พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1904 ประทานสุราพิษให้นางหนึ่งจอก
จากนั้นก็หันตัวมา แล้วบอกโกวเยว่อีกว่า “เจ้าหาทางติดต่อหนิวโหย่วเต๋อเดี๋ยวนี้ ทำให้เขาหยุดเดี๋ยวนี้ บอกเขาว่าเลิกก่อเรื่องได้แล้ว เขาก็จะบรรลุเป้าหมายเช่นกัน! ขอเพียงเขายอมหยุด ข้าก็จะยอมเป็นคนกลางรับประกันให้ รับประกันว่าเรื่องก่อนหน้านี้จะผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นข้าหรือตระกูลอิ๋งก็จะไม่ลงมือกับเขาอีก!”
“รับทราบ!” โกวเยว่เอ่ยรับ
จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง
ตอนนี้อิ๋งจิ่วกวงยืนนเงียบๆ อยู่ข้างโต๊ะยาว อารมณ์สงบเยือกเย็น มีหมึกดำบนกระดาษขาว กำลังถือพู่กันวาดอย่างละเอียดละออ วาดภาพสตรีภาพหนึ่ง สีหน้าท่าทางของผู้หญิงสมจริงเป็นพิเศษ
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว แม้แต่จั่วเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ก็ตระหนักได้ว่าท่านอ๋องกำลังเผชิญกับวิกฤติอันใหญ่หลวง ทว่าอิ๋งจิ่วกวงกลับดูใจเย็นสุขุมเป็นพิเศษ
จั่วเอ๋อร์กำลังรายงานข่าวอยู่ข้างๆ ถ่ายทอดคำสั่งของอ๋องท่านอื่นที่แจกจ่ายงานลงไป กำลังพลของทัพใต้กำลังเร่งตามมา กำลังพลของทัพตะวันตกกำลังเร่งตามมา กำลังพลของทัพเหนือก็กำลังเร่งตามมาเช่นกัน สี่ทัพกำลังจับตาดูทิศทางการเคลื่อนไหวของกองทัพองครักษ์อย่างเข้มงวด ตอนนี้ยังไม่พบความผิดปกติอะไร
“อืม!” อิ๋งจิ่วกวงฟังจบแล้วพยักหน้า พู่กันในมือยังวาดภาพต่อไป ถามว่า “สถานการณ์ในบ้านเป็นยังไงบ้าง?”
“คงจะได้ยินอะไรกันมาบ้างแล้ว ทุกคนสงบเงียบมากไม่ก้าวเท้าออกจากบ้านเลย ไม่กล้าสร้างปัญหาให้ท่านอ๋องค่ะ” จั่วเอ๋อร์รายงาน
อิ๋งจิ่วกวงกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “บอกพวกเขา อย่าทำตัวไร้ชีวิตชีวาเหมือนในบ้านมีคนตาย ควรจะดื่มก็ดื่ม ควรจะเล่นก็เล่น ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่พวกเขาคิด ไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำ”
“รับทราบ!” จั่วเอ๋อร์เอ่ยรับคำสั่งแล้วเดินออกจากห้องหนังสือ พอมาถึงข้างนอกก็เรียกคนคนหนึ่งเข้ามา ให้เขาถ่ายทอดประสงค์ของอิ๋งจิ่วกวงลงไป
ตระกูลหวงฝู่ หลังจากหวงฝู่ตวนหรงกลับมาจากบ้านเดิม ก็เดินหน้าตึงเข้ามาในบ้านของตัวเอง
บนเก้าอี้นอนใต้ต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่ง อู่หนิงกำลังนอนเชยชมสมุดภาพเล่มหนึ่งอย่างเอื่อยเฉื่อย แสงแดดหลายสายลอดผ่านเงาของต้นไม้
หวงฝู่ตวนหรงที่เดินมาตรงหน้าจ้องเขาครู่หนึ่ง นางนั่งลงแล้วโค้งตัวกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “นอนขยับไปหน่อย”
อู่หนิงขยับขาเข้ามาข้างในเล็กน้อยเพื่อเว้นที่ให้ จากนั้นวางสมุดภาพไว้บนหน้าอก ชำเลืองหวงฝู่ตวนหรงพร้อมถามด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ท่านปู่ตำหนิเจ้าอีกแล้วเหรอ?”
หวงฝู่ตวนหรงถลึงตาจ้องเขา “อยู่ดีๆ จะมาตำหนิข้าทำไม? เจ้าอยากให้ข้าโดนตำหนิแทบแย่แล้วใช่มั้ย?”
“จะเป็นไปได้ยังไง ข้าก็ต้องอยากให้เจ้ามีความุขสิถึงจะถูก” อู่หนิงกล่าวรับประกันอย่างจริงจัง จากนั้นก็ถามอย่างแปลกใจอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะทำหน้าตึงทำไม?”
“เฮ้อ! เจ้าหนิวโหย่วเต๋อนั่นก่อเรื่องอีกแล้ว นายท่านเรียกข้าไปถามว่าสถานการณ์เป็นยังไงบ้าง เจ้าหนุ่มนั่นปิดตลาดสวรรค์แล้ว ทั้งยังยึดทรัพย์ร้านค้าของตระกูลอิ๋งแล้วด้วย…” หวงฝู่ตวนหรงเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง
“เหมือนโหรวโหรวจะยังอยู่ที่ตลาดสวรรค์นะ นางไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?” อู่หนิงถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่มีอะไร เขาสู้กับตระกูลอิ๋ง ไม่ลามมาแตะต้องสมาคมวีรชน” หวงฝู่ตวนหรงส่ายหน้า
หลังจากอู่หนิงไตร่ตรองเล็กน้อย ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยึดทรัพย์ก็ยึดทรัพย์สิ เกี่ยวอะไรกับพวกเรา? เจ้าจะไปสนใจหนิวโหย่วเต๋อทำไม ข้าว่าเจ้าคงไม่ได้ชอบเขาหรอกใช่มั้ย?”
“มารดาเจ้าสิ เหลวไหล!” หวงฝู่ตวนหรงราวกับแมวโดนเหยียบหา ถลึงตากลมโตราวกับจะพ่นไฟออกมา ใช้สองมือบิดเอวอู่หนิงราวกับจะบิดให้ถึงตาย
“ไอ๊หยา…” อู่หนิงขอร้องซ้ำๆ
โดนทำโทษอย่างรุนแรงไปยกหนึ่ง หลังจากหยุดมือแล้ว หวงฝู่ตวนหรงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เจ้าหนุ่มนี่ช่างขยันก่อเรื่องจริงๆ!”
ความรู้สึกในใจนางคือทั้งรักทั้งแค้น รักเพราะพบว่าลูกสาวตัวเองสายตาไม่เลวเลยจริงๆ ความสามารถของ ‘ลูกเขย’ คนนี้ก็ไม่ต้องพูดถึงเลย แค่เรื่องรับสมัครคนที่ตลาดผีในปีนั้นก็ทำให้นางรู้สึกทึ่งแล้ว ตอนนี้ผลงานการรบที่สระน้ำมังกรดำก็ทำให้นางทึ่งอีก ‘ลูกเขย’ คนนี้ถ้าพาออกไปที่ไหนก็สามารถโอ้อวดได้เลย
ที่แค้นก็เพราะนางไม่สามารถพา ‘ลูกเขย’ ออกไปโอ้อวดได้ ยิ่งเป็นผู้ชายที่มีความสามารถก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะแต่งงานเข้าตระกูลหวงฝู่ ยิ่งเก่งมากก็ยิ่งดึงดูดความตายมาสู่ลูกสาวนาง ทั้งยังทำลายชีวิตการแต่งงานของลูกสาวนางอีก
ที่น่าแค้นกว่านั้นก็คือ ที่กล่าวมาข้างต้นก็ว่าหนักแล้ว แต่เจ้าหนุ่มนี่ก็ยังก่อเรื่องเก่งอีก แนวโน้มสถานการณ์ที่สระน้ำมังกรดำยังไม่ทันลดลง เขาก็ไปมีเรื่องกับตระกูลก่วงอีกแล้ว จากนั้นก็มาสมคบกับตระกูลเซี่ยโห้วก่อเรื่องใหญ่โตอีก หยุดพักบ้างได้ไหม? นางคิดว่าลูกสาวตัวเองอาจจะอกสั่นขวัญแขวนแล้วก็ได้ การเผชิญกับผู้ชายประเภทนี้ ลูกสาวนางนับว่าชะตาลำเค็ญมากทีเดียว
นางเองก็เข้าใจสิ่งที่เหมียวอี้ทำเช่นกัน รู้ว่าตระกูลอิ๋งไม่มีทางปล่อยเขาไป ตอนนี้เขากำลังชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ ถ้าสามารถผ่านภัยพิบัติครั้งนี้ไปได้อย่างราบรื่น ต้นทุนบางอย่างที่มองไม่เห็นก็จะเพิ่มสูงขึ้นอีกระดับ…สรุปก็คือไม่ว่าจะดีจะร้ายอย่างไรก็ทำให้นางคิดวนเวียนไม่หยุด
นางหันกลับมาตบเอวอู่หนิงที่กำลังนวดเอวอีกฉาด แล้วถามว่า “เจ้าคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนยังไง?”
อู่หนิงแปลกใจ “เจ้าจะทำอะไรล่ะ? ดีแล้วยังไง เลวแล้วยังไง พวกเราเลือกเขามาเป็นลูกเขยไม่ได้อยู่แล้ว เจ้าจะไปสนใจสุ่มสี่สุ่มห้าทำไม?”
หวงฝู่ตวนหรงหัวใจกระตุกวูบเพราะคำพูดของเขา จึงหาข้ออ้างตอบว่า “ข้ากลัวว่าในภายหลังเบื้องบนจะให้สมาคมวีรชนจับตาดูเขา ข้าก็เลยให้เจ้าช่วยวิเคราะห์สักหน่อย ในใจจะได้มีความมั่นใจไงล่ะ”
เมื่อได้ยินนางพูดแบบนี้ อู่หนิงก็เอนกายลงอย่างสงบใจอีกครั้ง หลังจากครุ่นคิดด้วยสีหน้าจริงจังครู่หนึ่ง ก็บอกว่า “เชี่ยวชาญการรบ เป็นแม่ทัพที่มีความสามารถจริงๆ ทั้งยังไม่ขาดการใช้เล่ห์เหลี่ยมพลิกแพลงสถานการณ์ ถ้าไม่ติดว่าทำอะไรซี้ซั้ว อนาคตก็ไร้ขีดจำกัด แม้ในเรื่องผู้หญิงจะมีข้อบกพร่องไปบ้าง แต่ถ้าเทียบกับคนอื่นที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกับเขา เท่านี้ก็นับว่าดีมากแล้ว พูดตามตรง ถ้าได้มาเป็นลูกเขย ข้าก็ยินดีต้อนรับนะ แต่เจ้าเองก็รู้ คนที่อยู่ในระดับเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะแต่งงานเข้าตระกูลหวงฝู่”
ประโยคสุดท้ายให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเตือน สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร แค่รู้สึกว่าอารมณ์ของหวงฝู่ตวนหรงแปลกๆ นิดหน่อย เขาสงสัยว่าฮูหยินของตัวเองจะอยากได้หนิวโหย่วเต๋อเป็นลูกเขยแล้วจริงๆ ของดีๆ จะมีใครไม่อยากเก็บไว้ในบ้านตัวเองบ้างล่ะ ผู้หญิงที่มีลูกสาวล้วนอยากได้ลูกเขยดีๆ ไว้ประดับเกียรติตัวเองทั้งนั้น
เมื่อเห็นว่าสามีก็ชอบหนิวโหย่วเต๋อเหมือนกัน ในใจหวงฝู่ตวนหรงก็ดีใจมาก แต่ก็ต้องรู้สึกหดหู่อีกครั้ง ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “อู่หนิง เรื่องบางเรื่องพวกเราก็รู้อยู่แก่ใจ สมมุติว่า…สมมุติ…”
อู่หนิงเอามือลูบหลังนาง แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “สมมุติว่าอะไร?”
หวงฝู่ตวนหรงหันกลับมาจ้องตาเขา “สมมุติว่าวันหนึ่ง เบื้องบนจะกวาดล้างสมาคมวีรชน ไม่อยากเก็บตระกูลหวงฝู่ไว้แล้ว เจ้าจะยืนอยู่ฝั่งไหน? ความเป็นความตายของข้ากับโหรวโหรว…” นางพูดไม่ค่อยออก เริ่มสังเกตเห็นว่าอู่หนิงมีสีหน้าหดหู่ลง…
ในตึกศาลา เหมียวอี้เก็บระฆังดาราในมือ แล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อน
“นายท่าน หรือว่าจะเจรจาสันติอีกแล้ว?” หยางเจาชิงถามหยั่งเชิง
ขณะมองไปนอกหน้าต่าง เหมียวอี้เอาสองมือไขว้หลัง “นอกจากตระกูลอิ๋งแล้ว ข้าก็อยากจะเจรจาสันติตระกูลโค่ว ตระกูลก่วง ตระกูลฮ่าว แต่ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับตระกูลอิ๋งไปถึงขั้นที่ไม่ตายไม่เลิกแล้ว ถ้าให้ตระกูลอิ๋งได้พักหายใจ เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็พูดยาก ถ้าไม่ตัดรากถอนโคน จะต้องกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตแน่นอน!”
หยางเจาชิงพยักหน้าเงียบๆ
เหมียวอี้หยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมา หลังจากสื่อสารกันอยู่พักหนึ่ง ก็วางระฆังดาราแล้วกล่าวช้าๆ ว่า “เซี่ยโห้วลิ่งส่งข่าวมาเตือน ในอาณาเขตสี่ทัพมีกำลังพลเดินทางมาที่ตลาดสวรรค์แล้ว! ให้เบื้องล่างคงการติดต่อกันเอาไว้ ถ้าเกิดเรื่องอะไรให้รายงานขึ้นมาทุกเมื่อ!”
“รับทราบ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ เขารู้สึกได้ถึงความกดดันในน้ำเสียงของเหมียวอี้ รู้ด้วยว่านี่คือช่วงที่อันตรายที่สุดในแผนการ ถ้าทัพใหญ่โจมตีเมืองเมื่อไร ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่อยากจินตนาการถึง
เหมียวอี้สีหน้าเรียบเฉย แต่เริ่มรู้สึกเครียดแล้ว ถ้าฝั่งประมุขชิงลงมือกับอิ๋งจิ่วกวงไม่ทันเวลา สี่อ๋องสวรรค์ก็ไม่ใช่ไก่อ่อน ถ้าถ่วงเวลานานไปก็จะอันตรายมาก ยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดสถานการณ์อะไรขึ้น!
หยางเจาชิงที่แจกจ่ายงานแล้วเปลี่ยนมาถือระฆังดาราอีกอัน ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน เขาเองก็ยิ้มเจื่อนเล็กน้อย
เหมียวอี้ชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “เป็นอะไรไป”
“หยางชิ่งขอรับ เขาคงจะได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นฝั่งนี้บ้างแล้ว เหมือนจะไม่ค่อยพอใจกับสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือแผนการ” หยางเจาชิงตอบ
เหมียวอี้ยิ้มบางๆ รู้ว่าน่าจะหมายถึงเรื่องของสำนักลมปราณ
แดนอเวจี หยางชิ่งที่ยืนอยู่ริมหน้าผาเก็บระฆังดาราแล้ว จากนั้นเดินไปเดินมาเงียบๆ ผ้าคลุมข้างหลังปลิวสะบัดอย่างรุนแรง แล้วพลิกมือหยิบระฆังดาราอีกอันออกมา
พิภพเล็ก ในป่าที่มืดครึ้มวังเวงแห่งหนึ่งนอกตำหนักประมุขดาวกลาง ฉินซีที่มาคนเดียวกำลังเดินไปเดินมาอยู่ในป่า
พอได้รับข้อความจากหยางชิ่ง ฉินซีก็ตอบทันทีว่า : ข้าอยู่ห่างจากตำหนักดาวไม่ไกล มาเจอกับฟางเหลียวได้ทุกเมื่อ
หยางชิ่ง : ตอนนี้หยางเจาชิงอยู่ข้างกายเหมียวอี้ สามารถทำตามที่ข้าบอกได้แล้ว
ฉินซี : ถ้ามีคนได้ยินแล้วไม่รู้สึกอะไรล่ะ ทำได้จริงเหรอ?
หยางชิ่ง : ทำตามที่ข้าบอกก็พอ ตอนนี้เลย อย่าถ่วงเวลาอีก ถ้าเกินเวลาจะไม่ได้ผล ทำเดี๋ยวนี้!
ฉินซี : ก็ได้!
ใช้เวลาไม่นาน ก็มีคนทางตำหนักประมุขดาวกลางคนหนึ่งเหาะมา เป็นหัวหน้าที่รับผิดชอบเฝ้าจูเก๋อชิง ชื่อว่าฟางเหลียว
พอใช้สายตามองหาจนเจอฉินซี ฟางเหลียวก็ถลันตัวมาตรงหน้า แล้วทำความเคารพ “คำนับฮูหยิน!” เขาอดไม่ได้ที่จะแอบมองฉินซีสองครั้ง เป็นเพราะผู้หญิงคนนี้สวยเกินไปจริงๆ
“เจ้าติดต่อหยางเจาชิงแล้วรายงานสถานการณ์เดี๋ยวนี้ บอกว่าจูเก๋อชิงปีนขึ้นร้องเพลงบนหลังคา จำไว้นะ ตอนรายงานต้องบอกว่านางปีนขึ้นบนหลังคา อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เข้าใจมั้ย?” ฉินซีถาม
“รับทราบ!” ฟางเหลียวเอ่ยรับ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาปฏิบัติตามทันที
ฉินเวยเวยคุมพิภพเล็กมาหลายปี มิหนำซ้ำยังมีหยางชิ่งวางแผนอยู่เบื้องหลัง ถ้าฉินซีคิดจะควบคุมตัวละครเล็กๆ สักคนก็ย่อมสบายมาก
หลังจากรายงานอย่างเรียบง่ายแล้ว ฟางเหลียวก็เก็บระฆังดาราแล้วตอบว่า “ฮูหยิน เรียบร้อยแล้ว”
ฉินซีพยักหน้า หลังจากโบกมือให้เขาถอยออกไปแล้ว ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางชิ่งอีกครั้ง : จัดการตามที่เจ้าบอกเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องปิดปากฟางเหลียวจริงเหรอ?
หยางชิ่ง : ตอนนี้ยังไม่ต้อง เหมียวอี้จะไปใส่ใจอะไรกับฟางเหลียวคนเดียว ฟางเหลียวเองก็เข้าใจว่าต้องพึ่งพาใครถึงจะมีอนาคต มิหนำซ้ำก็ไม่ได้ให้เขาทำอะไร แค่ให้เขารายงานตามปกติเท่านั้นเอง ถ้าเจ้าปิดปากเขาตอนนี้ก็มีแต่จะทำให้เหมียวอี้สงสัย แต่เพื่อปกป้องภัยพิบัติในอนาคต รอให้ผ่านไปหลายๆ ปีจนทุกคนลืมแล้วค่อยว่ากัน เจ้าจำไว้นะ จะให้เวยเวยรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด!
ฉินซี : เข้าใจแล้ว
ริมหน้าผา หยางชิ่งสะบัดผ้าคลุม เดินก้าวยาวกลับเข้าไปในตำหนักปราชญ์
ในตึกศาลาของตำหนักคุ้มเมือง หยางเจาชิงเก็บระฆังดาราเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร
“เป็นอะไรไป?” เหมียวอี้เหล่ตามองแล้วถามอีก
หยางเจาชิงรู้ว่าตอนนี้เหมียวอี้กดดันมาก ตอนนี้ไม่ควรให้เสียสมาธิเพราะเรื่องในบ้าน เดิมทีเตรียมจะรายงานเรื่องนี้ทีหลัง ทว่าเมื่อถูกถาม ก็ทำได้เพียงตอบตามความจริง “คนเฝ้าตำหนักประมุขดาวกลางทางพิภพเล็กส่งข่าวมาขอรับ บอกว่าจูเก๋อชิงปีนขึ้นไปร้องเพลงบนหลังคา เขาไม่ได้บอกอะไรอย่างอื่น”
เดิมทีเหยียนซิวเป็นคนดูแลเรื่องที่ตำหนักประมุขดาวกลาง ในปีนั้นเนื่องจากเหยียนซิวแอบฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง เรื่องนี้จึงตกเป็นหน้าที่ของหยางเจาชิง สาเหตุที่เหมียวอี้ให้คนสนิทข้างกายดูแลเรื่องนี้ ก็เพราะกลัวว่าจะมีคนแอบฆ่าจูเก๋อชิง ถึงอย่างไรก็มีไมตรีร่วมกันหนึ่งคืน
“ร้องเพลว? ทั้งยังปีนขึ้นไปร้องเพลงบนหลังคาด้วยเหรอ?” เหมียวอี้เอ่ยถาม
“ขอรับ!” หยางเจาชิงพยักหน้า
เหมียวอี้สีหน้ามืดครึ้มลงในชั่วพริบตาเดียว สุดท้ายก็หลับตาลงช้าๆ กล้ามเนื้อบนใบหน้าขยุกขยิก กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ประทานสุราพิษให้นางหนึ่งจอก!”
“…” หยางเจาชิงตะลึงงัน “นายท่านบอกว่า…”
“ประทานสุราพิษให้นางหนึ่งจอก!” เหมียวอี้ย้ำอีกครั้ง
หยางเจาชิงตกใจมาก รีบบอกว่า “นายท่าน จูเก๋อชิงร้องเพลงอยู่ในตำหนักดาวกลางเป็นเรื่องปกติมาก ท่านเองก็รู้ ส่งเรื่องนี้ให้ฮูหยินจัดการดีมั้ยขอรับ? ข้าน้อยจะติดต่อฮูหยินเดี๋ยวนี้…”
เหมียวอี้พลันหันกลับมาจ้องเขา สายตาเย็นเยียบดุร้าย!
สุดท้ายหยางเจาชิงก็กุมหมัดคารวะ “ขอรับ!”
……………