พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1910 สนมสวรรค์ไม่มีความผิด
การเข่นฆ่าของแนวหลังจบลงอย่างรวดเร็ว เป็นวิธีการต่อสู้แบบบดขยี้โดยแท้ ไม่เหลือทางใดๆ ไว้ให้ถอยกลับ
ตอนที่อิ๋งจิ่วกวงออกคำสั่งให้ลงมือ มีหรือที่จะไม่รู้ ที่จริงแล้วกำลังสั่งให้ลูกน้องเอาชีวิตไปทิ้งแท้ๆ จอมพลที่สะสมกำลังทหารไว้มากมายและวางแผนก่อกบฏจะรับมือด้วยง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร
การต่อสู้จบลงเร็วมาก สนามรบถูกเก็บกวาดอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงหมอกเลือดที่กระเพื่อมเป็นพักๆ กำลังพลถูกเก็บรวบเข้ากระเป๋าสัตว์ หลังจากแม่ทัพสิบคนเก็บทหารแล้ว ก็รีบเร่งความเร็วตาท่านจอมพลไป
เถิงเฟยที่ไม่ได้หันกลับมาเลยตลอดทางรู้ว่าการต่อสู้จบลงแล้ว ขณะมองดาราจักรอันกว้างใหญ่ แววตาก็สับสนงงงวยเล็กน้อย สุดท้ายอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ท่านก็อย่าโทษข้าเลย ข้าเองก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ แต่พวกเจ้าสร้างเรื่องเก่งเกินไปแล้ว…”
เขาไม่ได้พูดโกหก เมื่อก่อนเขาไม่เคยคิดจะโค่นอิ๋งจิ่วกวงลงจากตำแหน่ง แต่เมื่อทัพตะวันออกก่อเรื่องครั้งแล้วครั้งเล่า นอกจากขวัญกำลังใจทหารจะไม่มั่นคงแล้ว แม้แต่เขาเองก็ยังรู้สึกได้ถึงอันตราย คนที่เป็นจอมพลเหมือนกันถูกสังหาร เศร้าโศกเพราะเพื่อนร่วมงานทั้งยังถูกสถานการณ์บีบบังคับ จึงจำใจต้องทำอย่างนี้
ส่วนดาราจักรอีกผืนหนึ่ง เฉิงไท่เจ๋อออกคำสั่งกับลูกน้องเสียงดังเช่นกัน “บอกพวกเขา ต้องโจมตีกำลังพลของลิ่งหูโต้วจ้งให้แตกให้ได้ ขอเพียงทัพใหญ่ของลิ่งหูโต้วจ้งแตกแล้ว ต่อให้อิ๋งจิ่วกวงหนีไป แต่เมื่อในมือไม่มีกำลังพลแล้ว อิ๋งจิ่วกวงก็ไม่นับเป็นอะไรทั้งนั้น เป็นภัยคุกคามต่อพวกเราไม่ได้อีก!”
“รับทราบ!” แม่ทัพเบื้องล่างรีบถ่ายทอดคำสั่งลงไป
อู๋ฉวี่ที่กำลังเร่งเหาะพลันกางแขน สมาชิกที่ติดตามรวมทั้งเขาหยุดกะทันหัน เพราะตรงหน้าเขาปรากกฏกำลังพลที่หนาแน่นอยู่ในดาราจักร ข้างหลังยังมีกำลังพลมารวมตัวด้วยไม่หยุดหย่อน
ฝั่งอู๋ฉวี่เข้าใจ นี่คือกำลังพลเดิมของอิ๋งจิ่วกวง และเป็นกำลังพลที่มีกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดของทัพตะวันออก อาวุธก็ดีที่สุดในทัพตะวันออกเช่นกัน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ส่วนใหญ่ของทัพตะวันออกล้วนรวมอยู่ในมือกำลังพลเหล่านี้
เมื่อถูกกำลังพลกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ขวางไว้ ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะอ้อมผ่านไปเลย ถ้าไม่โจมตีกำลังพลกลุ่มนี้ให้แตก ก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะทำอะไรอิ๋งจิ่วกวงได้
อู๋ฉวี่สายตาเย็นเยียบ ตะคอกว่า “เตรียมตัว!”
แม่ทัพในบังคับบัญชารีบถลันตัวออกไปทางซ้ายและขวา เงาคนที่มืดฟ้ามัวดินน่าสะพรึงกลัวปรากฏตัวกลางอากาศ คนจำนวนนับไม่ถ้วนตั้งกระบวนทัพแล้ว
แม่ทัพเกราะแดงนับพันล้อมพิทักษ์อู๋ฉวี่ไว้ตรงกลาง กลายเป็นเกราะคุ้มกันหลายชั้น กลายเป็นศูนย์บัญชาการระหว่างทำศึกแล้ว
ชายหน้าดำหนวดหยิกที่เป็นแม่ทัพใหญ่ในศูนย์บัญชาการฝ่ายตรงข้าม ชื่อว่าสงฉี เป็นผู้ตรวจการขวาในทัพของอิ๋งจิ่วกวงเอง
สงฉีถลึงตาจ้องอู๋ฉวี่ที่อยู่ฝั่งนี้ แล้วจู่ๆ ก็ชี้มา พร้อมตะคอกว่า “อู๋ฉวี่ กล้าสู้ตายกับข้าสักตั้งมั้ยล่ะ!”
อู๋ฉวี่ตอบกลับเสียงเย็น “เจ้าไม่คู่ควรหรอก ให้โจรกบฏอิ๋งจิ่วกวงโผล่หัวออกมาให้ฆ่าเดี๋ยวนี้!” เสียงพูดตามด้วยพลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาด
“ชวิ้ง” สงฉีพลันชักกระบี่วิเศษตรงเองออก แล้วชี้ไปตรงหน้า
ธงผืนใหญ่ที่ปักตัวอักษร ‘อิ๋ง’ ตั้งขึ้นข้างหลังเขา
“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า…” ทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาตะโกนอย่างเป็นจังหวะพลางประชิดเข้ามา เสียงแบบนั้น พลังที่แสดงออกมาแบบนั้นราวกับจะพลิกทะเลคว่ำภูเขาได้ ต่อให้เป็นคนขี้ขลาดก็ถูกกระตุ้นให้ฮึกเหิมได้
แต่กลับประชิดเข้ามาไม่เร็ว เข้ามาช้ามาก รักษากระบวนทัพให้มั่นคงอยู่ตลอด
“ชวิ้ง” อู๋ฉวี่รับศึกทันที รีบชักกระบี่วิเศษออกมา แล้วออกแรงชี้ไปข้างหน้า
ธงใหญ่ของหน่วยองครักษ์ขวาตั้งขึ้นมาแล้ว จากนั้นธงองครักษ์กับธงต่อสู้ก็ชูตามขึ้นมา กำลังพลที่ถูกดึงตัวมาที่นี่ล้วนมีฝีมือ ระดับที่ต่ำกว่านี้ไม่มีธง เมื่อตะลุมบอนอยู่ท่ามกลางกำลังพลจำนวนมากขนาดนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องโยกย้ายกำลังพลกลุ่มเล็ก
“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า…” กำลังพลกองทัพองครักษ์ก็ตะโกนฆ่าเป็นจังหวะพลางประชิดเข้ามาเช่นกัน รูปกระบวนทัพก็เหมือนกับฝ่ายตรงข้าม เข้าไปรับหน้ากับอีกฝ่ายโดยไม่หลบหลีกแม้แต่น้อย
กำลังพลมีจำนวนมากถึงขั้นนี้แล้ว ตอนคุมเชิงกันก็ไม่ต้องใช้อุบายพลิกแพลงอะไรเลย มีแต่ใช้กำลังปะทะกันเท่านั้น…
ในเรือนด้านหลังของจวนท่านอ๋อง ทิศทัศน์งดงาม ดอกไม้แปลกตานานาพันธุ์ก็ย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง แต่ในสายตาจั่วเอ๋อร์ ทิวทัศน์ที่งดงามขนาดนี้กลับดูเศร้าวิเวก
หลังจากเดินขึ้นบันไดมาบนโถงหลักของเรือนด้านหลังแล้ว จั่วเอ๋อร์ก็กุมหมัดคารวะอิ๋งจิ่วกวงที่หันหลังให้ “ท่านอ๋อง ยืนยันแล้ว เป็นกองทัพองครักษ์ โพ่จวินกับอู๋ฉวี่นำทัพมาด้วยตัวเอง คุมเชิงอยู่กับคนของพวกเราแล้ว” นางรู้สึกหนักใจมาก พบว่าท่านอ๋องพูดไว้แม่นมาก กองทัพองครักษ์มาแล้วจริงๆ
อิ๋งจิ่วกวงที่เปลี่ยนใส่เกราะรบผลึกแดงหันตัวมา เกราะหัวและเกราะรบดูหนาหนักเป็นพิเศษ มันชื่อว่าเกราะสยบฟ้าดิน เต็มไปด้วยลวดลายงดงาม เป็นเกราะรบที่ตำหนักสวรรค์ตั้งใจหลอมสร้างให้สี่อ๋องสวรรค์ เขาไม่ได้ใส่มาหลายปีแล้ว แต่ความโอ่อ่าทรงพลังของเกราะวิเศษกลับยังอยู่ เพียงแต่กระพุ้งแก้มสองข้างใต้เกราะหัวเผยไรผมหงอกขาวให้เห็น
“ทุกคนเตรียมตัวแล้วหรือยัง?” อิ๋งจิ่วกวงถามด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
จั่วเอ๋อร์มองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย นานมากแล้วจริงๆ ที่ไม่ได้เห็นท่านอ๋องสวมเกราะรบ นางพยักหน้าตอบ “เตรียมทุกอย่างตามที่ท่านอ๋องกำชับไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ!”
อิ๋งจิ่วกวงก็มองเขาเช่นกัน แล้วจู่ๆ ก็เผยรอยยิ้มบางๆ “จู่ๆ ก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนพวกเราเจอกันครั้งแรก ชั่วพริบตาเดียวพวกเราก็แก่แล้ว…พอแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาหวั่นไหวเกินควร ฉวยโอกาสตอนนี้ เจ้าพาพวกอู๋เชวียไปก่อนเถอะ”
“ท่านอ๋อง…” จั่วเอ๋อร์พลันคุกเข่า เอาหน้าผากโขกพื้นพร้อมบอกว่า “ท่านอ๋องรักษาตัวด้วย!”
อิ๋งจิ่วกวงไม่ได้พูดอะไรมากอีก รองเท้ายาวโลหะย่ำพื้นจนเกิดเสียงดัง เดินกาวยาวออกไปนอกโถงแล้ว
จั่วเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นแล้วหันกลับมา ขณะมองเงาหลังของเขาที่กำลังเดินออกไป ดวงตาสองข้างก็มีน้ำตาคลอ นางเองก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ทั้งสองรู้จักกันในปีนั้นเช่นกัน เพียงแต่มีบางอย่างที่คนนอกไม่รู้ ที่จริงเรื่องราวระหว่างทั้งสองก็คล้ายกับฮ่าวเต๋อฟางและซูอวิ้น แต่ก็มีบางอย่างต่างกัน นั่นก็คืออิ๋งจิ่วกวงสังหารสามีที่อำมหิตของนาง ทั้งสองเดินมาด้วยกันจนถึงทุกวันนี้เพราะเดิมพันสัญญา ไม่รู้ว่าการจากกันครั้งนี้จะเป็นการจากกันตลอดไปหรือไม่
อิ๋งจิ่วกวงยืนอยู่บนบันไดสูงนอกโถง สายตามองมาเบื้องล่าง
คนนอกรู้เพียงว่าเขามีอนุภรรยาเยอะ แต่หารู้ไม่ว่าอนุภรรยาที่เขาทุ่มทรัพยากรมหาศาลเพื่อเลี้ยงดูหลายปีจะเป็นกำลังรบที่แข็งแกร่งและซื่อสัตย์ที่สุดในจวน
อนุภรรยาหลายร้อยสวมเกราะรบหมดแล้ว แน่นอนว่าไม่ใช่อนุภรรยาทั้งหมดในจวนท่านอ๋อง บางคนที่พลังไม่แข็งแกร่งพอก็ไม่มีสิทธิ์มาเข้าร่วมศึกใหญ่แบบนี้ได้เลย มีบทบาทไม่มากสำหรับเขา
ดวงตาแต่ละคู่เหลือบขึ้นมองอิ๋งจิ่วกวงที่ยืนอยู่บนบันได สายตาค่อนข้างสื่ออารมณ์ที่หลากหลาย
แนวหลังของกลุ่มอนุภรรยา นักพรตเกราะแดงหลายร้อยยืนเรียงราย เทียนหยวนก็รวมอยู่ในนั้นเช่นกัน เขากำลังมองอ๋องสวรรค์อิ๋งที่ยืนอยู่บนบันได
อิ๋งจิ่วกวงกวาดสายตามองกลุ่มคน เดินก้าวยาวลงบันได กลุ่มคนหลีกทางให้สองฝั่งโดยอัตโนมัติ แล้วก็ทยอยกันเลี้ยวตามหลังเขาไป
คนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากเรือนด้านใน เรือนด้านนอกมีนักพรตเกราะแดงอีกนับพันตามหลังไปทางฝั่งซ้ายและขวา…
“อะไรนะ?” อ๋องสวรรค์โค่วที่นั่งอยู่ในศาลาพลันยืนขึ้น แล้วตวาดว่า “สั่งให้กองหนุนเร่งความเร็ว เร็วๆๆ!”
ฮ่าวเต๋อฟางที่เดินไปเดินมาอยู่ในศาลาเอามือตบบนระเบียง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ฝั่งอิ๋งจิ่วกวงเกิดสถานการณ์คับขัน สั่งให้กองหนุนไปโดยเร็วที่สุด!”
ปั้ง! ก่วงลิ่งกงที่อยู่ในห้องหนังสือตบโต๊ะยืนขึ้น กล่าวด้วยสีหน้าเครียดขรึม “กองหนุนไม่ต้องไปด้วยกัน ใครที่เร็วกว่าก็ให้ไปก่อน ต้องไปถึงก่อนที่อิ๋งจิ่วกวงจะคุมสถานการณ์ไม่ไหว!”
วังสวรรค์ ในวังหลัง สนมลี่กับสนมหันนั่งอยู่ด้วยกัน กำลังกระซิบกระซาบกันด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“พวกเราไม่มีทางถอยแล้ว ทำแล้วก็ตาย แต่ไม่ทำก็ไม่รอดอยู่ดี แต่อย่างน้อยถ้าทำแล้วก็ยังปกป้องพ่อแม่ได้ เจ้าจะเลือกแบบไหน?”
“แต่จะลงมือยังไงล่ะ! ต่อให้ฝ่าบาทนอนไปแล้ว แต่พอเจ้าพลิกตัวเบาๆ ฝ่าบาทก็ถามเจ้าอยู่ดีว่าทำไมไม่นอน ระวังตัวสูงมาก อาศัยวรยุทธ์ของฝ่าบาทตอนนี้ พวกเราก็ลงมือลำบากจริงๆ!”
“สนมหัน ฝ่าบาทชอบร่างกายเจ้าที่สุด ในเวลานี้มีแต่เจ้าที่ต้องคิดหาทางทดลอง ฉวยโอกาสตอนฝ่าบาทเกิดอารมณ์เสน่หาที่สุด บางทีอาจจะมีโอกาสลงมือก็ได้”
“ข้าคนเดียวเกรงว่าจะไม่ค่อยมั่นใจ”
“นี่ไม่ใช่ปัญหาว่ามั่นใจมากหรือไม่มั่นใจมาก มีแต่ต้องลองพยายามสุดความสามารถ เจ้าคิดหาวิธีการเรื่องฝ่าบาท ข้าจะไปปรึกษากับพวกน้องๆ ถ้าเจ้าพลาดเมื่อไร พวกน้องๆ ก็มีแต่ต้องร่วมมือกันสู้สักครั้ง”
สองคนที่ปรึกษากันเรียบร้อยแล้วทยอยกันรีบร้อนเดินออกจากเรือนพัก
ในตำหนักดาราจักร
เมื่อรู้ว่ากำลังพลของโพ่จวิน อู๋ฉวี่เผชิญหน้ากับกำลังพลของอิ๋งจิ่วกวงแล้ว ประมุขชิงก็นั่งไม่ติดที่เช่นกัน เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในตำหนัก แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แล้ว สั่งให้กองทัพองครักษ์ทั้งหมดรวมตัวกันเตรียมรับศึก!”
“รับทราบ!” ขณะซ่างกวนชิงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ จู่ๆ หูก็ขยับเล็กน้อย จึงมองไปยังชั้นหนังสือที่ตั้งเรียงรายแวบหนึ่ง สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ สังเกตเห็นเช่นกันว่าประมุขชิงหรี่ตาจนกลายเป็นร่องเล็กๆ ในดวงตาฉายแววเย็นเยียบ ไม่รู้ว่าใครกำลังติดต่อประมุขชิง
หลังจากถ่ายทอดคำสั่งเสร็จแล้ว ซ่างกวนชิงก็รายงานว่า “ฝ่าบาท ถ่ายทอดคำสั่งเรียบร้อยแล้วขอรับ”
ประมุขชิงค่อยๆ หลับตาลง แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “วังหลังมีคนคิดจะก่อกวน คนของฝั่งตระกูลอิ๋ง นอกจากเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อ คนอื่นฆ่าให้หมด อย่าเหลือไว้แม้แต่คนเดียว!”
ซ่างกวนชิงชำเลืองไปทางชั้นหนังสืออีก แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ทางฝั่งสนมสวรรค์ล่ะขอรับ?”
ประมุขชิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วลืมตาบอกว่า “สนมสวรรค์ไม่มีความผิด เพื่อป้องกันคนใช้ประโยชน์จากนาง กักบริเวณไว้ ส่งคนไปจับตาดูอย่างเข้มงวด!”
“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับคำสั่ง แล้วเร่งฝีเท้าเดินออกไปทันที หลังจากออกจากตำหนักดาราจักร กลับหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทูตตรวจการซ้ายซือหม่าเวิ่นเทียน
เขาไม่ได้พูดอย่างอื่น บอกซือหม่าเวิ่นเทียนว่า : วังหลังก่อความวุ่นวาย ฝ่าบาทบอกว่าสนมสวรรค์ไร้ความผิด!
ตอนนี้ซือหม่าเวิ่นเทียนกำลังยืนอยู่บนยอดเขาหิมะ ยืนรับลมอันหนาวเหน็บ ข้างหลังมีคนชุดดำสวมหน้ากากยืนเรียงแถวหนึ่งแถว
ข่าวจากซ่างกวนชิงทำให้ซือหม่าเวิ่นเทียนอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจทันที ขนาดเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นกับตระกูลอิ๋ง แต่ฝ่าบาทก็ยังต้องการปกป้องสนมสวรรค์ จะเห็นได้ว่าโปรดปรานสนมสวรรค์ขนาดไหน ถ้าบิดามารดาของสนมสวรรค์ตายในครั้งนี้ สนมสวรรค์กับฝ่าบาทจะยังอยู่ด้วยกันต่อไปได้อย่างไร ฝ่าบาทต้องการให้เขาปกป้องจ้านผิงและฮูหยิน!
ซือหม่าเวิ่นเทียนรีบนำระฆังดาราออกมาติดต่อคนของหน่วยตรวจการซ้าย สั่งให้ยอมแลกทุกอย่าง ต่อให้โดนเปิดโปงก็ต้องหาทางปกป้องจ้านผิงและฮูหยินเอาไว้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นให้ถือหัวมาพบ!
ในวังสวรรค์ที่งดงามราวกับสลักจากหยก ใต้กำแพงวัง กองทัพองครักษ์กลุ่มหนึ่งเดินลาดตระเวน สนมหันที่งดงามเย้ายวนนำสาวใช้มาสองคน ทั้งสองฝ่ายเดินเข้ามาเผชิญหน้ากัน
เหมือนยามปกติ กองทัพองครักษ์ที่ลาดตระเวนหลีกทางให้แล้วทำความเคาระ สนมหันพยายามทำสีหน้าสงบนิ่งขณะเดินผ่านไป ทว่าเรื่องที่ไม่สงบกลับเกิดขึ้นแล้ว กำลังพลกองทัพองครักษ์พลันถลันตัวมาล้อมไว้ แล้วชักทวนยาวออกมา พวกสนมหันที่ยังไม่ทันรู้ตัวตาเหลือก บนทวนยาวแต่ละด้ามที่เสียบบนตัวพวกนางมีเลือดสดไหลลงพื้น
แสงสะท้อนคมอาวุธแวบผ่าน คนที่นำหน้ามาใช้ดาบฟันศีรษะสนมหันแล้ว
สนมหลายคนรวมทั้งสนมลี่ที่เพิ่งเดินออกจากประตูเรือนก็ตะลึงค้างเช่นกัน เห็นเพียงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายคันกำลังเล็งมาที่พวกนาง ยังไม่ทันรอให้พวกนางพูดอะไร ก็มีเสียงดังปังๆ แล้ว
แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่เสียงธนูดังขึ้น จู่ๆ ก็มีกำลังพลกองทัพหลายกลุ่มพุ่งเข้าไปในตำหนักของเหล่าสนม
………………