พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1912 ศึกใหญ่
ทว่าเสียงด่าใต้กำแพงเมืองเหมือนจะสงบลงแล้ว กลุ่มคนบนกำแพงเมืองพากันรู้สึกแปลกใจ เห็นเพียงพวกแม่ทัพสุมหัวคุยกันอยู่พักหนึ่ง แล้วจู่ๆ กำลังพลที่ล้อมเมืองก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว
ท่ามกลางสายตาประหลาดใจจากทุกคน กำลังพลที่ตะโกนว่าจะโจมตีเมือง หลังจากรวมตัวกันแล้วจู่ๆ ก็หายไปราวกับควัน หนีออกไปไม่เหลือสักคน ใต้กำแพงเหลือเพียงความเงียบ
เหมียวอี้ที่อยู่บนหอประตูเมืองก็งงเช่นกัน นี่มันเรื่องอะไร?
เป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าประมุขชิงปลุกระดมให้เฉิงไท่เจ๋อกับเถิงเฟยก่อกบฎแล้ว เฉิงไท่เจ๋อเป็นจอมพลสายฉลู ดาวเทียนหยวนอยู่ในอาณาเขตปกครองของเทพประจำดาวฉลูคน อยู่ในอาณาเขตของเฉิงไท่เจ๋อด้วยเช่นกัน ถ้าพวกเขาฟังคำสั่งโจมตีเมืองของอิ๋งจิ่วกวงได้ก็แปลกแล้ว
ปฏิกิริยาแรกของเหมียวอี้ก็คือ ให้หยางเจาชิงไปถามว่าตลาดสวรรค์แห่งอื่นมีสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง
ยังไม่ทันรอให้เขาถาม ระฆังดาราที่ถือหยางเจาชิงไว้ในมือก็เป็นฝ่ายรายงานก่อนแล้วว่า “นายท่าน หลายแห่งในอาณาเขตทัพตะวันออกเริ่มโจมตีกำแพงเมืองของตลาดสวรรค์แล้ว แต่ที่แปลกก็คือ กำลังพลที่ล้อมเมืองในสายชวดกับสายฉลูส่วนใหญ่ถอนกำลังออกไปแล้ว มีเพียงตลาดสวรรค์ในเจตสายขาลที่โดนโจมตี”
นี่มันเรื่องอะไรกัน? เหมียวอี้ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ตระหนักได้ว่าจะต้องเกิดปัญหาตรงไหนแน่นอน จากนั้นก็ถ่ายทอดคำสั่งอย่างไม่ลังเลว่า “ถ่ายทอดคำสั่งไปแต่ละพื้นที่ ประหารคนในร้านค้าของตระกูลอิ๋งให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!” ต่อให้กำจัดอิ๋งจิ่วกวงไม่ได้ เขาก็ต้องทำลายพลังชีวิตของอิ๋งจิ่วกวงสักหน่อย
“รับทราบ!” หยางเจาชิงรีบเอ่ยรับคำสั่งแล้วปฏิบัติตาม
ซิงที่อยู่ข้างๆ กลับฟังแล้วอกสั่นขวัญแขวน ตลาดสวรรค์แปดพันแปดร้อนแปดสิบแปดแห่งในใต้หล้า ร้านค้าของตระกูลอิ๋งที่อยู่ตามตลาดสวรรค์แห่งต่างๆ คงไม่ได้มีแค่สิบร้าน ถ้ารวมทั้งใต้หล้า ร้านค้าของตระกูลอิ๋งที่อยู่ตลาดสวรรค์คงมีหนึ่งแสนร้านแน่นอน คนงานที่ทำงานในร้านค้าแต่ละร้าน เฉลี่ยแล้วก็มีอย่างน้อยสิบคนขึ้นไป หมายความว่าพอหนิวโหย่วเต๋อออกคำสั่งนี้ ก็จะต้องมีหัวคนร่วงลงพื้นรวดเดียวเกือบหนึ่งล้าน ต่อไปต่อให้ตระกูลอิ๋งจะทวงร้านค้ากลับคืนมาได้ แต่การจะหาผู้ชำนาญการที่รู้จักรากเหง้าและควบคุมได้สะดวกจำนวนมากในรวดเดียว ก็เป็นเรื่องปวดหัวเหมือนกัน นี่ไม่ใช่คนจำนวนน้อยๆ
พอนึกถึงตรงนี้ ซิงก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เหมียวอี้สั่งประหารคนในเผ่าของนางที่สระน้ำมังกรดำปีนั้น เย็นชาเหมือนกัน แต่ครั้งนี้กลับไร้ความปรานียิ่งกว่า สิ่งที่เรียกว่า ‘ความสำเร็จของหนึ่งแม่ทัพแลกด้วยกระดูกนับพันหมื่น’ นางนับว่าเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้ว
ทว่าครั้งก่อนที่โม่โหยว อ๋องอสรพิษดำคนใหม่มาเยี่ยมนาง ปฏิกิริยาตอนได้รับยาแก่นเซียนจำนวนมหาศาลนั้นยังติดตานางเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น หนิวโหย่วเต๋อตอบแทนเยอะขนาดนี้ ทำให้วางใจแล้วไม่น้อย รู้สึกว่านางอยู่ที่นี่น่าจะไม่ได้รับความอยุติธรรมสักเท่าไร ขณะเดียวกันก็แสดงออกด้วยความดีใจว่ายาแก่นเซียนชุดนี้เพียงพอจะเลี้ยงดูคนในเผ่าเทพอสรพิษดำ ดังนั้นขณะที่มองเหมียวอี้ออกคำสั่งอย่างเย็นชาไร้หัวใจ ความรู้สึกของนางก็ค่อนข้างสับสน
ส่วนเหมียวอี้ก็ต้องการคิดหาทางยืนยันว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร จึงรีบติดต่อไปถามปี้เยว่ นับว่าถามถูกคนแล้วจริงๆ
ปี้เยว่ดูค่อนข้างเศร้าสลด นางไม่เพียงได้รับคำสั่งจากเบื้องบนว่าให้คลายการล้อมเมือง ก่อนหน้านี้ยังได้ข่าวจากเทียนหยวนด้วย เทียนหยวนบอกว่าเฉิงไท่เจ๋อกับเถิงเฟยทรยศอิ๋งจิ่วกวงแล้ว โพ่จวินกับอู๋ฉวี่นำทัพใหญ่โจมตีเข้ารังเดิมของอิ๋งจิ่วกวงด้วยตัวเอง เทียนหยวนกังวลว่าตัวเองจะพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปไม่ได้ จึงบอกปี้เยว่ให้เตรียมตัวหนี ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเขาก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าสู้แพ้ขึ้นมา คาดว่าคนที่เกี่ยวข้องคงไม่ปล่อยนางไป
อย่างไรเสียก็เคยเป็นสามีภรรยากัน ในเวลาแบบนี้เทียนหยวนยังอุตส่าห์นึกถึงความปลอดภัยของนาง จะไม่ให้นางซาบซึ้งใจได้อย่างไร
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ในที่สุดเหมียวอี้ก็เข้าใจว่าเรื่องที่หยางเจาชิงรายงานหมายความว่าอะไร จากนั้นก็ติดต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ จึงได้รู้ว่าประมุขชิงกวาดล้างอำนาจของตระกูลอิ๋งที่วังหลังแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า : สนมสวรรค์เป็นอย่างไรบ้าง?
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : นางตัวดีนั่นเป็นหลานนอกของตัวการใหญ่ จะมีจุดจบที่ดีได้ยังไง แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้ลงดาบด้วยตัวเอง!
ตายแล้วเหรอ? เหมียวอี้แอบรู้สึกหดหูในใจ ภาพในอดีตปรากฏขึ้นทีละฉาก เขาหลับตาลงช้าๆ แต่ไม่นานก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เหมือนกับตอนที่เขาตัดสินใจทิ้งจูเก๋อชิงอย่างไม่ลังเล เขารีบโยนเรื่องจ้านหรูอี้ทิ้งไว้ข้างหลัง เพราะยังมีชีวิตของพี่น้องมากมายที่ยังไม่ถูกตัดสิน
พอสงบลงแล้ว เหมียวอี้ก็แอบด่าแม่อีก เรื่องที่แม้แต่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็รู้แล้ว เขาไม่เชื่อหรอกว่าเซี่ยโห้วลิ่งจะไม่รู้ แต่กลับไม่ได้แจ้งให้เขารู้ในทันที ทำเอาเขาอกสั่นขวัญแขวนอยู่ตั้งนาน คาดว่าเจ้าเวรตะไลนั่นคงบรรลุเป้าหมายในการเล่นงานตระกูลอิ๋งแล้ว ไม่มีความกระตือรือร้นที่จะร่วมงานกันเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งยังเริ่มบีบบังคับด้วย รอพ่อก่อนเถอะ!
จวนท่านปู่สวรรค์ ใต้ต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้า เซี่ยโห้วลิ่งบรรลุจุดมุ่งหมายแล้วจริงๆ เรื่องในตอนหลังจะเป็นอย่างไรก็ไม่สนใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องรักษาความลับอีก อิ๋งจิ่วกวงจะเป็นหรือตายก็ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเขาแล้ว ทั้งหมดต้องดูทางฝั่งประมุขชิง
“ยกเลิกคำสั่งห้ามในจวน ให้พวกเขากลับไปเถอะ” เซี่ยโห้วลิ่งที่กำลังมองดาวบนฟ้าเอ่ยสั่งอย่างสบายๆ ทำให้คนรู้สึกว่าเขาล้ำลึกยากคาดเดา เขาเองก็อยากจะเห็นว่าหลังจากทุกคนของตระกูลเซี่ยโห้วรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจะมองเขาอย่างไร
“รับทราบ!” เว่ยซูเอ่ยรับคำสั่ง เดินมาหาสมาชิกคนอื่นที่กำลังรออยู่เงียบๆ แล้วกุมหมัดคารวะ “หัวหน้าตระกูลบอกว่าทุกคนสามารถกลับไปได้แล้ว”
คนกลุ่มนี้อดทนไม่ไหวมานานแล้ว เมื่อได้ยินแบบนี้ก็พากันลุกขึ้นทันที ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวองครักษ์ลึกลับ พวกเขาจะต้องถามถึงสถานการณ์แน่นอน
ผู้ช่วยตลาดสวรรค์ของเขตต่างๆ กลับยังไม่ถูกปล่อย เรื่องที่เกิดทางตลาดสวรรค์ยังไม่จบ ตลาดสวรรค์เกือบพันแห่งกำลังถูกกำลังพลล้อมโจมตี
ตรงข้ามกับเรื่องที่ตลาดสวรรค์ สำหรับคนพวกนี้ถือเป็นเรื่องเล็ก เพราะความสนใจทั้งหมดไปรวมอยุ่ที่รังเดิมของอิ๋งจิ่วกวงหมดแล้ว นั่นต่างหากคือกุญแจสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบผลประโยชน์ในใต้หล้า
กำลังพลสองฝ่ายจำนวนนับไม่ถ้วนในดาราจักรทำศึกเดือดกันแล้ว เสียงระเบิดราวกับจะพลิกทั้งดาราจักร
ทั้งสองฝ่ายแทบจะยกโล่ขึ้นมาจัดรูปทัพเป็นเปลือกนอกป้องกันอย่างแน่นหนาพร้อมกัน แล้วให้มือธนูอยู่ข้างหลัง ลำแสงนับไม่ถ้วนยิงใส่กัน ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ไม่ว่าสัตว์พาหนะตัวไหนวิ่งออกมาก็จะถูกถล่มตายในชั่วพริบตาเดียว ไม่ว่าจะสังเวยของวิเศษอะไรออกมาก็จะโดนตีพังหมด เป็นการใช้กำลังปะทะกันโดยแท้ แทบจะไม่มีความเป็นไปได้ในการใช้เล่ห์เหลี่ยมเลย ไม่ว่าฝ่ายไหน ถ้าอยากจะยับยั้งฝ่ายตรงข้าม ก็จะต้องกำจัดกำลังรบฝ่ายตรงข้ามให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แนวป้องกันแถมหน้าของทั้งสองฝ่ายถูกถล่มพังไม่หยุด แล้วก็มีมาเติมอีกไม่หยุด เป็นการเอาชีวิตคนมาเติมโดยแท้
ทั้งสองฝ่ายไม่ใช่แค่ป้องกันอย่างเดียว ขณะที่การต่อสู้เข้าสู่จุดเดือด อู๋ฉวี่กับสงฉีก็โบกกระบี่ชี้ตะโกนใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างเกรี้ยวกราดแทบจะพร้อมกัน “ฆ่า!”
ในกระบวนทัพของทั้งสองฝ่ายมีเกราะมังกรที่เกิดการการรวมตัวของคนจำนวนมากพุ่งสังหารไปยังฝ่ายตรงข้ามทันที
ศึกใหญ่ก็มีวิธีการของศึกใหญ่ เทียบกับตอนเหมียวอี้ทำศึกที่สระน้ำมังกรดำไม่ได้ ขณะที่มังกรเกราะนับไม่ถ้วนของทั้งสองฝ่ายพุ่งออกมา เป้าหมายการยิงโจมตีของทั้งสองฝ่ายก็เปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ยิงหัวมังกรที่พุ่งเข้ามาอีกแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นยิงรวมไปที่ท่อนกลางของมังกรยักษ์ ยิงมังกรยักษ์ที่พุ่งเข้ามาให้ขาดครึ่งท่อน โจมตีสกัดกำลังเสริมที่ตามมาทีหลัง เห็นหัวมังกรพุ่งเข้ามาแล้วก็ไม่ขวาง ทั้งสองฝ่ายล้วนเปิดช่องว่าง ปล่อยให้หัวมังกรพุ่งเข้ามา จากนั้นก็รีบปิดช่องว่าง อาศัยกำลังที่เหนือกว่าล้อมโจมตี
ดูเหมือนคนส่วนน้อยที่ปล่อยเข้ามาจะกำจัดได้ง่ายมาก แต่สำหรับทั้งสองฝ่าย นี่คือวิธีการต่อสู้ที่เสี่ยงมาก ถ้ากำลังพลที่บุกเข้ามาแอบซ่อนคนไว้ในกระเป๋าสัตว์ ก็จะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากสำหรับกระบวนทัพของทั้งสองฝ่าย
แต่สำหรับทั้งสองฝ่ายแล้ว นี่คือสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องทำ
อู๋ฉวี่รู้ว่าสิ่งที่ฝ่ายตัวเองขาดแคลนที่สุดก็คือเวลา ถ้ารอให้กองหนุนชุดใหญ่ของอีกฝ่ายตามมาถึง นั่นก็จะเป็นปัญหาใหญ่แล้ว ดังนั้นจึงต้องรีบรบรีบจบ ไม่อย่างนั้นเขาก็ทำศึกที่สิ้นเปลื่องแบบนี้ได้อยู่แล้ว
ส่วนสงฉีก็รู้ว่าจำนวนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ฝ่ายตัวเองสู้อีกฝ่ายไม่ได้ ถ้าสิ้นเปลืองธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์กับอีกฝ่ายต่อไป ก็เป็นการรนหาทางแพ้ให้ตัวเอง ถ้าโดนอีกฝ่ายกำจัดกำลังพลฝ่ายตัวเองทิ้งไปจำนวนมาก ฝ่ายตัวเองก็ไม่มีทางต้านทานได้เลย ทำได้เพียงสู้ตาย ถ้าไม่พัวพันอีกฝ่ายเอาไว้ ก็ต้องพยายามสุดความสามารถเพื่อทำให้อีกฝ่ายแพ้
ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงใช้วิธีการรบแบบเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย
เป็นอย่างที่คาดไว้ ในหัวมังกรของทั้งสองฝ่ายที่พุ่งเข้ามาล้วนซ่อนกำลังพลชุดใหญ่เอาไว้ พอสังหารฝ่าเข้ามาแล้ว ก็ปล่อยกำลังพลออกมาทันที มือธนูกับแนวโล่ป้องกันที่อยู่แถวหน้าของทั้งสองฝ่ายถูกชนจนวุ่นวายทันที
“ฆ่า!” อู๋ฉวี่กับสงฉีควงกระบี่ชี้ไปยังฝ่ายตรงข้ามแทบจะพร้อมกัน
ทัพใหญ่ของสองฝ่ายวางธนูกับโล่ในทันที ทั้งหมดตะโกนเสียงดังว่า “ฆ่า” เสียงดังสะเทือนดาราจักร พุ่งเข้าใส่กันราวกับกระแสน้ำ ชั่วขณะนั้นเลือดเนื้อปลิวกระจายไม่หยุด ทัพใหญ่สองฝ่ายรวมเข้าด้วยกันโดยสมบูรณ์ เพียงแต่ในกระบวนทัพของทั้งสองฝ่ายกำลังต่างคนต่างบัญชาการกำลังพลของตัวเองอยู่ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย
ลำแสงที่ปล่อยออกมาจากอาวุธเจ็ดอารมณ์หกปรารถนากะพริบวิบวับอยู่ในขบวนรบ
ศึกใหญ่แบบนี้ ทั้งชีวิตคนส่วนใหญ่ไม่ได้เจอมาแค่ครั้งเดียว แม้จะกำลังดิ้นรนสุดชีวิต แต่ถ้ารบชนะแล้วมีชีวิตรอดต่อไปได้ ก็ถือว่าได้สร้างผลงาน อนาคตจะสดใส จะต้องได้รับรางวัลอย่างงามเพื่อปลุกขวัญกำลังใจทหาร ปลุกใจคนรุ่นหลังให้ฮึกเหิม ไม่อย่างนั้นใครจะเอาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยง
แน่นอน ในเวลาแบบนี้จะไม่สู้ก็ไม่ได้ เมื่อถูกผลักเข้าสนามรบแล้ว เจ้าก็ถอยเองตามอำเภอใจไม่ได้ ต่อให้เจ้าไม่ตายในสนามรบ แต่ก็ต้องถูกพวกเดียวกันใช้กฎทหารมาประหารอยู่ดี ทางหนึ่งสามารถดิ้นรนเพื่ออนาคต อีกทางหนึ่งตายแบบไร้ค่า เจ้าจะเลือกทางไหนล่ะ?
กองทัพองครักษ์แม้จะเป็นทหารที่เกรียงไกร แต่ทัพที่อิ๋งจิ่วกวงคุมเองก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน เป็นกำลังพลที่เข้มแข็งเกรียงไกรที่สุดในทัพตะวันออก แค่คิดก็รู้แล้วว่าศึกนี้ดุเดือดระดับไหน
“เซียวเจ๋อ นี่เจ้าเป็นคนของหน่วยตรวจการซ้ายเหรอ?”
จู่ๆ กำลังพลกลุ่มหนึ่งที่เร่งเหาะอยู่ในดาราจักรก็หยุดอยู่ที่เดิม พ่อบ้านคนหนึ่งในจวนจ้านผิงมาขวางตรงหน้าจ้านผิงและอิ๋งลั่วหวน แล้วพูดโน้มน้ามอย่างยากลำบาก อิ๋งลั่วหวนตะคอกถามอย่างตกใจ ใบหน้างามเต็มไปด้วยความอับอายและตกใจ
อิ๋งลั่วหวนในตอนนี้สวมเกราะรบทั้งตัว ลักษณะท่าทางเหมือนสตรีผู้ไม่ยอมเป็นรองบุรุษ เมื่อรู้ว่าบิดาประคบเคราะห์ภัย นางก็เรียกรวมคนที่ใช้งานได้ในจวนท่านโหวทันที ไม่สนว่าจะเป็นชายหรือหญิง พวกเขาติดตามสองสามีภรรยาไปช่วยสนับสนุนอย่างรวดเร็ว
นี่ข้อคือข้อดีของการมีลูกน้องเป็นคนของตัวเอง เมื่อประสบปัญหาก็มักจะช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง
แต่จ้านผิงดันเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเถิงเฟย ถ้าอิ๋งจิ่วกวงรู้แต่แรกว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เกรงว่าคงจะเลื่อนตำแหน่งให้จ้านผิงเป็นเทพประจำดาวตั้งนานแล้ว ถ้าสามารถช่วยเขาคุมกำลังพลได้มากกว่าเดิม ประมุขชิงก็จะไม่เกิดความคิดนี้เลย แต่เพื่อที่จะปรับปรุงทัพตะวันออก อิ๋งจิ่วกวงที่คำนึงถึงผลกระทบจึงจงใจกดอนาคตของจ้านผิงไว้ คิดว่าตราบใดที่เขายังอยู่ ในภายหลังจ้านผิงก็ยังมีโอกาส
ส่วนเซียวเจ๋อก็กุมหมัดคารวะด้วยรอยยิ้มขื่นขม “ท่านโหว ฮูหยิน ต่อให้พวกท่านไม่คำนึงถึงตัวเอง แต่ก็ต้องคำนึงถึงสนมสวรรค์สิ! บรรดาคนของอ๋องสวรรค์อิ๋งในวังหลัง ฝ่าบาทเหลือสนมสวรรค์ไว้คนเดียวเท่านั้น แบบนี้หมายความว่าอะไรล่ะ? ความโปรดปรานและเกียรติยศไม่ลดลง หรือว่าท่านโหวกับฮูหยินต้องการจะบีบให้ลูกสาวตัวเองตายจริง?อา…” จู่ๆ ก็กรีดร้อง เลือดสดสาดออกมา
อิ๋งลั่วหวนลงมืออย่างกะทันหัน ใช้ทวนแทงหัวใจเซียวเจ๋อ ใบหน้างามที่แฝงความดุร้ายกล่าวอย่างคับแค้นว่า “ชาติสุนัข ไปตายซะ!” จากนั้นก็โบกทวนเสยให้ร่างกระเด็นออกไป ขี้คร้านจะเก็บสมบัติอะไรแล้ว นางมองจ้านผิงที่ขมวดคิ้วเงียบๆ แล้วคว้าแขนเขา แล้วกล่าวด้วยสีหน้าที่ทั้งซาบซึ้งทั้งจริงใจ “ท่านสามี ยามปกติข้าปฏิบัติต่อเจ้ายังไง? แม้ข้าจะเป็นลูกสาวอ๋องสวรรค์ที่มาแต่งงานกับเจ้า แต่ในด้านการกินอยู่ของสามี ข้าเฉยชาตรงไหนหรือเปล่า? ยามปกติที่ข้าคุกเข่าถอดถุงเท้าให้สามี ตอนยกน้ำชาส่งให้สามีข้าเฉยชาหรือเปล่า?”
จ้านผิงถอนหายใจ “ไม่เคยเฉยชา”
อิ๋งลั่วหวนน้ำตาคลอ “ข้ารู้ถึงความลำบากใจของท่านสามี ถึงยังไงหรูอี้ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้า เมื่อเทียบกับพ่อข้าแล้วมีน้ำหนักต่างกัน แต่ตระกูลอิ๋งไม่เคยดูแลพวกเราแย่เลย ถึงยังไงเขาก็เป็นพ่อข้า ตอนนี้ท่านพ่อประสบเคราะห์ ข้าไม่อาจนิ่งดูดายได้ เมื่อเทียบทั้งสองหัวแล้ว ก็ทำได้เพียงเสียสละไปหัวหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเจ้ากับข้าทรยศท่านพ่อ ต่อให้ปกป้องชีวิตหรูอี้ได้ แต่เจ้ากับข้าก็ไม่มีหน้าไปเจอใครแล้ว ต่อไปหรูอี้จะเอาหน้าจากไหนมาใช้ชีวิตเป็นคนล่ะ? ถ้าท่านพ่อผ่านด่านนี้ไปได้ ประมุขชิงก็ไม่กล้าแตกต้องหรูอี้ง่ายๆ หรอก! ท่านสามี ขอครั้งนี้แค่ครั้งเดียว จะไม่มีครั้งหน้าอีก เพื่อตอบแทนบุญคุณท่านพ่อ ท่านสามีได้โปรดช่วยข้าอีกแรง!”
……………