ว ขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับตั้งแต่ไกลๆ เชิญ เชิญนั่งข้างในก่อน!”
ในใจเกาเหยียนเข้าใจแจ่มแจ้ง ว่าการที่สองท่านนี้มาที่นี่ คาดว่าคงได้ตัดสินใจไว้แล้ว คงคิดไว้แล้วว่าต้านทานตระกูลก่วงกับตระกูลอิ๋งไม่ไหว จะต้องยอมศิโรราบแล้วแน่นอน พอนึกว่าจะได้เข้าห้องหอกับพริกเผ็ดอย่างเป่าเหลียน หัวใจก็หวั่นไหวราวกับน้ำกระเพื่อม ดังนั้นจึงแสดงท่าทีค่อนข้างดี เฝ้ารอให้เรื่องมงคลสมหวังโดยเร็ว
ศิษย์พี่และศิษย์น้องคู่นี้กล่าวขอบคุณ พอเข้ามาในห้องรับแขกแล้วไม่กล้านั่งหัวโต๊ะ หลีกทางให้เกาเหยียนนั่ง
อวี้หลิงเจินเหรินที่นั่งลงแล้วยังคงครุ่นคิดว่าจะเอ่ยปากอย่างไร แต่เกาเหยียนก็ถามอย่างร้อนใจแล้วว่า “เรื่องของข้ากับเป่าเหลียน ไม่ทราบว่าเจ้าสำนักพิจารณาถึงไหนแล้ว?”
พูดเปิดเผยอย่างนี้แล้ว อวี้หลิงเจินเหรินเองก็ไร้ทางถอย ถอนหายใจแล้วบอกว่า “นายท่านเกา เรื่องของเป่าเหลียน เกรงว่าสำนักเราคงต้องขออภัย…” พอเห็นเกาเหยียนหน้าบึ้ง ก็พูดเสริมทันทีว่า “เพียงแต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ข้าไตร่ตรองไว้ดีแล้ว สำนักลมปราณยินดีจะย้ายเข้าไปในเขตทัพตะวันตก”
เกาเหยียนชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วขมวดคิ้วถามว่า “หมายความว่ายังไง?”
“สำนักลมปราณมีธรรมเนียมของสำนักลมปราณ เรื่องแต่งงานของศิษย์หญิงห้ามบังคับกัน ดังนั้นจึงทำได้เพียงขอบคุณเจตนาดีของนายท่านเกา เพียงแต่สำนักลมปราณยินดีจะไปพึ่งพาอ๋องสวรรค์ก่วง!” อวี้หลิงเจินเหรินตอบ
ปั้ง! เกาเหยียนตบโต๊ะลุกขึ้นยืน ไฟโกรธสุมเต็มอก ถ้ายังไม่ได้เห็นเป่าเหลียนก็ว่าไปอย่าง แต่ตอนนี้ได้เห็นเป่าเหลียนแล้ว ความดื้อรั้นของเป่าเหลียนยั่วให้เขารู้สึกคันที่หัวใจ เขากำลังฝันใฝ่ว่าจะได้ดมดอมกลิ่นหอมของสาวงาม แต่กลับถูกเอาน้ำเย็นสาดหน้า สำนักลมปราณกระจอกๆ บังอาจไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน!
“เจ้าสำนักอวี้หลิง นี่ท่านสุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราลงทัณฑ์!” เกาเหยียนตะคอกเสียงต่ำ
ศิษย์พี่และศิษย์น้องทั้งสองลุกขึ้นยืนเช่นกัน อวี้เลี่ยนเจินเหรินสีหน้ามืดครึ้ม เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว อวี้หลิงเจินเหรินทำได้เพียงแข็งใจบอกว่า “นายท่านเกา สำนักลมปราณก็มีกฎของสำนักลมปราณ เจ้าสำนักอย่างข้าก็ทำผิดกฎไม่ได้เช่นกัน นี่คือขีดจำกัดที่พวกเราสามารถรับได้ ถ้านายท่านเการู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม สำนักลมปราณก็ทำได้เพียงแสดงความเสียใจแล้ว”
เกาเหยียนวู่วามอยากจะฆ่าเจ้าโง่สองคนนี้ให้ตาย แต่จะว่าไปแล้ว สิ่งที่มีมูลค่ามากที่สุดของร้านขายของชำซื่อตรงไม่ใช่เป่าเหลียน และไม่ใช่หุ้นในมือสำนักลมปราณด้วย หุ้นของร้านขายของชำถูกอำนาจฝ่ายต่างๆ แบ่งไปพอสมควรแล้ว หุ้นในมือสำนักลมปราณเหลืออยู่เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น มูลค่าที่แท้จริงก็คือสำนักลมปราณที่ควบคุมการบริหารร้านขายของชำซื่อตรงต่างหาก ลูกค้าเก่าใหม่กับช่องทางค้าขายที่เป็นความลับล้วนอยู่ในมือสำนักลมปราณ นี่ก็คือผลิตผลที่อำนาจแต่ละฝ่ายคานอำนาจกันที่ร้านขายของชำซื่อตรงมาหลายปี
สำนักลมปราณแสดงท่าทีชัดเจนขนาดนี้แล้ว เกาเหยียนเองก็กังวลว่าจะทำเรื่องนี้พังจนทำให้งานของท่านอ๋องเสีย ถ้าไปยั่วโมโหท่านอ๋องเพื่อผู้หญิงคนเดียว เขาเองก็รับผลที่ตามมาไมไหว และไม่คุ้มค่าด้วย
สุดท้ายก็ข่มไฟโกรธเอาไว้ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้าสำนักอวี้หลิง ยังผ่านไปไม่ถึงหนึ่งวันเลย บางเรื่องท่านก็ควรไตร่ตรองก่อนสิ คิดให้ดีก่อนแล้วค่อยให้คำตอบก็แล้วกัน ข้าส่งตรงนี้!” เขาโบกมือ บอกใบ้ว่าส่งแขก
ผู้ติดตามคนหนึ่งออกมายื่นมือเชิญทันที “ทั้งสองเชิญกลับเถอะ!”
ศิษย์พี่และศิษย์น้องทั้งสองกุมหมัดคารวะ แล้วเดินออกไปด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
เกาเหยียนที่ออกจากโถงรับแขกรีบเดินกลับมาที่ห้องตัวเอง จู่ๆ สำนักลมปราณก็เสนอเงื่อนไขอย่างนี้มา สามารถบรรลุจุดประสงค์ของท่านอ๋องได้ ทำให้เขาไม่สะดวกจะตัดสินใจเองแล้ว ต้องขอคำชี้แนะสักหน่อย ดังนั้นเมื่อครู่เขาถึงข่มอารมณ์ที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเอาไว้
จวนอ๋องสวรรค์ก่วง สวนจิ้งเซวียน สร้างขึ้นหลังจากฮูหยินของเดิมของอ๋องสวรรค์ก่วงจากไป เป็นที่พักของเกาจื่อเซวียน อนุภรรยาคนแรกของเขา เดิมทีหวังเฟยเม่ยเหนียงก็เป็นหนึ่งในอนุภรรยาของอ๋องสวรรค์ก่วงเช่นกัน เพียงแต่พลังความงามที่ข่มสตรีคนอื่นของเม่ยเหนียงช่วงชิงความโปรดปรานของท่านอ๋องได้ แซงหน้ากลุ่มอนุภรรยามาเป็นฮูหยินเอกได้ในรวดเร็ว ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ยามเม่ยเหนียงเจอเกาจื่อเซวียนก็ยังเรียกว่าพี่สาวด้วยความสุภาพเกรงใจ การที่เกาจื่อเซวียนอาวุโสที่สุดในบรรดาสตรีของตระกูลก่วงนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ฐานะนี้ใช่ว่าจะเอาความอาวุโสมาตัดสินได้ อำนาจต่างหากถึงจะเป็นตัวตัดสิน อนุภรรยาของอ๋องสวรรค์ก่วงมีเยอะมาก คนที่ลำดับอาวุโสใกล้เคียงกับเกาจื่อเซวียนก็กลายเป็นเหมือนคนธรรมดาแล้ว แม้แต่จะโผล่หน้าออกมาก็ยังยาก ถ้าไม่มีงานใหญ่ๆ ก็แทบจะไม่เจอตัวเลย
สิ่งที่กำหนดฐานะของเกาจื่อเซวียนที่แท้จริงก็คือลูกชายของนาง ลูกชายของนางก็คือลูกชายคนโตของตระกูลก่วง ตอนนี้มีตำแหน่งโหวที่สามารถเข้าประชุมขุนนางได้ มีแนวโน้มว่าจะได้กลายเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งอ๋องแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาวาสนาของมารดาล้วนเกิดขึ้นเพราะลูกชาย ทุกคนของตระกูลก่วงจะมีใครกล้ามองข้ามท่านนี้?
แม้แต่ก่วงลิ่งกงก็ยังต้องคำนึงถึงความรู้สึกลูกชายตัวเอง ไม่ว่าจะโปรดปรานหรือไม่ แต่ก็ต้องมาโปรยฝนชุ่มฉ่ำให้ท่านนี้ที่สวนจิ้งเซวียนเสมอ ไม่สะดวกจะเย็นชาเกินไป
“ท่านแม่ ดอกไม้ดอกนี้เย่อหยิ่งมากเลย!”
ระหว่างแปลงดอกไม้ ดอกไม้ใหญ่เท่าชามเบ่งบานอยู่เพียงลำพัง มันมีสีขาวหมดจดและมีเกสรสีแดง บนกลีบดอกไม้ขาวไม่มีจุดด่างพร้อยเลยสักนิด ขาวบริสุทธิ์ดุจหยกอย่างแท้จริง แม้จะไม่สะดุดตาเหมือนดอกไม้โดยรอบ แต่กลับให้ความรู้สึกว่ากำลังมองเหยียดหยามมวลหมู่ดอกไม้รอบข้าง มันถูกจัดวางอยู่ตรงกลาง
ก่วงจวินอันที่กำลังชื่นชมอยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะใช้มือสัมผัสกลีบดอกไม้
สตรีวัยกลางคนที่ถือบัวรดน้ำอยู่ข้างๆ พลันลงมือ ตีบนหลังมือก่วงจวินอันหนึ่งที พลางตะคอกว่า “อย่าไปแตะส่งเดช!”
ก่วงจวินอันหัวเราะแห้งๆ แล้วเก็บมืออย่างเก้อเขิน
คนในจวนท่านอ๋องที่กล้าลงมือสั่งสอนเขา นอกจากอ๋องสวรรค์ก่วง ก็มีแค่เกาจื่อเซวียนมารดาของเขาแล้ว
แม้เกาจื่อเซวียนจะอายุไม่น้อยแล้ว แต่ก็บำรุงรักษาความงาม ดูเหมือนอายุประมาณสี่สิบ ตรงหางตามีริ้วรอยเล็กน้อย รูปร่างอวบอัดเหมาะเจาะ ผิวขาวหมดจดชุ่มชื่นจนแทบบีบน้ำออกมาได้ บนช่อผมปักปิ่นหยกหนึ่งอัน สวมชุดกระโปรงสีไม่ฉูดฉาด ออกมาพบปะผู้คนด้วยหน้าสด ไม่แต่งแต้มเครื่องประทินโฉม แต่กลับปิดบังความงามที่หาพบได้ยากบนโลกนี้ไม่ได้
ก่วงจวินอันเริ่มเอามือไขว้หลังและไม่กล้าแตะต้องอะไรอีก เขามองมารดาศีรษะจดเท้า แล้วขมวดคิ้วกล่าวว่า “ท่านแม่ เวลาที่ควรแต่งตัวก็ยังต้องแต่งตัวนะ ท่านแต่งตัวเรียบง่ายขนาดนี้ ถ้ามีคนที่ไม่รู้มาเห็นเข้า คงจะนึกว่าท่านคือบ่าวรับใช้ในจวนท่านอ๋อง ท่านไม่กลัวจะส่งผลกระทบต่อความประทับใจของท่านพ่อเหรอ”
เกาจื่อเซวียนที่ถือบัวรดน้ำดอกไม้กล่าวอย่างใจเย็นว่า “วังหลังมีหญิงงามนับไม่ถ้วน แต่รู้หรือเปล่าว่าทำไมสนมสวรรค์จึงเป็นคนเดียวที่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท?”
ก่วงจวินอันเงียบไปครู่หนึ่ง สายตาย้ายไปที่ดอกไม้สีขาวดอกนั้น แล้วทำสีหน้าครุ่นคิด
เกาจื่อเซวียนส่งบัวรถน้ำให้เขา ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติว่า “บางครั้งการไม่แข่งขันก็คือการแข่งขันอย่างหนึ่งเหมือนกัน”
ขณะที่พูดก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา คนที่นางติดต่อด้วยก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหลานชายของนางนั้น้อง
เกาเหยียนติดต่อแม่สื่อก็ไม่ใช่เพราะสาเหตุอื่น เล่าเรื่องที่คุยกับสำนักลมปราณให้รู้ ขอคำชี้แนะว่าควรจะจัดการอย่างไรดี
เกาจื่อเซวียนเลิกคิ้ว ตรงหว่างคิ้วและดวงตาฉายแววดุร้าย แล้วตะคอกใส่ระฆังดารา :เลอะเลือน! จะตอบตกลงได้ยังไง? เจ้าต้องแต่งงานกับเป่าเหลียน!
เกาเหยียนกล่าวอย่างระมัดระวังว่า : แม่สื่อ แต่ท่าทีของสำนักลมปราณเหมือนจะแข็งกร้าวมาก
เกาจื่อเซวียน : พี่ชายเจ้าทำทุกวิถีทางกว่าจะช่วงชิงโอกาสนี้มาได้ เจ้ายังไม่เข้าใจเจตนาอีกเหรอ? ถ้าแต่งงานกับเป่าเหลียนแล้ว เจ้าก็จะได้ควบคุมสำนักลมปราณ แต่ถ้าไม่แต่งงานกับเป่าเหลียน สำนักลมปราณก็จะถูกควบคุมโดยจวนท่านอ๋อง ความแตกต่างอยู่ตรงไหนล่ะ ยังต้องให้ข้าสอนอีกไหม?
หลักการเดียวกัน นางก็แค่ไม่พูดออกมาก็เท่านั้นเอง ขอเพียงเกาเหยียนควบคุมสำนักลมปราณได้ ก็เท่ากับก่วงจวินอันลูกชายนางได้ควบคุมเองแล้ว เท่ากับว่าช่องทางรายได้นี้จะอยู่ในมือลูกชายนาง แต่ถ้าสำนักลมปราณมาขอพึ่งพาจวนท่านอ๋องโดยตรง ลูกชายนางก็จะไม่ได้ควบคุมช่องทางรายได้นี้โดยตรงแล้ว
เกาเหยียนเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน ถ้าไม่แต่งงานกับเป่าเหลียน ต่อไปนี้อำนาจในการควบคุมร้านขายของชำซื่อตรงก็จะไม่เกี่ยวข้องกับตนแล้ว จึงตอบทันทีว่า : หลานเลอะเลือนเอง แม่สื่อวางใจเถอะ หลานรู้ว่าควรต้องทำยังไง
เห็นเกาจื่อเซวียนเก็บระฆังดารา สังเกตได้ว่าเมื่อครู่มารดาเพิ่งทำสีหน้าดุร้าย ก่วงจวินอันก็ถามพร้อมรอยยิ้มว่า “ใครยั่วโมโหท่านแม่อีกแล้ว?”
“เรื่องทางฝั่งเกาเหยียน…” เกาจื่อเซวียนเล่าเรื่องเมื่อครู่นี้ให้ฟังด้วยสีหน้าสุขมเยือกเย็น
“หึ! ขนาดเรื่องเล็กแค่นี้ยังเลอะเลือน” ก่วงจวินอันฟังแล้วส่ายหน้า “ท่านแม่ ขอพูดสิ่งที่ท่านแม่อาจจะไม่ชอบฟัง เกาเหยียนเป็นคุณชายเสเพลที่ว่างงาน ไม่คุณสมบัติมากพอให้รับหน้าที่สำคัญ”
เกาจื่อเซวียนเดินเนิบนาบออกมานอกแปลงดอกไม้ “แต่ยังไงก็เป็นคนบ้านเดียวกัน ปล่อยของไว้ในมือคนของเราหรือไว้ในมือคนนอกน่าวางใจกว่าล่ะ? ตอนนี้เจ้ากำลังสะสมกำลัง รอให้เจ้าทำสำเร็จแล้ว ค่อยเลือกคนที่มีความสามารถอีกทีก็ยังไม่สาย”
…………………………