พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1890 เรื่องใหญ่!
ปากก็ด่าอย่างสบายใจ แต่สายตาที่มองเหมียวอี้กลับซ่อนความรู้สึกที่ล้ำลึกเอาไว้ เป็นไปไม่ได้ที่ในใจจะไม่รู้สึกปลงอนิจจังเลยสักนิด ตอนแรกที่อยู่ดาวเทียนหยวน ก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้ว ว่าคนคนนี้ไม่อยู่ในโอวาท ตอนนี้จะหยุดออกนอกลู่นอกทางได้อย่างไร เป็นพวกใจกล้าคับฟ้าโดยแท้ น่าขำที่ตอนนั้นนางกับเทียนหยวนใคร่ครวญคิดวางแผนเพราะวิตกกังวลกับผลได้ผลเสียของตน ช่างน่าขำจริงๆ
เพราะนางรู้มากกว่าคนอื่นนิดหน่อย เพราะนางรู้ว่าเบื้องหลังเหมียวอี้คือหกลัทธิ แม้จนกระทั่งตอนนี้นางจะยังไม่รู้ว่าเหมียวอี้มีฐานะอะไรที่หกลัทธิกันแน่ แต่นางก็สงสัยมากว่าเรื่องที่สระน้ำมังกรดำจะมีหกลัทธิเข้ามาแทรกแซง ด้วยความที่รู้ภูมิหลังของเหมียวอี้ นางย่อมคิดว่าการที่เหมียวอี้ทำศึกชนะทัพตะวันออกห้าล้านได้ ต้องเป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากหกลัทธิแน่นอน
“ที่พูดมาก็ถูก” เหมียวอี้หัวเราะแห้ง เขายอมรับในจุดนี้เช่นกัน ผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์อย่างเขาไม่มีอาณาเขตใดๆ ในตลาดสวรรค์ ไปควบคุมปี้เยว่ไม่ได้ ต่อให้มีฐานะทูตลาดตระเวนตลาดสวรรค์ก็เหมือนกัน ถ้าเจ้าจะหาเรื่องปี้เยว่ ก็ต้องถามผู้บังคับบัญชาของปี้เยว่ก่อนว่าอนุญาตหรือไม่ “แต่จะว่าไปแล้ว ไม่เจอกันตั้งหลายปี พอเจอหน้ากันจำเป็นต้องก้าวร้าวขนาดนี้ด้วยเหรอ?”
ปี้เยว่ใช้นิ้วเคาะโต๊ะ “เจ้าก็ต้องถามตัวเจ้าเอง เฝิ่นเอ๋อร์ล่ะ? เจ้าบอกแล้วว่ายืมไปแล้วจะคืน จนป่านนี้แล้วยังไม่เห็นเจ้าคืนข้าเลย”
เหมียวอี้ยิ้มมุมปาก “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากคืนเจ้า แต่เฝิ่นเอ๋อร์ไม่อยากกลับมาต่างหาก”
ปี้เยว่ถลึงตา “นี่เจ้าตามใจนางเหรอ? เจ้าเปลี่ยนเป็นเชื่อฟังขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร ปีศาจจิ้งจอกตัวหนึ่งสั่งให้เจ้าทำอะไร เจ้าก็ทำอย่างนั้นเหรอ?”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “ก็ข้าเห็นว่านางน่าสงสาร”
“อย่ามาเล่นลูกไม้นี้!” ปี้เยว่หลอกตา
เหมียวอี้กระแอม “นางไม่อยากกลับมาจริงๆ เอ่อคือ…นางเล่าเรื่องที่เจ้าบังคับให้นางทำให้ข้าฟังหมดแล้ว ข้ารู้สึกว่านางน่าสงสารจริงๆ”
ปี้เยว่ว้าวุ่นใจทันที แต่กลับฝืนทำตัวสงบเยือกเย็น “นางเป็นสัตว์เลี้ยงของข้า ข้าจะบังคับให้นางทำอะไรได้”
เหมียวอี้จึงเปิดโปงนางเสียเลย ยิ้มแห้งแล้วบอกว่า “เรื่องที่เจ้าบังคับให้นางแปลงร่างเป็นผู้ชาย ข้าคิดว่าตอนหลังคงไม่ต้องให้ข้าพูดอะไรมากแล้ว” ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาไม่พูดออกมาแน่นอน แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ฐานะเปลี่ยนแล้ว เรื่องบางเรื่องเขามีความมั่นใจที่จะควบคุมแล้ว
“…” ใบหน้างามของปี้เยว่แดงก่ำแล้ว อายจนแทบทนไม่ไหว แอบด่าว่าปีศาจจิ้งจอกสมควรตาย อย่าตกมาอยู่ในมือข้าแล้วกัน ไม่อย่างนั้นได้ตายแน่นอน ที่สำคัญที่สุดก็คือ นางเคยให้จิ้งจอกพันหน้าเปลี่ยนร่างเป็นเหมียวอี้ ตอนนี้มาเผชิญหน้ากับเหมียวอี้แล้ว จะให้นางทนความรู้สึกได้อย่างไร แต่ถึงอย่างไรก็ใช้ชีวิตมาหลายปี ความอับอายไม่ทำให้คนตายหรอก จึงแสยะยิ้มบอกว่า “แล้วยังไงล่ะ? ข้าจะหาความสำราญสักหน่อยไม่ได้รึไง? ผู้ชายอย่างพวกเจ้าไม่มีดีสักตัว ทิ้งผู้หญิงในบ้านเอาไว้ไม่สนใจ ต้องให้หาความสำราญเอาเอง ข้าไม่ได้ลักลอบคบกับคนอื่นสักหน่อย ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ…”
เรียกได้ว่าด่ายับ เหมียวอี้นับว่ายอมแพ้นางแล้ว ด่าเหมือนเขาไปทำเรื่องน่าอับอายอะไรไว้อย่างนั้นแหละ เขารีบยกมือยอมแพ้ “ได้ๆๆ เป็นความผิดของข้าทั้งหมด ตกลงมั้ย แต่จิ้งจอกนั่นข้าไม่มีทางคืนให้เจ้าได้ นางอยู่ที่แดนอเวจี โดนกักตัวไว้แล้ว”
ในใจปี้เยว่ยังอับอายไม่หาย ไม่รู้ด้วยว่าจิ้งจอกได้บอกเรื่องที่ตัวเองแปลงร่างเป็นหนิวโหย่วเต๋อแล้วมีค่ำคืนอันแสนหวานกับนางหรือเปล่า แต่ก็ได้โอกาสหาบันไดลงจากเรื่องนี้พอดี รีบเลี่ยงประเด็นสนทนานี้ แล้วถามด้วยสีหน้าหดหู่ลง “ซินเอ๋อร์เป็นยังไงบ้าง?”
นางไม่ได้ติดต่อไห่ผิงซินมาหลายปีแล้ว หลังจากไห่ผิงซินไปที่แดนอเวจี ก็ตัดขาดการติดต่อจากโลกภายนอก สาเหตุก็เพราะเหมียวอี้ไม่อยากให้ปี้เยว่รู้ฐานะที่แท้จริงของเขาที่แดนอเวจี
เหมียวอี้ปลอบใจว่า “เจ้าวางใจเถอะ อาศัยฐานะของพ่อนางที่อยู่ทางนั้น นางไม่ได้ถูกเอาเปรียบอะไรหรอก เป็นเจ้ามากกว่า พวกเราไม่ได้ติดต่อกันหลายปีแล้ว เจ้าเป็นยังไงบ้าง?”
ปี้เยว่คว้าจอกสุราขึ้นมาดื่มอึกเดียวหมดจอก “ข้าจะเป็นยังไงได้ ถึงยังไงเทียนหยวนก็ยังทำงานอยู่ที่จวนตระกูลอิ๋ง คนที่เกี่ยวข้องยังไว้หน้าอยู่บ้าง ข้าเองก็ไม่มีใครมากลั่นแกล้ง…เทียนหยวนอยากจะมีลูก หลายปีมานี้อยากจะให้ข้ามีให้เขาสักคน แต่ข้าไม่เคยให้ความร่วมมือ”
ความสัมพันธ์ของนางกับเทียนหยวนไม่ราบรื่นแล้ว ตอนแรกเริ่มนางก็พึ่งพาเทียนหยวนเพื่อความอยู่รอด ตอนนั้นเทียนหยวนมีฐานะสูงและมีอำนาจ เรียกได้ว่าเย็นชาต่อนางมาก ตอนหลังพอเกิดเรื่องกับนางที่แดนอเวจี กอปรกับเทียนหยวนโดนโค่นจากตำแหน่ง นางก็วางตัวเป็นอิสระ ผลปรากฏว่าเทียนหยวนกะแกะนางไม่เลิก และไม่เย็นชาต่อนางเหมือนในปีนั้นอีก มักจะเป็นฝ่ายมา ‘แสดงความรัก’ ต่อนางก่อนเสมอ พอนางผลักไส เขาก็บังคับนาง เมื่อเวลานานไป ถึงอย่างไรทั้งสองก็มีฐานะเป็นสามีภรรยากันจริงๆ ถ้านางปฏิเสธต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไร ดังนั้นนางจึงกึ่งผลักกึ่งยอมแล้วก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ
เหมียวอี้อึ้งทันที ไม่รู้ว่าเทียนหยวนคิดอย่างไร แต่เขาก็เข้าใจความสับสนของปี้เยว่ อยู่ที่นี่ก็มีสามี อยู่ที่แดนอเวจีก็มีสามี อยู่ที่แดนอเวจีก็ให้กำเนิดไห่ผิงซินแล้ว ถ้าคลอดลูกให้เทียนหยวนที่นี่อีก…เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าเพิ่งมีลูกเลย ให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ปี้เยว่ยื่นจอกเปล่าให้ บอกใบ้ให้รินสุราให้ แล้วถามว่า “ให้ผ่านช่วงนี้ไป? มีคำอธิบายมั้ย?”
เหมียวอี้ถือกาสุรารินให้นางแล้วส่ายหน้า จะให้เขาพูดอย่างไรล่ะ เขากำลังจะลงมือกับตระกูลอิ๋งแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นเกรงว่าฝ่ายที่เกี่ยวข้องคงจะไม่ปล่อยเทียนหยวนไป แค่ปกป้องปี้เยว่ได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว นับว่าให้คำชี้แจงกับไห่ยวนเค่อได้แล้ว
ขณะกำลังรินสุราและพูดคุย ชิงหยวนจุนก็ส่งข่าวมาแล้ว
เหมียวอี้กล่าวขออภัย แล้วลุกขึ้นเดินออกจากศาลากลางน้ำ พอเดินออกไปไกลแล้วถึงได้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อชิงหยวนจุน
ผลปรากฏว่าเป็นอย่างที่คาดไว้ สิ่งที่ชิงหยวนจุนถามก็คือความเคลื่อนไหวที่ตลาดผี ถามเขาว่าสมคบกับตระกูลเซี่ยโห้วใช่หรือไม่
เหมียวอี้แอบโล่งใจ ชิงหยวนจุนไม่ได้มีช่องทางข่าวสารที่ปรุโปร่งขนาดนั้น จะต้องเป็นท่านนั้นของวังสวรรค์ที่สืบข่าวแน่นอน เขาจึงบอกสิ่งที่ตัวเองเตรียมไว้นานแล้วให้ฟังทันที แผนการถอนรากถอนโคนตระกูลอิ๋ง!
เพียงแต่ผู้วางแผนหลักไม่ใช่เขา กลายเป็นตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว!
ชิงหยวนจุนเรียกได้ว่าตกตะลึงมาก!
เหมียวอี้ไม่สนใจว่าเขาจะตกใจหรือไม่ตกใจ หลังจากอธิบายให้เขาฟังแล้วก็กลับไปนั่งลงตรงศาลากลางน้ำ
“ติดต่อกับใคร ทำไมนานขนาดนั้น?” ปี้เยว่ที่นั่งกินดื่มอยู่คนเดียวเอ่ยถาม
เหมียวอี้จ้องนาง ในที่สุดก็กล่าวถึงจุดประสงค์ที่เชิญนางมาที่นี่แล้ว “ปี้เยว่ ถ้าจะให้เจ้าเลือกฝ่ายหนึ่ง เจ้าจะเลือกยืนฝ่ายไห่ยวนเค่อกับซินเอ๋อร์ หรือจะยืนฝ่ายเทียนหยวน?”
ในศาลาเงียบกริบในชั่วพริบตาเดียว ถ้ามีเสียงเข็มร่วงพื้นก็คงได้ยิน ปี้เยว่มองเขาอย่างตะลึงงัน ตะเกียบที่ยืนออกไปค้างอยู่กับที่ ปากที่กำลังเคี้ยวอาหารก็ไม่เคี้ยวแล้วเช่นกัน
เหมียวอี้พยักหน้า “จะคลุมเครืออย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ต้องเลือกมาสักทา!”
ตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่หลบอยู่ในห้องนอนตัวเองกำลังนั่งหน้าโต๊ะยาว ข้างกายเต็มไปด้วยแผ่นหยก เรียกได้ว่าเขียนไม่หยุดทั้งวันทั้งคืน
เอ๋อเหมยเข้ามาปรนนิบัติเป็นระยะ หลังจากออกไปแล้วก็จับตาดูทิศทางความเคลื่อนไหวรอบตำหนักนารีสวรรค์อย่างเข้มงวด
ครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายไม่ได้หลบเลี่ยงกัน เรื่องที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำในตอนนี้ก็คือเรื่องที่ตระกูลเซี่ยโห้วกับเหมียวอี้ร่วมมือกัน ทางเอ๋อเหมยมีแต่จะต้องให้ความร่วมมือเต็มที่ ไม่ก่อกวนอะไร
จนกระทั่งชิงหยวนจุนส่งข่าวมา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถึงได้หยุดทำงานในมือ มาติดต่อกับลูกชายแทน
ชิงหยวนจุนที่ได้ข่าวจากเหมียวอี้รู้สึกเป็นกังวลมาก ถามมารดาว่ารู้เรื่องหรือเปล่า เพราะเสด็จพ่อกำลังถามเขา
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่บอกว่ารู้แล้ว นางทำตามที่เหมียวอี้กำชับไว้ ให้เขาบอกประมุขชิงอย่างซื่อสัตย์
หลังจากติดต่อจบแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ออกจากห้อง แล้วเดินยืดเส้นยืดสายช้าๆ อยู่ในลานตำหนัก ตอนที่เดินขึ้นบันกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง นางก้าวขึ้นมาบนบันได แล้วหันกลับไปมองทางตำหนักบูรพาที่อยู่ของสนมสวรรค์ บนใบหน้าเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน พึมพำในใจว่า : หลังจากตระกูลอิ๋งสิ้นอำนาจแล้ว ข้าก็อยากจะเห็นนักว่านางตัวดีนั่นยังจะกำเริบเสิบสานยังไงได้อีก!
สำหรับแผนร่วมมือลับของตระกูลเซี่ยโห้วกับเหมียวอี้ในครั้งนี้ นางเฝ้าคอยมาก นางกลับเข้าไปในห้องอย่างแน่วแน่ แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานหนักต่อไป
ตำหนักดาราจักร ซ่างกวนชิงมือหนึ่งกำลังถือระฆังดารา มือหนึ่งกำลังถือแผ่นหยกร่ายอิทธิฤทธิ์บันทึก สีหน้าเริ่มเปลี่ยนไปเยอะมาก
ประมุขชิงที่เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาสังเกตเห็นแล้ว ซ่างกวนชิงอยู่กับเขามาหลายปี มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่าซ่างกวนชิงเป็นคนอย่างไร ถ้าสามารถทำให้ซ่างกวนชิงตอบสนองอย่างนี้ได้ แสดงว่าจะต้องเป็นเรื่องใหญ่มากแน่นอน
รอจนกระทั่งซ่างกวนชิงติดต่อเสร็จแล้ว ประมุขชิงก็ถามว่า “มีเรื่องอะไร?”
“เรื่องใหญ่ขอรับ!” ซ่างกวนชิงตอบด้วยสีหน้าจริงจังหนักแน่น แล้วใช้สองมือยื่นแผ่นหยกให้ “เชิญฝ่าบาทตรวจสอบ!”
ประมุขชิงแย่งมาไว้ในมือ แล้วยืนตรวจอ่านเนื้อหาอยู่ในตำหนัก ตอนยังไม่อ่านก็ยังไม่รู้ พอยิ่งอ่านก็ยิ่งทำสีหน้าจริงจัง เริ่มขมวดคิ้วมุ่น ในใจตกใจไม่เบา นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะสมคบกับตระกูลเซี่ยโห้ววางแผนลับเพื่อจะขุดรากถอนโคนตระกูลอิ๋ง!
ในแผ่นหยกบันทึกแผนลับไว้ชัดเจน เพียงแต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เหมียวอี้ไม่ได้ชี้แจงอย่างซื่อสัตย์
เหมียวอี้บอกชิงหยวนจุน ว่าเขาไม่ได้เป็นฝ่ายไปหาเซี่ยโห้วลิ่งก่อน แต่เป็นเซี่ยโห้วลิ่งที่เป็นฝ่ายมาหาเขาก่อน หลังจากเซี่ยโห้วท่าจากโลกนี้ไป อิ๋งจิ่วกวงก็เป็นคนแรกที่กระโดดออกมาสู้กับตระกูลเซี่ยโห้ว ตั้งแต่นั้นมาเซี่ยโห้วลิ่งก็เตรียมจะลงดาบกับอิ๋งจิ่วกวงแล้ว เตรียมจะขุดรากถอนโคนอิ๋งจิ่วกวง สะเทือนขวัญทั้งใต้หล้า!
เป็นเซี่ยโห้วลิ่งที่โน้มน้าวให้เหมียวอี้มาร่วมมือกัน เหตุผลที่เซี่ยโห้วลิ่งให้ไว้ก็ไม่ซับซ้อน : หลังจากเกิดเรื่องที่สระน้ำมังกรดำ เจ้าคิดว่าอิ๋งจิ่วกวงจะปล่อยเจ้าไปเหรอ? เจ้าอยู่ในสถานการณ์เฉียดตายแล้ว ถ้าอิ๋งจิ่วกวงทำให้จิตใจทหารมั่นคงได้เมื่อไร ก็จะเล่นงานเจ้าถึงตายทันที เคราะห์นี้หลีกหนีไม่พ้น ถ้าเขาไม่ตายเจ้าก็ตาย เจ้าจะเลือดฝั่งไหนล่ะ?
สาเหตุที่เปลี่ยนทิศทางอย่างนี้ สาเหตุที่ผลักผู้วางแผนหลักไปที่เซี่ยโห้วลิ่ง ก็เพราะเหมียวอี้เข้าใจชัดเจน ว่าเรื่องนี้ใหญ่โตเกินไป เขาแบกรับชื่อเสียงนี้ไม่ไหวจริงๆ ถ้าชื่อเสียงนี้ตกลงมาถึงเขาเมื่อไร ก็จะกดทับให้เขาถึงตายได้ ถ้าไม่ผลักชื่อเสียงนี้ทิ้งไป ต่อให้ตอนสุดท้ายจะทำเรื่องนี้สำเร็จ แต่อ๋องสวรรค์ที่เหลือก็ไม่ปล่อยให้เขามีชีวิตรอดต่อไปแน่นอน จะรู้สึกว่าเขาอันตรายเกินไป จะต้องกำจัดเขาแน่นอน!
ตอนแรกเหมียวอี้กังวลว่าการทำแบบนี้จะทำให้โดนเซี่ยโห้วลิ่งโจมตีกลับ แต่หยางชิ่งบอกเขาว่าไม่ต้องกังวลเลย เซี่ยโห้วลิ่งต้องอาศัยการหล่อหลอมใจคนเพื่อดันให้ตัวเองขึ้นแท่นบูชา มีแต่จะช่วยปิดบัง ไม่มีทางทำลายร่างรื้อเวทีของตัวเอง!
อ่านดูในแผนการ ถึงขั้นบอกไว้ชัดเจนว่าต้องการผลักดันให้ประมุขชิงลงมือขุดรากถอนโคนอิ๋งจิ่วกวง บนใบหน้าประมุขชิงมืดครึ้มราวกับพยับเมฆ
หลังจากอ่านแผนในแผ่นหยกเสร็จแล้ว ทั้งสองก็สบตากันแวบหนึ่ง สีหน้าไม่ได้เครียดขรึมธรรมดา ทั้งสองไม่สงสัยเลยสักนิดว่าเหมียวอี้ใช้อุบาย แทบจะเชื่อสนิทเลยว่านี่คือแผนการที่เซี่ยโห้วลิ่งผลักดันด้วยมือตัวเอง ถึงขั้นไม่คิดโยงไปที่เหมียวอี้เลย!
“นี่ต้องการจะเล่นงานอิ๋งจิ่วกวงให้ถึงตายจริงๆ!” ประมุขชิงกำแผ่นหยกในมือไว้แน่น แล้วกล่าวเน้นทีละคำด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เซี่ยโห้วลิ่ง! น้ำนิ่งไหลลึก เก็บงำไว้ลึกมาก เหมือนงูพิษตัวหนึ่ง แค่ไม่ออกมาก็เท่านั้นเอง พอออกมาก็โจมตีถึงชีวิตเลย ข้าประเมินเขาต่ำไปจริงๆ!”
ซ่างกวนชิงพยักหน้า “เดิมทีบ่าวก็ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเขาเท่าไร แต่พอมาดูตอนนี้แล้ว เซี่ยโห้วท่าน เจ้าจิ้งจอกเฒ่านั่นไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย ที่ผลักดันให้เซี่ยโห้วลิ่งมารับตำแหน่งหัวหน้าตระกูล ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล”
………………