พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1886 ไม่เข้าใจเลย!
ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ที่รับหน้าที่คุ้มกันไม่รู้ว่าถลันตัวมาจากตรงไหน ถามด้วยน้ำเสียงปกติว่า “นายน้อยเกามีอะไรจะกำชับ?”
“ท่านบุรุษจ้าวมีความมั่นใจที่จะปกป้องข้าจากหนิวโหย่วเต๋อได้หรือเปล่า?” เกาเหยียนคว้าแขนเสื้อของอีกฝ่าย แล้วรีบเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ ตอนที่เล่าก็หันมองรอบข้างที่ขมุกขมัวอยู่ใต้แสงจันทร์ รู้สึกว่าตรงไหนก็อันตรายทั้งนั้น
พอได้ยินเรื่องนี้ ท่านบุรุษจ้าวก็กล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “ถ้าสู้กันตัวต่อตัว หนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าแน่นอน แต่ในมือเขามีกำลังทหาร เป็นทหารเกรียงไกรห้าวหาญ ถ้าเขาระดมกำลังขึ้นมา งั้นก็ยุ่งยากแล้ว นายน้อยเกา เกรงว่าอาณาเขตทัพตะวันออกจะต้านหนิวโหย่วเต๋อไม่ไหว ไม่ควรอยู่ที่นี่นาน พวกเรารีบหนีกันเถอะ เรื่องอื่นอนาคตยังอีกยาวไกล ตอนหลังค่อยปรึกษากันก็ยังไม่สาย”
“ได้ๆๆ ที่พูดก็มีเหตุผล ฟังท่านบุรุษจ้าวแล้วกัน!” เกาเหยียนพยักหน้าซ้ำๆ รีบสั่งให้คนรวมตัวกัน แล้วออกไปจากเรือนรับแขกอย่างไม่อยากอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว
ในตำหนักใหญ่ของสำนักลมปราณ อวี้หลิงกับอวี้เลี่ยนยังปรึกษากันว่าพรุ่งนี้จะตอบเกาเหยียนอย่างไร เรื่องบางเรื่องหนิวโหย่วเต๋อพูดเหมือนง่าย แต่ถ้าคุณชายเจ้าชู้เสเพลอย่างเกาเหยียนใช้วิธีแข็งกร้าวขึ้นมาจะทำอย่างไร? ข้างกายอีกฝ่ายมียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์คุมสถานการณ์ ทางฝั่งนี้จะต้านไหวได้อย่างไร
ใครจะคิดว่าในเวลานี้ ศิษย์คนหนึ่งที่ชื่อว่าเต๋อจื้อเป้ยรีบวิ่งเข้ามาทำความเคารพ แล้วบอกว่า “อาจารย์ลุงเจ้าสำนัก อาจารย์อา!”
“มีเรื่องอะไรถึงรีบร้อนขนาดนี้” อวี้หลิงเจินเหรินกล่าวเสียงต่ำ
ศิษย์พี่และศิษย์น้องทั้งสองลุกขึ้นยืน พวกเขากังวลนิดหน่อย ตอนนี้คนในสำนักลมปราณที่ทำให้พวกเขากังวลใจได้ก็มีแค่เกาเหยียน เป็นเพราะกลัวเจ้าหมอนั่นจะทำซี้ซั้วในสำนักลมปราณ เดิมทีเจ้านั่นก็พุ่งเป้ามาที่เป่าเหลียนอยู่แล้ว ถ้าบังขืนใจเป่าเหลียนขึ้นมา อาศัยศักยภาพผู้ติดตามของอีกฝ่าย ทางฝั่งนี้ก็ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ศิษย์คนนั้นกุมหมัดคารวะ “อาจารย์ลุง อาจารย์อา เกาเหยียนนั่นเพิ่งจะรวบรวมกำลังพลรีบร้อนหนีออกจากเขาชีอู๋ไปแล้ว ทหารยามที่เฝ้าประตูใหญ่ถามสองสามคำก็แทบจะโดนพวกเขาทำร้ายแล้ว”
ศิษย์พี่และศิษย์น้องทั้งสองงงทันที อวี้เลี่ยนถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าบอกว่าเกาเหยียนไปแล้วเหรอ? ตอนนี้? ไปตอนดึกป่านนี้เลยเหรอ?”
“อาจารย์อา ใช่แล้ว ทั้งยังไปแบบรีบร้อนมากด้วย ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ศิษย์ที่เฝ้าประตูบอกว่าเกาเหยียนสีหน้าแย่มาก ถึงขั้นวิตกกังวลด้วย เหลียวซ้ายแลขวาเป็นระยะ หลบหลังยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์คนนั้นตลอด ดูท่าเหมือนจะหวาดกลัวมาก” ลูกศิษย์ตอบ
“หวาดกลัว…” อวี้เลี่ยนเจินเหรินอึ้งอีกครั้ง หันกลับมามองหน้าอวี้หลิงเจินเหรินอย่างเลิกลั่ก
“เข้าใจแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถอะ ส่งคนออกไปสืบดูนอกภูเขาสักหน่อยว่ามีสถานการณ์อะไรผิดปกติหรือเปล่า” อวี้หลิงเจินเหรินโบกมือกำชับ
“ขอรับ!”
หลังจากศิษย์คนนั้นขอตัวออกไปแล้ว อวี้เลี่ยนเจินเหรินก็พึมพำว่า “ศิษย์พี่ คงไม่ได้โดนหนิวโหย่วเต๋อขู่จนตกใจหรอกใช่มั้ย?”
“ด้วยฐานะของเขา น่าจะไม่ขี้ขลาดถึงขั้นนั้นนะ แต่ต้องเกิดเรื่องอะไรที่พวกเราไม่รู้แน่นอน คาดว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อ เอาเป็นว่าเขาไปก็ดีแล้ว” อวี้หลิงเจินเหรินถอนหายใจ จู่ๆ ก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ ถามว่า “เป่าเหลียนล่ะ?”
“ได้ยินว่าหลบอยู่ที่ไร่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งวัน นางคงอยากจะหลบเกาเหยียนเหมือนกัน” อวี้เลี่ยนตอบ
อวี้หลิงเจินเหรินถอนหายใจอีก “บอกนางสักหน่อยเถอะ จะได้ไม่ต้องหวาดระแวงกลัวอยู่ตลอด”
ภายใต้แสงจันทร์และลมที่พัดเย็นสบาย ไร่ศักดิ์สิทธิ์ นอกเรือน สุราอาหารจัดวางอยู่บนโต๊ะเล็กตัวหนึ่ง มีเก้าอี้นอนวางฝั่งละตัว เต๋อหมิงกับเต๋อสือที่เอนกายอยู่บนนั้นกำลังเอ้อระเหยลอยชายเคล้ากลิ่นสุราอยู่ใต้แสงจันทร์ พันธนาการชีวิตที่เบิกบานใจขนาดนี้ เป็นสิ่งที่คนอื่นอิจฉาเพราะไขว่คว้าไม่ได้
บนโม่หนิขนาดใหญ่ตัวหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล เป่าเหลียนนั่งกอดเข่าอยู่บนนั้น เงยหน้ามองแสงจันทร์สว่างสดใสเงียบๆ ใบหน้าด้านข้างงดงามอ่อนโยน
ชายตาเหล่พลิกตัวเล็กน้อยแล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง จากนั้นลุกนั่งแล้วหัวเราะลั่น “เป่าเหลียน มาดื่มสุราเป็นเพื่อนอาจารย์อาหน่อย อาจารย์อามีข่าวดีจะบอกเจ้า”
สองพ่อลูกเอียงหน้ามองมาพร้อมกัน เป่าเหลียนหันมองแวบเดียวเท่านั้น แล้วก็เงยหน้ามองท้องฟ้าต่อไป ดูไม่ค่อยสะทกสะท้าน
“ฮ่าๆ!” ชายตาเหล่กล่าวกลั้วหัวเราะ “เป่าเหลียน เด็กสาวอย่างเจ้า จะว่าเด็กก็ไม่เด็กแล้วนะ คิดว่าพอไปเคยไปอยู่ตำหนักสวรรค์มาแล้ว กฎของสำนักก็ไม่มีผลอะไรต่อเจ้าแล้วใช่มั้ย? แม้แต่คำพูดของอาจารย์อาเจ้าก็ไม่เชื่อฟังด้วยใช่มั้ย?”
พอเขาอ้างกฎแล้ว เป่าเหลียนก็ทำได้เพียงกระโดดลงจากโม่หินอย่างไม่เต็มใจ นางเดินเข้ามา หยิบน้ำเต้าสุราของเต๋อหมิงขึ้นมากระดกดื่มอึกหนึ่ง แล้วถามอย่างหงุดหงิดว่า “พอใจแล้วใช่มั้ย?”
ชายตาเหล่หนี่ตายิ้ม “เป่าเหลียน พอแล้ว ข้าจะแจ้งข่าวดีให้เจ้ารู้ เรื่องนี้น่าจะผ่านไปแล้วล่ะ เจ้าเกาเหยียนนั่นหนีไปแล้ว”
เต๋อหมิงที่ตาพร่าเลือนเบิกตากว้างขึ้นหลายเท่า เป่าเหลียนเองก็ถามเขาอย่างงุนงงเช่นกัน “ไปแล้วจริงเหรอ?”
ชายตาเหล่ตบต้นขาแล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ “เขาไม่ใช่แค่ไปแล้วนะ ทัพตะวันออกก็ปล่อยตัวบรรพจารย์แล้วด้วย บรรพจารย์ได้รับคำสั่งย้ายจากจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลแล้ว กลายเป็นคนของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลแล้ว” เขามองเต๋อหมิงแล้วพุดต่อ “ศิษย์พี่ ดุท่าแล้ว ที่ท่านติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อจะมีประโยชน์แล้วจริงๆ เป็นหนิวโหย่วเต๋อที่ลงมือแน่นอน! จุจุ เจ้าหนุ่มนั่นไม่เหมือนในอดีตแล้วจริงๆ เรื่องที่คนทั้งสำนักลมปราณจนปัญญา แต่เจ้าหนุ่มนั่นจัดการได้แบบไร้ซุ่มเสียง ความสามารถนี้ จุจุ!”
สีหน้าหดหู่ของเป่าเหลียนหายไปในชั่วพริบตาเดียว แสดงสีหน้าอารมณ์มากขึ้นแล้ว ดวงตาสวยสดใสกะพริบปริบๆ แล้วจู่ๆ ก็กระทืบเท้าพูดดูถูกว่า “ใครใช้ให้เขาลงมือล่ะ?” พูดจบกก็เหาะออกไปแล้ว ออกจากไร่ศักดิ์สิทธิ์ไป ไม่ชมพระจันทร์อีก
“ศิษย์พี่ หึ นางหนูนี่ไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว!” ชายตาเหล่ชี้หลังเป่าเหลียนพลางบ่นด่า
ฝั่งตรงข้าม เต๋อหมิงที่วางมือสองข้างไว้ตรงท้องหลับตาลงช้าๆ ยิ้มมุมปากเบาๆ อย่างสังเกตเห็นได้ยาก เริ่มเสียงกรนดังขึ้น นอหลับภายใต้ม่านฟ้าเสื่อดิน…
ในดาราจักร เงาคนคนหนึ่งเหาะอย่างรวดเร็ว ประตูดวงดาวที่หมุนวนดำมืดอยู่ข้างหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ที่ถูกเรียกว่า ‘ท่านบุรุษจ้าว’ โล่งใจขึ้นบ้างแล้ว พอข้ามประตูดวงดาวตรงหน้าไปก็จะถึงอาณาเขตทัพตะวันตกแล้ว เมื่อไปถึงอาณาเขตตัวเองก็จะปลอดภัยมากกว่า เมื่อพบความผิดปกติอะไรก็จะเรียกกำลังพลมารับได้ทันเวลา
เพื่อที่จะเพิ่มความเร็ว รีบหนีให้พ้นอันตราย พวกเกาเหยียนถูกเก็บเข้าไปในกระเป๋าสัตว์แล้ว
ไม่จำเป็นต้องใช้กระสวยทองหรือกระสวยเงิน อาศัยวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งของตัวเอง ท่านบุรุษจ้าวดำหายเข้าไปในประตูดวงดาวโดยตรง
ไม่นานก็ถูกพ่นออกจากพื้นที่ว่างของดาราจักรอีกผืนหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันรอให้เขาตั้งสติ จู่ๆ ก็มีคนปิดหน้าหลายร้อยพุ่งออกมาจากสี่ด้านแปดทิศ
ท่านบุรุษจ้าวตกใจ นึกไม่ถึงว่าจะมีคนดักซุ่มตรงทางที่เขาต้องผ่าน แอบร้องในใจว่าซวยแล้ว ความคิดแรกในใจเขาก็คือ เจ้าบ้าหนิวโหย่วเต๋อมันลงมือจริงๆ ด้วย ทำไมถึงมาเร็วขนาดนี้ บังอาจมาลงมือในอาณาเขตทัพตะวันตก เขารีบปล่อยผู้ติดตามร้อยกว่าคนออกมา
“บึ้ม!”
เสียงตะโกนสังหาร เสียงระเบิด เสียงกรีดร้องเริ่มดังก้องในดาราจักร กำลังพลของทั้งสองฝ่ายตะลุมบอนกันอย่างดุเดือด โดนสอยร่วงคนแล้วคนเล่า เลือดสดสาดกระจาย
ภายใต้กระบวนทัพต่อสู้ขนาดใหญ่ ความเป็นความตายของคนบางกลุ่มไม่ได้อยู่ในสายตาตัวละครใหญ่ๆ เลย อย่าว่าแต่คนพวกนี้ ต่อให้เป็นคนนับพันนับหมื่น ต่อให้เป็นความตายของคนนับล้านก็อาจเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของคนพวกนี้ไม่ได้อยู่ดี
คนที่ลอบจู่โจมมีพลังแข็งแกร่งมาก ต่อให้ท่านบุรุษจ้าวไม่ได้ตายคนแรก แต่ก็อยู่ในกลุ่มแรกที่ตายเร็วที่สุด พอประมือกันก็รู้ว่าตัวเองโดนยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สามคนล้อมโจมตี เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามเตรียมตัวมาดักซุ่มเส้นทางที่เขาจะต้องมา
การต่อสู้ไม่ได้ยืดเยื้อ ผู้ติดตามร้อยกว่าคนของเกาเหยียนไม่มีใครหนีไปได้แม้แต่คนเดียว เกาเหยียนคือคนสุดท้ายที่ถูกค้นออกจากกระเป๋าสัตว์ท่านบุรุษจ้าว
เมื่อเห็นคนปิดหน้าที่อยู่ข้างหน้า แล้วเห็นผู้ติดตามที่ตายอนาถ เกาเหยียนถึงได้รู้ว่าเกิดเรื่องแล้ว เขาตกใจจนตัวสั่น ร้องเสียงดังว่า “ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว ผู้น้อยสำนึกผิดแล้ว ผู้ตรวจการใหญ่หนิวไว้ชีวิตด้วย ผู้น้อยไม่กล้าอีกแล้ว ผู้ตรวจการใหญ่หนิวโปรดไว้ชีวิต!” ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะโต้ตอบ ศพของท่านบุรุษจ้าวลอยอยู่ไม่ไกล
ไม่มีใครฆ่าเขา และไม่มีใครสนใจด้วย แต่ควบคุมเขาไว้แล้วเก็บไว้ทันที คนหลุ่มหนึ่งรีบกวาดล้างสนามรบ แล้วก็หายไปในดาราจักรอย่างไร้ซุ่มเสียง
จวนอ๋องสวรรค์ก่วง เส้นขอบฟ้ามีแสงสว่างเล็กน้อย เม่ยเหนียงผู้มีใบหน้างดงามสวมชุดสวยหรูหราเดินเนิบนาบออกจากห้อง เดินลากกระโปรงยาวลงบนบันได แล้วยืนมองน้ำค้างบนกลีบดอกไม้ในลานบ้านด้วยสีหน้าเหม่อลอย
สาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาจากประตูพระจันทร์ด้านข้างอย่างเงียบๆ พอเดินมาถึงข้างกายนางก็ทำความเคารพ “หวังเฟย”
“คนออกมาหรือยัง?” เม่ยเหนียงเอียงหน้าถ่ายทอดเสียงถาม
สาวใช้ถ่ายทอดเสียงรายงาน “ยังเลยค่ะ หลังจากคุณชายใหญ่รีบร้อนเข้ามาในสวนจิ้งเซวียน จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีใครออกมาเลย”
“รู้แล้ว จับตาดูต่อไป”
หลังจากสาวใช้ถอยออกไปแล้ว เม่ยเหนียงก็ยืนนิ้วชี้ปาดน้ำค้างเม็ดหนึ่งบนกลีบดอกไม้ แล้วแสยะยิ้มพึมพำ “เชอะ! สงสัยจะเกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ”
สวนจิ้งเซวียน ในโถงใหญ่ ก่วงจวินอันเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา ส่วนเกาจื่อเซวียนก็ระฆังดาราอย่างร้อนใจเป็นระยะ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน? นี่มันผ่านไปกี่ชั่วยามแล้ว ท่านแม่ ยังติดต่อไม่ได้อีกเหรอ?”
รอจนกระทั่งระฆังดาราในมือเกาจื่อเซวียนหยุดสั่น ก่วงจวินอันก็หยุดเดินแล้วหันกลับมาถาม
เกาจื่อเซวียนขมวดคิ้วส่ายหน้า “จู่ๆ ก็ขาดการติดต่อไป ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร น้าเจ้าก้บอกว่าติดต่อไม่ได้ หรือว่าจะเกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ?”
“ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อจะลงมือ แต่อยู่ห่างกันขนาดนั้น เกาเหยียนก็หนีออกไปทันเวลาแล้ว กำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อไม่น่าจะตามไปดักไวขนาดนั้นสิ มิหนำซ้ำคนที่ส่งไปก็มีพลังไม่อ่อนแอ โดยเฉพาะจ้าวจ้ง ต่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ก็คงไม่ถึงขั้นไม่ส่งข่าวกลับมาเลย? นอกเสียจากจะโดนลอบจู่โจม เจอคนที่มีกำลังเหนือกว่าข่มเหงให้รายงานกลับมาไม่ทัน” ก่วงจวินอันกล่าวด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง
เกาจื่อเซวียนกล่าวอย่างกังวลถึงขีดสุด “ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ คนอื่นหายไปก็ยังพูดง่ายหน่อย ลองคิดหาทางก็ยังปิดบังได้ แต่จ้าวจ้งคือองครักษ์ป้ายทองของจวนท่านอ๋อง ทุกวันต้องรายงานตัวกับหัวหน้าองครักษ์ ถ้าขาดการติดต่อไปจะต้องมีการสืบสาวราวเรื่องแน่ เกรงว่าคงจะปิดบังท่านพ่อของเจ้าไม่ได้แล้ว…”
ตลาดผี ถนนที่เงียบสงบพลันเกิดความวุ่นวาย ทหารสวรรค์กลุ่มใหญ่ปรากฏตัวกะทันหัน ล้อมร้านค้าร้านหนึ่งไว้แล้วสังหารเข้าไปโดยตรง บ้างก็เข้าทางประตู บ้างก็เข้าทางหน้าต่าง ไม่ให้เหลือช่องโหว่ไว้แม้แต่ช่องเดียว ส่วนด้านบนของตลาดผี มีกำลังพลกลุ่มใหญ่พุ่งลงมาจากด้านบนของร้านค้าเช่นเดียวกัน ล้อมขนาบโจมตีเข้ามาทุกด้าน พอพุ่งเข้าไปเจอคนก็ฆ่าทันที ไม่สนว่าเป็นลูกค้าหรือคนงานในร้านค้า ไม่ให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว เป็นการล้างเลือดโดยแท้ ทรัพย์สินในร้านค้าก็ถูกกวาดออกไปหมด
เรื่องแบบเดียวกันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่ร้านค้าร้านเดียวเท่านั้น ร้านค้าห้าร้านที่กระจายอยู่ในตลาดผีห้าแห่งก็ถูกทัพใหญ่แดนรัตติกาลล้างเลือดเช่นกัน
ปฏิบัติการนี้มาเร็วไปเร็ว หลังจากร้านค้าห้าร้านโดนกวาดล้าง ทัพใหญ่ก็ถอนกำลังอย่างรวดเร็ว
ทัพใหญ่แดนรัตติกาลโผล่มาเคลื่อวไหวอย่างดุร้ายแบบนี้ เรียกได้ว่าสะเทือนทั้งตลาดผี ข่าวและการวิจารณ์ต่างๆ นานากระจายออกไปทั่วสารทิศราวกับกระแสน้ำ
ริมหน้าต่างตึกศาลาสัตยพรต หลังจากฟังชีเจวี๋ยรายงานจบแล้ว เฉาหม่านที่กำลังหรี่ตามองแสงโคมไฟที่อยู่ไกลๆ ก็กล่าวช้าๆ ว่า “เฒ่าชี เจ้าคิดว่าจู่ๆ เจ้าบ้านท่านนั้นเคลื่อนไหวแบบนี้หมายความว่าอะไร? ไม่เคยได้ยินข่าวว่าตระกูลก่วงไปมีเรื่องอะไรกับเขา ข้ารู้สึกเหมือนในหัวมีแต่หมอกขาว ไม่เข้าใจเลย!”
………………