พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1915 จ่ายหนักเพื่อซื้อตัว
ความคิดอ่านของสตรี? ในใจเส้าเซียงหัวทั้งโมโหทั้งรำคาญ ในใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่กล้าว่านางอย่างนี้ ท่านน้าผู้นี้ดันชอบอาศัยความอาวุโสมามาข่มคนอื่น พออ้าปากก็เรียกชื่อนางโดยตรง ทั้งจวนจอมพลนี้ นอกจากท่านจอมพลแล้ว ในสายตาเขาคนอื่นก็มีลำดับอาวุโสน้อยกว่าเขาหมด แล้วก็เป็นเพราะนาง คนอื่นในจวนจึงไม่กล้าถือสาท่านน้าผู้นี้ ช่างทำให้นางจนใจจริงๆ แต่ในใต้หล้าก็มีเพียงญาติที่หน้าด้านหน้าทนแบบนี้ ทำให้นางอับจนปัญญาจริงๆ
ทว่ายังไม่ทันแสดงความไม่พอใจออกทางสีหน้า นางก็ตะลึงค้างกับคำพูดตอนหลังของซ่งหยวนเต๋อแล้ว ถามอย่างตกใจว่า”ตำหนักนารีสวรรค์? ให้ท่านจอมพลไปขอพึ่งพาตำหนักนารีสวรรค์?”
“แน่นอน!” ซ่งหยวนเต๋อพยักหน้า พาดขานั่งไขว่ห้าง หยิบถ้วยน้ำชาด้านข้างขึ้นมา แล้วก็เริ่มจิบอย่างเอ้อระเหยลอยชาย ทำท่าทางยินดี
เส้าเซียงหัวครุ่นคิดเล็กน้อย รู้สึกว่าไม่น่าเชื่อถือเลย แต่พอลองเปลี่ยนความคิด ท่านน้าของตัวเองก็แค่เป็นโคลนที่ปั้นไม่ขึ้นเองไม่ใช่เหรอ ตัวเองก็เลอะเลือนเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะมาฟังคำพูดเหลวไหลของเขา นางถอยหายใจทันที “ท่านน้า บางอย่างน่ะพูดต่อหน้าข้าก็พอ กลับไปแล้วอย่าพูดเหลวไหลต่อหน้าคนอื่นเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะยั่วให้ท่านจอมพลไม่พอใจ ถึงตอนนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ช่วยท่านนะ”
รู้ว่าตัวเองถูกรังเกียจแล้ว รู้ว่าต่อไปอีกฝ่ายคงจะไล่ตัวเองแล้ว! ซ่งหยวนเต๋อเป่าเคราถลึงตาทันที “เซียงหัว ข้ารู้ว่าเจ้าดูถูกญาติที่ยากจนอย่างข้า เจ้าคิดว่าข้าอยากพูดอะไรพวกนี้ต่อหน้าเจ้าหรือไง? เจ้ารังเกียจข้า แต่ข้าไม่ได้รังเกียจเจ้านะ ถึงยังไงพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ข้ารับปากแม่เจ้าแล้วว่าจะช่วยเหลือสงเคราะห์เจ้า เห็นว่าตระกูลลิ่งหูกำลังจะเจอภัยพิบัติใหญ่ ข้าถึงได้เตือน แต่ดูเจ้าทำสิ!”
เส้าเซียงหัวพูดไม่ออกจริงๆ นางมองเขาสายตาแปลกๆ เคยเห็นคนน่าไม่อาย แต่ไม่เคยเห็นใครน่าไม่อายขนาดนี้มาก่อน เจ้าไม่รังเกียจข้าเหรอ? ข้ายังหวังให้เจ้ารังเกียจข้าอยู่เลย ข้าจำเป็นต้องให้เจ้าสงเคราะห์ด้วยเหรอ? แค่เจ้าไม่สร้างปัญหาให้ข้าก็ดีแล้ว
แม้แต่สาวใช้ข้างๆ ก็ยังทำแก้มป้องกลั้นขำเมื่อได้ยินแบบนี้ แทบจะหลุดหัวเราะออกมา พบว่าท่านน้าผู้นี้ตลกเกินไปแล้ว
แต่คนหน้าด้านก็ย่อมมีหลักการของตัวเอง ซ่งหยวนเต๋อไม่แยแสกับปฏิกิริยานี้เลยสักนิด ถามกลับว่า “เซียงหัว ข้าถามเจ้าหน่อย ถ้าอ๋องสวรรค์อิ๋งรบแพ้ขึ้นมา ก็เท่ากับท่านจอมพลรบแพ้เหมือนกัน ในเขตทัพตะวันออกจะเก็บท่านจอมพลไว้ได้เหรอ? แต่ไหนแต่ไรมา ผู้ชนะเป็นเจ้าผู้แพ้เป็นโจร ฝ่าบาทปลอบใจเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อได้ แล้วยังจะปลอบใจท่านจอมพลได้อีกเหรอ? แล้วอีกสามอ๋องสวรรค์จะดึงเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อไปเป็นพวกหรือจะดึงท่านจอมพลไปเป็นพวกล่ะ? ในทัพตะวันออกไม่มีที่ยืนให้ท่านจอมพลแล้ว กองทัพองครักษ์ของฝ่าบทก็ไม่มีทางรับท่านจอมพลเหมือนกัน อีกสามอ๋องสวรรค์เพื่อที่จะร่วมแรงกันต่อต้านวังสวรรค์ ก็จะปฏิเสธการขอพึ่งพาจากท่านจอมพลโดยไม่ลังเล มอหนำซ้ำใต้บังคับบัญชาของอ๋องสวรรค์ก็ไม่ยอมให้คนนอกมาเบียดอยู่แล้ว ถ้าท่านอ๋องไปอยู่กับพวกเขา ก็จะได้รับความลำบากในระยะยาวแน่ๆ อีกสามอ๋องสวรรค์จะไม่คำนึงถึงความคิดในจุดนี้ของลูกน้องเชียวหรือ?ท่านจอมพลจะไปที่ไหนได้? คงไปขอพึ่งพาประมุขพุทธะที่แดนสุขาวดีไม่ได้หรอกมั้ง? ประมุขพุทธะจะแย่งคนของประมุขชิงได้ยังไง? จะให้ท่านจอมพลไปขอพึ่งพาโจรกบฏแดนอเวจีก็ไม่ได้หรอกมั้ง? อย่าว่าแต่เข้าไปไม่ได้เลย โจรกบฏแดนอเวจีจะกังวลว่าท่านจอมพลมีอุบายแอบแฝงน่ะสิ! ถ้าอ๋องสวรรค์อิ๋งแพ้เมื่อไร ทั้งใต้หล้าแห่งนี้ ที่เดียวที่จะยอมรับท่านจอมพลได้ก็เหลือแค่แดนรัตติกาลแล้ว ถ้าไม่ขอพึ่งพาตำหนักนารีสวรรค์แล้วยังจะไปที่ไหนได้อีก? เซียงหัว เจ้าสามารถบอกทางออกที่ดีกว่านี้ได้หรือเปล่าล่ะ?”
เส้าเซียงหัวเงียบแล้ว ถูกโน้มน้าวจนหวั่นไหวแล้ว
เมื่อเห็นว่าพูดหว่านล้อมนางได้แล้ว ซ่งหยวนเต๋อก็แอบภาคภูมิใจ รู้สึกสบายไปทั้งตัว ครั้งนี้สะใจมาก เมื่อก่อนมีแต่โดนตำหนิ ในที่สุดก็ถึงคราวที่ตนจะได้สั่งสอนบ้างแล้ว
จากนั้นครู่เดียว เส้าเซียงหัวก็กล่าวอย่างลังเลว่า “ตำหนักนารีสวรรค์มีราชินีสวรรค์คุมอยู่ ต่อให้คนที่ยินดีติดตามท่านจอมพลจะมีน้อยแค่ไหน แต่นั่นก็ไม่ใช่กำลังพลจำนวนน้อยๆ แถมราชินีสวรรค์ก็เป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ฝ่าบาทจะยอมให้ราชินีสวรรค์กุมอำนาจทางทหารมากขนาดนั้นเหรอ?” น้ำเสียงนางเหมือนลองถาม เพราะไม่ค่อยชินกับการขอคำชี้แนะจากท่านน้า
ใครจะคิดว่าซ่งหยวนเต๋อจะยักไหล่สองข้าง “ข้าจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ข้าก็แค่แนะนำด้วยความหวังดีเท่านั้น ท่าทางนี้ไม่ผ่านก็ลองทางอื่น มีอะไรไม่ถูกล่ะ?”
“…” เส้าเซียงหัวจ้องเขาอย่างพูดไม่ออก สงสัยพูดมาตั้งนานแต่ไม่มีประเด็นสำคัญ เท่ากับไม่ได้พูด ก็แค่ทำครึ่งๆ กลางๆ ในใจนางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เอาล่ะ ท่านน้า ข้ายังมีธุระอีกนิดหน่อย ข้าไม่ส่งท่านไม่ได้แล้ว แต่ว่านะท่านน้า ข้าไม่ได้ว่าท่านนะ แต่ถ้ามีเวลาเที่ยวเล่นทั้งวัน ก็ไม่สู้เอาเวลาไปฝึกกตนดีกว่า” พูดจบก็ลุกขึ้นส่งแขก
“…” ตอนนี้ถึงคราวที่ซ่งหยวนเต๋อจะพูดไม่ออกบ้างแล้ว เขาด่าในใจว่า บทจะแตกคอก็แตกคอจริงๆ ถ้าลิ่งหูโต้วจ้งรบตายก็คงดี ข้าจะคอยดูว่าเจ้ายังจะมีคุณสมบัติอะไรมาวางมาดใหญ่โตอีก เพียงแต่บนใบหน้าก็ยังเจียดรอยยิ้มออกมา อย่างไรเสียก็ได้รับผลประโยชน์จากอีกฝ่าย ถ้าไปล่วงเกินแล้วครั้งหน้าอีกฝ่ายไม่ให้เงินอีก นั่นก็จะเป็นปัญาแล้ว เขาลุกขึ้นยืนทันที แล้ววางมาดผู้อาวุโส “คุ้นเคยทางแล้ว ไม่ต้องไปส่ง เจ้าทำงานของเจ้าไปเถอะ”
พูดจบก็เรียกผู้ติดตาม แล้วเดินวางมาดออกไป
แต่เส้าเซียงหัวกลับเริ่มขมวดคิ้วมุ่น เดินไปเดินมาอยู่ในจวน ค่อนข้างลังเลตัดสินใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะเตือนท่านจอมพลเรื่องขอพึ่งพาตำหนักนารีสวรรค์ดีหรือไม่…
พอออกจากจวนจอมพลแล้ว พอมาถึงดาราจักร ซ่งหยวนเต๋อก็มองไปรอบๆ แล้วถ่ายทอดเสียงบอกบ่าวรับใช้ข้างกายว่า “ข้าแสดงผลงานเป็นยังไงบ้าง คุ้มราคามั้ยล่ะ?”
บ่าวรับใช้พยักหน้าเบาๆ ถ่ายทอดเสียงตอบว่า “ไม่เลว ดีมาก!”
เขาไม่ใช่บ่าวรับใช้ ทุกอย่างที่ซ่งหยวนเต๋อล้วนเป็นเขาที่เตรียมการให้ ส่วนสาเหตุว่าทำไมซ่งหยวนเต๋อจึงเชื่อฟังขนาดนี้ การรับมือกับคนประเภทนี้นั้นง่ายสุดๆ เงินถึงก็ซื้อได้แล้ว ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากเลย
ซ่งหยวนเต๋อถามอย่างค่อนข้างร้อนรนว่า “พูดตามที่เจ้าบอกแล้ว ควรจะให้เงินที่เหลือกับข้าได้แล้วมั้ง?”
บ่าวรับใช้คนนั้นยังมีท่าทางเคารพนอบน้อม ถ่ายทอดเสียงบอกอย่างแนบเนียนว่า “เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ ที่นี่มีแต่หูตาของจวนจอมพล เจ้าไม่กลัวคนอื่นจะเห็นหรือไง? ไปให้ไกลกว่านี้หน่อยแล้วค่อยว่ากัน”
“อ๋อ! ใช่แล้วๆ” ซ่งหยวนเต๋อเอ่ยรับซ้ำๆ แต่ก็เตือนอีกว่า “ข้าเตือนเจ้าไว้ก่อนนะ อย่าเล่นลูกไม้อะไรเชียว”
บ่าวรับใช้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็เจ้าบอกไว้แล้ว ว่าเจ้ากับจวนจอมพลรักษาความสัมพันธ์กันในระยะยาว ข้าจะกล้าเล่นลูกไม้อะไรล่ะ ถ้าเกิดเรื่องกับเจ้าเมื่อไร เรื่องในวันนี้ก็จะถูกเปิดโปงน่ะสิ”
“รู้ไว้ก็ดีแล้ว” ซ่งหยวนเต๋อกล่าวอย่างค่อนข้างภูมิใจ
หลังจากทั้งสองไปไกลแล้ว ก็เหาะลงมาในป่าหินบนดาวที่รกร้างดวงหนึ่ง
บ่าวรับใช้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับใครสักคน
ส่วนซ่งหยวนเต๋อก็เหลียวซ้ายแลขวา รู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก จึงเตือนว่า “ตรงนี้ก็ไกลพอสมควรแล้ว เอาเงินที่เหลือมาให้ข้าสิ”
บ่าวรับใช้ตอบว่า “ข้าเองก็ทำงานตามคำสั่งคนอื่นเหมือนกัน ในมือไม่มีเงินเยอะขนาดนั้นหรอก เจ้าไม่ต้องห่วง จ่ายครบอยู่แล้ว จะมีคนนำเงินมาให้เจ้าเดี๋ยวนี้แหละ”
บอกว่าเดี๋ยวนี้ก็เดี๋ยวนี้จริงๆ ไม่ใช่อีกสักครู่ ตรงที่ไกลๆ มีเงาคนคนหนึ่งปรากฏตรงหน้าทั้งสอง อีกฝ่ายกวาดสายตามองทั้งสองอย่างสงบนิ่งแวบหนึ่ง ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือเผยโม่จากหน่วยตรวจการขวา
“นายท่าน!” บ่าวรับใช้กุมหมัดคารวะพร้อมถ่ายทอดเสียง ฐานะของเขาก็ย่อมเป็นคนของหน่วยตรวจการขวาเช่นกัน เป็นลูกน้องของเผยโม่
ซ่งหยวนเต๋อเองก็กุมหมัดคารวะเผยโม่ด้วยความเกรงใจ ในใจรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
“ทำงานเป็นยังไงบ้าง ไม่มีอะไรผิดพลาดใช่มั้ย?” เผยโม่ถาม
“ไม่มีขอรับ ทุกอย่างราบรื่น…” บ่าวรับใช้รายงานสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ แล้วหันตัวไปชี้ซ่งหยวนเต๋อ “เขาต้องการเงินที่เหลือ”
“เงิน?” เผยโม่มองซ่งหยวนเต๋อพร้อมถามหยอกล้อ “เจ้าคิดว่าชีวิตของเจ้ามีราคาเท่าไร?”
ซ่งหยวนเต๋อตกใจ สังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ถอยหลังช้าๆ พร้อมบอกว่า “ทำไมล่ะ? พวกเจ้าคิดจะเบี้ยวเงินเหรอ อย่าทำซี้ซั้วนะ ข้ามีความสัมพันธ์กับจวนจอมพล ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับข้า ความพยายามของพวกเจ้าก่อนหน้านี้ก็จะล้มเหลว!”
“สำหรับคนบางคนกับเรื่องบางเรื่อง ความเป็นความตายของเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับความพยามก่อนหน้านี้ ที่สำคัญคือเจ้าไปพูดให้แล้วต่างหาก” เผยโม่กล่าวเสียงเรียบ
ซ่งหยวนเต๋อรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามทั้งชีวิต จึงไม่พูดพร่ำทำเพลง ถลันตัวเหาะขึ้นฟ้าหนีไปเลย
บ่าวรับใช้รีบเหาะตามไป เผยโม่โบกแขนถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหกไว้ในมือ ลำแสงสายหนึ่งยิงออกไปพร้อมเสียงดังปั้ง เกิดเสียงกรีดร้องบนท้องฟ้าทันที
บ่าวรับใช้ที่กลับมาแล้วหิ้วซ่งหยวนเต๋อที่ขื่นขมกลับมาด้วย เขามองอาวุธในมือเผยโม่หลายครั้ง
“ข้าไม่เอาเงินแล้ว ข้าให้เงินพวกเจ้า ไว้ชีวิตข้าสักครั้ง…” ซ่งหยวนเต๋อกล่าวขอร้องขณะเลือดกลบปาก
เผยโม่เอียงหน้าบอกใบ้เล็กน้อย บ่าวรับใช้ง้างดาบขึ้นมาตัดศีรษะใบหนึ่งกระเด็น ร่างไร้ศีรษะของซ่งหยวนเต๋อชักกระตุกเลือดไหลอยู่บนพื้น
พอเก็บดาบแล้ว บ่าวรับใช้ก็หันตัวไปถามว่า “นายท่าน เบื้องบนทำเรื่องนี้หมายความว่าอะไร?”
“เบื้องบนย่อมมีการพิจารณาของเบื้องบน อย่าถามสิ่งที่ไม่ควรถาม เจ้ากับข้าปฏิบัติตามคำสั่งก็พอ ไม่ควรจะอยู่ที่นี่นาน เจ้าไปก่อนเถอะ เดี๋ยวตรงนี้ข้าจัดการเอง” เผยโม่กล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ แล้วเอียงหน้าบอกใบ้ให้เขาไป
“รับทราบ!” บ่าวรับใช้กุมหมัดคารวะ แล้วเหาะขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ใครจะคิดว่าตอนที่เพิ่งจะเหาะขึ้นฟ้าไป ก็ได้ยินเสียง “ปั้ง” ดังมาจากข้างล่าง พอก้มหน้ามอง ก็เห็นลำแสงสายหนึ่งยิงมาที่ตัวเองแล้ว ในดวงตาฉายแววคับแค้นและตกใจ…
ตำหนักนารีสวรรค์ เกาก้วนที่ยืนเงียบอยู่บนระเบียงริมสระน้ำเงยหน้ามองฟ้า หลังจากเก็บระฆังดาราที่อยู่ในแขนเสื้อ หันตัวเดินลากผ้าคลุมออกไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว ตอนที่ออกจากตำหนักนารีสวรรค์ ก็หยุดเดินแล้วสั่งทหารยามว่า “ถ้าไม่มีคำสั่งจากฝ่าบาท ก็ห้ามให้ใครเข้าออก รวมทั้งราชินีสวรรค์ด้วย”
“รับทราบ!” ทหารยามกุมหมัดคารวะ
ผ้าคลุมสีดำปลิวสะบัดอีกครั้ง เกาก้วนสีหน้าเรียบเฉย เดินไปทางตำหนักดาราจักรด้วยย่างก้าวที่หนักแน่น…
อีกฝั่งหนึ่งของดาราจักร ลิ่งหูโต้วจ้งที่กำลังเร่งเดินทางเกิดความคิดร้อยแปดพันเก้า ยกาที่จะระบายความกังวลในใจทิ้งได้
แม่ทัพใหญ่ที่อยู่ข้างๆ แอบรายงานว่า “ท่านจอมพล ท่าไม่ดีแล้ว ทัพใหญ่ที่เข้าไปถึงประตูดวงดาวฝั่งเหนือเพื่อช่วยสนับสนุนโดนคนของเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อดักไว้ กำลังพลส่วนใหญ่โดนปลุกปั่นให้กบฏแล้ว คนส่วนน้อยที่ต่อต้านโดนฆ่าทิ้ง ตอนนี้ประตูดวงดาวฝั่งเหนือถูกทัพกบฏสามฝ่ายร่วมมือกันปิดล้อมไว้แล้ว!”
“…” ลิ่งหูโต้วจ้งแค้นจนกัดฟันกรอด บ้านหลังคารั่วซ้ำยังถูกฝนกระหน่ำทั้งคืนจริงๆ นึกไม่ถึงว่าขวัญหัวใจทหารของทัพตะวันออกจะหย่อนหยานถึงขั้นนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะสิ้นหวังกับอ๋องสวรรค์อิ๋งขนาดนี้ กำลังพลมากมายนึกจะกบฏก็กบฏเลย แต่เขาจำต้องแข็งใจบอกว่า “ควบคุมการใช้ระฆังดารา อย่าให้ข่าวกระจายไปถึงเบื้องล่าง หลังจากเข้าประตูดวงดาวฝั่งเหนือแล้ว ให้ตีฝ่าวงล้อมสุดกำลังเพื่อไปช่วยอ๋องสวรรค์ ยอมแลกทุกอย่างเพื่อถ่วงเวลาให้ท่านอ๋อง!”
“รับทราบ!” แม่ทัพใหญ่เอ่ยรับ ในใจก็รู้สึกจนปัญญาแล้วเช่นกัน รู้ว่าท่านจอมพลไม่มีทางเลือก มีแต่ต้องทำอย่างนี้
ลิ่งหูโต้วจ้งที่กำลังเร่งเดินทางด้วยใบหน้านิ่งตึงขยับคิ้วเล็กน้อย หยิบระฆังดาราออกมาอันหนึ่ง เป็นเส้าเซียงหัวที่ส่งข่าวมา ตอนนี้สถานการณ์รบตึงเครียด แต่ยังไม่รู้จักแยกความสำคัญติดต่อมารบกวนอีก ไม่รู้เหมือนกันว่ามีเรื่องอะไร
เส้าเซียงหัวย่อมไม่ติดต่อเขาเพราะเรื่องอื่น เป็นเพราะถูกคำพูดของท่านน้าโน้มน้าวจนหวั่นไหวแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าไม่น่าเชื่อถือ นางเองก็ไม่รู้ว่าควรจะบอกสามีหรือไม่ แต่พอคิดไปคิดมา รู้สึกว่าเตือนไว้สักหน่อยก็ไม่เป็นไร สามีรู้สถานการณ์อย่างลึกซึ้ง ย่อมวินิจฉัยได้ถูกต้อง ดีกว่าให้นางหลับหูหลับตาครุ่นคิดอยู่ที่นี่ ถ้าพูดผิดไปอย่างมากก็แค่โดนด่า แต่ถ้าช่วยท่านสามีได้จริงๆ ล่ะ? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของทุกคนในครอบครัวเชียวนะ! ดังนั้น หลังจากพิจารณาแล้วก็รู้สึกว่าต้องเตือนสักหน่อย
…………………