พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1898 คลื่นลูกหลังสูงกว่าคลื่นลูกแรก
ตอนนี้เม่ยเหนียงรู้สึกได้อย่างลึกซึ้ง ว่าอุบายที่ตัวเองใช้ในบ้านขุนนางยศใหญ่ก่อนหน้านี้เป็นเพียงของเด็กเล่นเมื่อเทียบคนที่อยู่ข้างนอก สิ่งที่ตัวเองทำเรียกว่าเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว แต่สิ่งที่อีกฝ่ายทำเรียกได้ว่าภูเขาถล่มแผ่นดินแยก โอ่อ่าทรงพลัง พอเคลื่อนไหวขึ้นมาก็ม้วนคลุมทั้งใต้หล้า!
ก่วงลิ่งกงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังเป็นพิเศษ “นี่ต้องการจะเล่นงานอิ๋งจิ่วกวงให้ถึงตาย สืบเจอหรือยังว่าใครเป็นคนกระจายข่าว?”
โกวเยว่ตอบว่า “จุดที่ข่าวกระจายเร็วที่สุดก็คือตลาดมืด เมื่อเชื่อมโยงกับเรื่องสำนักลมปราณ เกรงว่าคงไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อและตระกูลเซี่ยโห้ว! ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลเซี่ยโห้วเข้ามาแทรกแซง หนิวโหย่วเต๋อก็ไม่มีกำลังมากพอที่จะทำให้ข่าวคึกโครมทั้งใต้หล้าได้เร็วขนาดนี้ ทางตลาดมืดก็ยิ่งปล่อยโดยไม่ควบคุมเลยสักนิด บ่าวสั่งให้คนตรวจสอบแล้ว ทว่าครั้งนี้เทียบกับครั้งก่อนไม่เหมือนกัน ครั้งก่อนอาศัยปากของโถงชุมนุมอัจฉริยะกระจายข่าวลือ สาวไปถึงตัวการได้ง่าย ครั้งนี้เป็นการยัดแผ่นหยกไปทั่วอย่างเงียบๆ พอแผ่นหยกทิ้งแผ่นหยกไว้แล้วก็จากไปอย่างไร้ซุ่มเสียง เวลาจะสืบหาขึ้นมาก็ยุ่งยาก”
ก่วงลิ่งกงราวกับใบหน้าโดนตะคริวกิน เขาเพิ่งจะกระพือข่าวลือของหนิวโหย่วเต๋อให้คึกโครมทั้งใต้หล้า แต่หนิวโหย่วเต๋อพลิกมือก่อหายนะให้ตระกูลอิ๋งโหดยิ่งกว่า คาดว่าคงจะกลบความเคลื่อนไหวที่เขาสร้างขึ้นมาได้ในทันที ทั้งสองลงมือก่อนหลังตามกันมา คลื่นลูกหลังสูงกว่าคลื่นลูกแรก ช่างมีจิตใจสื่อถึงกันจริงๆ เขาดันกลายเป็นคนร้องเพลงโหมโรงที่คอยกระพือเรื่องให้ลุกลามใหญ่โต นี่มันเรื่องอะไรกัน
“แผ่นหยกมากขนาดนี้ไม่ใช่ว่าจะทำเสร็จได้ภายในเวลาสั้นๆ เห็นได้ชัดว่าวางแผนมานานแล้ว หลังจากเกิดเรื่องที่สระน้ำมังกรดำ ก็เตรียมพุ่งเป้าเล่นงานอิ๋งจิ่วกวงแล้ว! หมาบ้าอย่างหนิวโหย่วเต๋อช่างเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ เกรงว่าต่อให้นอนฝัน อิ๋งจิ่วกวงก็คงนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าหนิวโหย่วเต๋อจะกล้าทำอย่างนี้ กลายเป็นส่งเป้าที่ใหญ่ขนาดนี้ให้อีกฝ่ายโจมตี!” ก่วงลิ่งกงเอามือไขว้หลังเดินมาริมหน้าต่าง ขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่างก็กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
โกวเยว่กล่าวว่า “ไม่ใช่แค่อิ๋งจิ่วกวงเท่านั้นที่นึกไม่ถึง เกรงว่าทุกคนก็นึกไม่ถึงเช่นกัน ตอนนี้พอมานึกดูแล้ว การที่หนิวโหย่วเต๋อทำอย่างนี้ก็ไม่แปลกเช่นกัน เขารู้ชัดว่าอิ๋งจิ่วกวงไม่มีทางปล่อยเขาไป เลยไม่ปล่อยให้อิ๋งจิ่วกวงได้พักหายใจ ชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ! แต่ถ้าจะบอกว่าตระกูลเซี่ยโห้วเชื่อฟังคำสั่งของหนิวโหย่วเต๋อ ก็ฟังดูเหลวไหลไปหน่อย มีความเป็นไปได้เก้าในสิบว่าเซี่ยโห้วลิ่งเป็นคนชักจูง!”
ก่วงลิ่งกงพยักหน้าเบาๆ ขณะมองออกนอกหน้าต่าง “ก่อนหน้านี้ตระกูลเซี่ยโห้วเสียเปรียบตระกูลอิ๋ง แต่เซี่ยโห้วลิ่งนิ่งเฉยไม่เคลื่อนไหว สิ่งนี้ก็ทำให้คนรู้สึกแปลกใจแล้ว ที่แท้ก็แค่ไม่เคลื่อนไหวก็เท่านั้นเอง พอเคลื่อนไหวขึ้นมาก็เล่นงานตระกูลอิ๋งถึงตาย ต่อไปต้องระวังเจ้าเด็กนี่ไว้หน่อย” ตอนที่หันกลับมากำชับ เขาพบว่าเม่ยเหนียงและลูกสาวยังอยู่ในห้อง จึงโบกมือบอกใบ้ให้ทั้งสองถอยออกไปทันที
สองแม่ลูกที่ออกมาจากห้องเงียบงันผิดปกติ ยากที่จะกำจัดความรู้สึกตกตะลึงในใจให้หายไป
ระหว่างทางเดิน ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่เร่งฝีเท้าเดินตามมารดาแอบมองมารดาเป็นระยะ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านแม่ พี่ใหญ่หนิวทำเรื่องนี้จริงๆ เหรอคะ?”
เม่ยเหนียงถลึงตาจ้องนางทันที “เด็กน้อยพูดเหลวไหลอะไร? เรื่องแบบนี้ ผู้หญิงที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนอย่างพวกเราไปยุ่งไม่ได้ ตั้งแต่นี้ไปถ้าแม่ไม่อนุญาติ ก็ห้ามเจ้าไปที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลอีก เข้าใจมั้ย?”
“อื้ม!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์พยักหน้าซ้ำๆ เหมือนไก่จิกข้าวสาร รู้สึกตกใจกับเรื่องที่ได้ยินเมื่อครู่นี้เช่นกัน ภาพพจน์ของเหมียวอี้ในใจนางเพิ่มความน่าหวาดกลัวเข้ามาด้วยแล้ว
ตำหนักดาราจักร ซ่างกวนชิงรายงานเรื่องการตายของเกาเหยียนที่รู้มาจากชิงหยวนจุน
“ข้าก็รู้สึกอยู่แล้วว่าไม่ปกติ ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้…” ประมุขชิงที่นั่งพิงเก้าอี้พยักหน้า หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็บอกอีกว่า “ในปีนั้นเกาก้วนเคยบอกว่าหนิวโหย่วเต๋ออาจจะกลายเป็นโพ่จวินคนที่สอง หึ! ตอนนี้ข้าไม่เห็นเงาของโพ่จวินในตัวเขาสักนิด กลับมีอีกคนที่ข้ารู้สึกว่าเหมือนโพ่จวิน”
“เอ่อ…” ซ่างกวนชิงตะลึงงัน แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ฝ่าบาทกำลังหมายถึง…” เขาไม่ค่อยแน่ใจว่าประมุขชิงพูดถึงใคร แต่ก็ไม่ได้บอกว่าตัวเองไม่รู้ และไม่ได้บอกว่าตัวเองรู้ด้วย เขาใช้น้ำเสียงวถามหยั่งเชิง
ประมุขชิงตอบว่า “หวังติ้งเฉานั่น ข้าว่าก็ไม่เลว ย้ายมาเป็นแม่ทัพภาคในเขตที่หยวนจุนอยู่เถอะ บอกฐานะของหยวนจุนให้เขารู้ ให้เขาดูหยวนจุนสักหน่อย ให้หยวนจุนทำความรู้จักเขาไว้มากๆ ด้วย อย่าให้หยวนจุนคิดแค่ว่าหนิวโหย่วเต๋อพึ่งพาได้ ให้ยวนจุนมีตัวเปรียบเทียบ”
หวังติ้งเฉา? ซ่างกวนชิงกระจ่างในฉับพลัน เข้าใจแล้วว่าเป็นใคร คนคนนี้ประมุขชิงจับตาดูมาตลอด ในปีแรกๆ ก็เข้าร่วมการทดสอบแดนอเวจีเหมือนหนิวโหย่วเต๋อ ตอนหลังหนิวโหย่วเต๋อไต่เต้าจนถึงตำแหน่งในปัจจุบันแล้ว แต่หวังติ้งเฉาคนนี้เหมือนจะเข้าสังคมไม่เก่ง ตอนนั้นที่ถูกแต่งตั้งให้อยู่ตำแหน่งแม่ทัพภาค ก็มีแววว่าจะเป็นไปทั้งชีวิต ถ้าไม่ใช่เพราะมีคำว่า ‘แต่งตั้ง’ คุ้มครองอยู่ เกรงว่าแม้แต่ตำแหน่งแม่ทัพภาคก็รักษาไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ซ่างกวนชิงเพิ่งจะเอ่ยรับคำสั่งเรื่องนี้ ก็มีข่าวส่งมาอีกแล้ว ยังไม่ทันได้เก็บระฆังดารา เขารีบรายงานด่วนต่อประมุขชิงอีก “ฝ่าบาท ข่าวลือที่พุ่งเป้าไปที่อิ๋งจิ่วกวงปะทุแล้ว…” เขารายงานสถานการณ์ของข่าวลือให้ฟังอย่างละเอียด
“ชาติสุนัขสองตัว ขนาดผู้หญิงที่ข้าเคยนอนด้วยแล้วก็ยังถูกใช้ประโยชน์ ช่างไม่สนกฎเกณฑ์ของสวรรค์จริงๆ!” ประมุขชิงตบโต๊ะยืนขึ้น เพียงแต่ไม่ได้ระบายไฟโกรธลงกับทางนี้ กลับตะโกนชมว่าดีแล้ว “ทางตลาดสวรรค์ใกล้จะได้ตั้งรับแล้ว บอกโพ่จวิน โพ่จวิน ซือหม่าเวิ่นเทียนให้ดำเนินการตามแผนเดี๋ยวนี้!”
“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ แล้วรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อคนเหล่านั้น
ในตำหนักคุ้มเมือง บนตึกศาลา หยางเจาชิงสาวเท้าเดินขึ้นไปหยุดอยู่ข้างหลังเหมียวอี้ที่กำลังยืนอยู่ริมหน้าต่าง แล้วรายงานว่า “ข่าวแพร่ออกไปแล้วขอรับ ตลาดสวรรค์กำลังลือกันสนั่น”
“บอกให้หลงซิ่นรวบรวมกำลังพลที่เหลือ ถอนกำลังออกจากแดนรัตติกาลให้เร็วที่สุด บอกให้คนเบื้องล่างที่เข้าประจำที่แล้วเริ่มดำเนินการขั้นต่อไปได้!” เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำ
“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง
เหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเซี่ยโห้วลิ่ง
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงดาว ค่ำคืนที่เงียบขรึม จวนท่านปู่สวรรค์ ในสวนต้องห้าม
กิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้ายื่นออกไปทั่วทุกทิศ บนนั้นแขวนโคมไฟเอาไว้ไม่น้อย กลุ่มผู้ช่วยจากเขตต่างๆ ของตลาดสวรรค์รวมตัวกันนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม สมาชิกของแต่ละบ้านก็นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ เช่นกัน ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องยืนอยู่ตลอด เพียงแต่มองไปทางเซี่ยโห้วลิ่งที่นอนอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้เป็นระยะ ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่กำลังเล่นลูกไม้อะไรกันแน่
ระฆังดาราในแหวนเก็บสมบัติของคนจำนวนไม่น้อยส่งเสียงดัง ทว่าฝั่งนี้ออกคำสั่งอย่างเข้มงวดแล้ว ว่าถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามติดต่อกับภายนอก ใครขัดคำสั่งจะโดนประหาร!
องครักษ์หัวหน้าตระกูลผู้ลึกลับสวมหมวกมุ้ง หน้ากากโลหะที่อยู่หลังผ้ามุ้งกำลังสะท้อนแสงอยู่ภายใต้โคมไฟ เขากำลังจ้องกลุ่มคนที่อยู่ตรงนี้ด้วยสายตาเย็นเยียบ ทำให้คนพวกนี้ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
เซี่ยโห้วลิ่งที่กำลังนอนเอนกายหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง เขาโยนตำราโบราณไว้ข้างๆ ในที่สุดก็ลุกขึ้นมาแล้ว ทั้งตัวสวมชุดขาวราวกับหิมะ ประกอบกับลักษณะท่าทางที่สุขุมเยือกเย็น ทำให้เขาดูสูงส่งสง่างาม
เซี่ยโห้วลิ่งเดินออกจากเก้าอี้ไปพยักหน้าให้เว่ยซู แล้วเว่ยซูก็ถ่ายทอดเสียงออกคำสั่งกับตงหานที่อยู่ข้างๆ ทันที
ผ่านไปไม่นาน บรรดาผู้ช่วยเขตของตลาดสวรรค์ก็พากันหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับภายนอก
ส่วนเซี่ยโห้วลิ่งก็เดินไปข้างกู่ฉิน สะบัดชายชุดคลุมแล้วนั่งลงตรงหน้ากูฉินต่อหน้าทุกคน ก่อนจะใช้สิบนิ้วดีดบรรเลงบนสายฉิน
“ตง…ตง…ตง…ตัง…” เสียงฉินทำลายความเงียบยามค่ำคืน ลมราตรีที่พัดเข้ามาทำให้โคมไฟบนกิ่งไม้สั่นไหว มีใบไม้ปลิวร่วงลงมาใบแล้วใบเล่า
เสียงฉินเริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ คนที่ฟังฉินเป็นเริ่มฟังออกว่าในเสียงนั้นแฝงไปด้วยกลิ่นอายสังหารของสงคราม เซี่ยโห้วลิ่งดีดฉินอย่างหมกมุ่นมาก
สมาชิกในครอบครัวที่สนิทกับเซี่ยโห้วลิ่งต่างก็ค้นพบ ว่าวันนี้บนตัวเซี่ยโห้วลิ่งเผยกลิ่นอายความสงภูมิฐานยามกุมอำนาจมหาศาลไว้ในมือ สูงส่งราวกับนั่งอยู่บนเมฆอย่างแท้จริง
ตลาดผี สมาชิกของจวนแม่ทัพภาคกำลังกระจายกันเดินเตร่อยู่ตามถนนของตลาดผี ตอนนี้แหกปากร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนแล้ว
“ทุกคนฟังให้ดี ข่าวลือ ทั้งหมดเป็นข่าวลือ!”
“เรื่องนี้ไม่มีอยู่จริง! ทุกคนอย่าแพร่ข่าวลือซี้ซั้วอีก เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ตรวจการใหญ่ของพวกเราสักนิด”
“คนที่สัญจรผ่านไปมา ความยุติธรรมยังมีอยู่มั้ย มีคนกำลังวางแผนใส่ร้ายผู้ตรวจการใหญ่ของพวกเรา”
“เห็นได้ชัดเจนมาก คนมีสมองล้วนมองออก ว่ามีคนกำลังวางแผนทำร้ายอ๋องสวรรค์อิ๋ง แต่กำลังผลักความผิดมาให้ผู้ตรวจการใหญ่ของะวกเรา!”
“ผู้ตรวจการใหญ่ให้พวกเรามาประกาศให้เด็ดขาดชอบธรรม ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผู้ตรวจการใหญ่เลย”
จู่ๆ พลทหารคนหนึ่งก็หยิบระฆังดาราขึ้นมาตั้งใจฟัง จากนั้นถ่ายทอดเสียงบอกเพื่อนร่วมงานข้างๆ ทันที “ผู้บัญชาการใหญ่มีคำสั่ง ให้ทุกคนไปรวมตัวกันเดี๋ยวนี้ ไป!”
ผ่านไปไม่นาน คนในจวนแม่ทัพภาคที่ตะโกนอยู่ตามถนนของตลาดผีก็หายไปเร็วมาก เหลือไว้เพียงเสียงวิจารณ์ทั่วทุกหนแห่ง
ตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านวางสองมือบนขอบหน้าต่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม กำลังจ้องโคมไฟของตลาดผี
“เถ้าแก่!” เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมเสียงชีเจวี๋ย เฉาหม่านตะโกนบอกว่า “เข้ามา!”
ชีเจวี๋ยผลักประตูเข้ามาแล้วปิดไว้ เดินสาวเท้าเข้ามากุมหมัดคารวะข้างหลังเฉาหม่าน “เถ้าแก่ ปล่อยของที่ตลาดผีกับตลาดมืดทุกแห่งแล้ว คนของจวนแม่ทัพภาคกำลังป่าวประกาศทั่วทั้งตลาดผี พิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้หนิวโหย่วเต๋อ!”
“บริสุทธิ์เหรอ? บริสุทธิ์บ้าอะไรล่ะ ถ้าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อ ข้ายอมให้ตัดหัวลงมาเลย! สองคนนั้นเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ไม่รู้ว่าพวกเราโง่หรือเจ้ารองโง่? นี่เจ้ารองคิดจะทำอะไร หรือคิดว่าแค่อาศัยข่าวลือพวกนี้ก็จะโค่นตระกูลอิ๋งได้? ถ้าเรื่องนี้เกิดช่องโหว่อะไรขึ้นมา ก็ให้เจ้ารองไปชี้แจงกับพวกพี่น้องเอาเองแล้วกัน!” เฉาหม่านวางมือลงพลางถอนหายใจ จากนั้นหันตัวมาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เพื่อป้องกันฝ่ายตรงข้ามแว้งกัด บอกให้สมาชิกที่อยู่ตามตลาดมืดหลบซ่อนเดี๋ยวนี้ พวกเป็นบ้าไปกับเจ้ารองไม่ไหว!”
“ขอรับ!” ชีเจวี๋ยเอ่ยรับ
เฉาหม่านเดินก้าวยาวออกจากห้องไป แล้วไม่นานคนทั้งตึกศาลาสัตยพรตก็หายไปหมดแล้ว
ทัพใหญ่สี่หมื่นแดนรัตติกาลไม่ได้กระจายตัวอยู่ที่ตลาดสวรรค์ทั้งหมด สมาชิกที่เข้าตลาดสวรรค์เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่อยู่ในเครือข่ายเท่านั้น ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ทำหน้าที่กระจายข่าวให้แต่ละชั้น ไม่อย่างนั้นถ้าอาศัยหยางเจาชิงคนเดียว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะติดต่อทุกคนที่ตลาดสวรรค์ ติดต่อไม่ไหว
บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง หยวนกงกำลังนั่งดูดาวอยู่บนหินก้อนหนึ่ง ปากกำลังพึมพำบางอย่าง ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังพึมพำอะไร เอาเป็นว่าเขารู้เรื่องข่าวลือแล้ว
วัดพุทธะหยก ในสระน้ำสีมรกตกลางหุบเขามีร่างเปลือยสองร่าง
ศีลแปดแช่อยู่ในน้ำครึ่งหนึ่ง ท่อนบนนอนคว่ำอยู่บนหินริ่มฝั่ง อวี้หลัวช่ากำลังนวดหลังให้ หลังจากนางบ่นอยู่พักหนึ่ง ก็เอานิ้วจิ้มบนหลังศีรษะล้านของศีลแปด “เจ้าไม่เป็นห่วงพี่ใหญ่สักนิดเลยเหรอ? ก่วงลิ่งกงปล่อยข่าวลือพวกนั้น เห็นได้ชัดว่าพุ่งเป้าไปที่พี่ใหญ่”
“เฮ้อ! จะกังวลเรื่องนี้ไปทำไม? ข้ารู้จักพี่ใหญ่ข้าดี โดนใส่ร้ายนิดหน่อยจะเป็นไรไป เขาเป็นคนที่อาบข่าวฉาวต่างน้ำ ได้ฉายาว่าจัญไร แค่นี้จะไปแยแสอะไร ไม่แน่ว่าอาจจะใช้ข่าวลือโต้ตอบกลับก็ได้” ศีลแปดกล่าวในขณะนอนหมอบหลับตา ท่าทางดูไม่แยแสเลย แอบขำอวี้หลัวช่าที่ไม่รู้ว่าตอนอยู่พิภพเล็กพี่ใหญ่เคยได้ฉายา ‘ไอ้เหมียวจัญไร’
“ได้ฉายาว่าจัญไรอะไร มีใครเขาว่าพี่ใหญ่ตัวเองแบบเจ้าบ้าง? ปัญหาก็คือมันอาจจะเป็นเพลงโหมโรงว่าก่วงลิ่งกงจะลงมือกับพี่ใหญ่ของเจ้า…” อวี้หลัวช่ายังไม่ทันพูดจบ ก็หิ้วระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมา ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน สีหน้านางเปลี่ยนโดยฉับพลัน จิ้มศีรษะศีลแปดอีก “เกิดเรื่องแล้ว พี่ใหญ่ของเจ้าก็กำลังปล่อยข่าวลือไปทั้งใต้หล้าเหมือนกัน”
ศีลแปดหัวเราะเบาๆ หันกลับมากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าพูดไม่ผิดใช่มั้ยล่ะ ใช้ข่าวลือสยบข่าวลือกลับแล้วสินะ”
อวี้หลัวช่าดึงหูเขาข้างหนึ่ง “เจ้าฟังให้ดีนะ ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ก่วงลิ่งกง แต่พุ่งเป้าไปที่อิ๋งจิ่วกวง…”
……………………