พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1932 เรื่องแดงแล้ว
เหยียนซิวเอ่ยรับอย่างลังเล เห็นได้ชัดว่าลังเลที่อวิ๋นจือชิวบอกว่าอย่าให้นายท่านรู้ เพราะเขาสัมผัสได้ว่าการตายของจูเก๋อชิงไม่ได้ธรรมดาเรียบง่ายขนาดนั้น
แม้จะอยู่ห่างกันไกล แต่อวิ๋นจือชิวก็สัมผัสได้ถึงท่าทีของเหยียนซิว นางเก็บระฆังดารา ขยับร่างเปลือยจนน้ำกระเพื่อม ยืดหน้าอกที่อิ่มเอิบพิงบนอ่างอาบน้ำ ผมงามเอียงลาดบนหัวไหล่ขาว ตรงหว่างคิ้วเผยความรู้สึกกังวล
อยู่ด้วยกันมาหลายปีขนาดนี้ เสวี่ยเอ๋อร์ย่อมมองเบาะแสออกแล้วนิดหน่อย ขณะที่ขัดแขนให้นางเบาๆ ก็ถามหยั่งเชิงว่า “ฮูหยิน เป็นอะไรไปคะ?”
“เฮ้อ!” อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ แล้วเล่าสาเหตุการตายของจูเก๋อชิงให้ฟังคร่าวๆ
เสวี่ยเอ๋อร์ฟังแล้วอกสั่นขวัญแขวน หวาดกลัวกับวิธีการของหยางชิ่ง แต่กลับถามยังไม่เข้าใจอีกว่า “ทหารยามคนอื่นไม่ได้เกี่ยวข้อง มีแค่ฟางเหลียวคนเดียว ทำไมฮูหยินต้องลงโทษประหารพวกเขาทั้งหมดคะ?”
อวิ๋นจือชิตอบด้วยสีหน้าคืนคำว่า “ในท่านมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ เรื่องที่ต้องวางแผน ความสามารถของข้าไม่พอให้ช่วยเหลือ จำเป็นต้องให้คนที่มีความสามารถอย่างหยางชิ่งช่วยเหลือ หยางชิ่งเป็นคนวางแผนว่าให้นายท่านยืมดาบตระกูลเซี่ยโห้ว ยืมดาบประมุขชิงฆ่าคน วางแผนการไว้ต่อเนื่องกัน วางแผนการกับวีรบุรุษในใต้หล้า รอจนอิ๋งจิ่วกวงรู้ตัวก็สายไปแล้ว จู่โจมในชั่วพริบตาเดียว โค่นล้มอิ๋งจิ่วกวงได้ในครั้งเดียว แก้ไขปัญหาที่อันตรายถึงชีวิตอย่างตระกูลอิ๋งให้นายท่าน ที่นายท่านได้อำนาจในครั้งนี้ เป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ของหยางชิ่ง ในวันข้างหน้ายังมีประโยชน์กับนายท่านมาก! ข้าไม่ควรสืบเรื่องนี้เลย ไปเอาเรื่องได้เหรอ? จะให้นายท่านตัดแขนตัวเองทิ้งข้างหนึ่งหรือไง? ที่สังหารผู้เกี่ยวข้องด้วยข้อหานั้น ก็เพราะจะแสดงออกว่าสืบไม่เจออะไร ประหารผู้เกี่ยวข้องก็เพื่อทำให้หยางชิ่งสงบใจ เขาจะได้ทำงานรับใช้นายท่านต่อไป!”
เสวี่ยเอ๋อร์เงียบไปพักหนึ่ง แล้วถามหยั่งเชิงอีก “แต่ปิดบังหลายท่านไว้จะเหมาะสมหรือคะ?”
อวิ๋นจือชิวเหล่ตามอง “จะคิดว่าจะปิดบังในท่านได้เหรอ? หรือจะคิดว่าเรื่องแบบนี้เหยียนซิวจะไม่รายงาน? ถ้าเปลี่ยนเป็นเจ้า เราจะเชื่อฟังข้าแล้วปิดบังไว้ไหมล่ะ?”
เสวี่ยเอ๋อร์ชั่งน้ำหนักในใจ คาดว่าเหยียนซิวจะต้องบอกนายท่านแน่นอน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย “แล้วทำไมฮูหยินยังกำชับเหยียนซิวให้ปิดบังอีก?”
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ “ข้าอยากให้นายท่านเข้าใจท่าทีของข้า กลัวว่านายท่านจะบุ่มบ่าม ข้าชี้แนะทิศทางการแก้ปัญหาให้นายท่านก็เท่านั้นเอง” พูดจบก็หลับตาลงช้าๆ ปล่อยให้เสวี่ยเอ๋อร์ช่วยขัดตัวให้เงียบๆ
ในตำหนักประชุม บรรดาแม่ทัพแยกย้ายกัน เหมียวอี้กับหยางเจาชิงมองคล้อยหลังกงหยวน จากนั้นก็ยิ้มให้กันอย่างเข้าใจ ตอนประชุมก่อนหน้านี้สังเกตได้ว่ากงหยวนค่อนข้างใจลอย
“ถ้าเป็นอย่างที่หยางชิ่งคาดไว้ พอเฉาหม่านรู้ข่าวแล้วจะต้องมาผูกมิตรกับข้าแน่นอน กำลังพลห้าสิบล้านนี้ก็จะปักอยู่ที่แดนรัตติกาลได้อย่างสงบใจ!” เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงหยอกล้อ
เรื่องราวก็ไม่ได้ซับซ้อน จู่ๆ แดนรัตติกาลมีกำลังพลเยอะขนาดนี้ เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อเฉาหม่านเกินไป มีหรือที่เฉาหม่านจะนิ่งดูดาย จะต้องใช้กำลังของตระกูลเซี่ยโห้วมาควบคุมแน่ ส่วนเหมียวอี้เดิมทีก็ไม่พอใจพฤติกรรมข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้งของเซี่ยโห้วลิ่งอยู่แล้ว กอปรกับเหมียวอี้วางกับดักเซี่ยโห้วลิ่งเรื่องสำนักลมปราณ ถ้าเซี่ยโห้วลิ่งรู้ว่าตัวเองโดนวางกับดักเมื่อไร จะต้องสั่งสอนคืนแน่ เขาย่อมต้องไปเข้าพวกกับเฉาหม่านอยู่แล้ว ตอนนี้เฉาหม่านจะต้องกลัวเซี่ยโห้วลิ่งแน่นอน กลัวว่าเซี่ยโห้วลิ่งจะยืมกำลังพลในมือเหมียวอี้มากำจัดเขาทิ้ง ถ้าเซี่ยโห้วลิ่งต้องการให้เฉาหม่านช่วยสู้กับเหมียวอี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าเฉาหม่านจะคิดว่าเซี่ยโห้วลิ่งมีเจตนาไม่ซื่อ คิดว่าจะให้ตัวเองยั่วโมโหเหมียวอี้ ผลักให้เหมียวอี้ไปร่วมมือกับเซี่ยโห้วลิ่งเพื่อกำจัดเขา
พอเป็นแบบนี้ เฉาหม่านก็จะไม่ขับไล่กำลังพลของเหมียวอี้ง่ายๆ กลับจะผูกมิตรดึงเป็นพวกด้วยซ้ำ ฝั่งนี้อยากจะพูดมิตรกับสหายคนนี้มาก
มองจากบางระดับ ถ้าเซี่ยโห้วลิ่งอยากจะกุมอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วโดยสิ้นเชิงก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ตระกูลเซี่ยโห้วที่ใช้งานอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วที่ไม่ปรองดองกันทำให้คนกลัวไม่ได้หรอก แล้วเรื่องนี้ก็มีเพียงฝั่งนี้เท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจ ในภายหลังยังมีจุดให้ใช้ประโยชน์ได้อีกมาก
หยางเจาชิงพยักหน้ายิ้ม แล้วกล่าวชมว่า “หยางชิ่งมีพรสวรรค์ในการปกครองใต้ล่าจริงๆ!”
ทั้งสองพูดคุยกันไปหัวเราะกันไป
เมื่อครู่นี้ตอนเอ๋ยถึงถึงเรื่องตระกูลเซี่ยโห้วต่อหน้าคนอื่น ย่อมเป็นการแสดงละครของทั้งสองอยู่แล้ว
เป็นอย่างที่อวิ๋นจือชิวคาดไว้ ตอนนี้เหยียนซิวส่งข่าวมาแล้วเช่นกัน เหมียวอี้ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มหยิบระฆังดาราขึ้นมา
นอกตำหนัก กงหยวนที่เดินลงบันไดเริ่มมีสีหน้าเครียดขรึม สีเทาค่อนข้างหนักแน่น
ในตำหนัก รอยยิ้มบนใบหน้าเหมียวอี้เริ่มแข็งทื่อ หลังจากนั่งลงอย่างช้าๆ ก็หายใจค่อนข้างลำบาก
ได้ข่าวที่เหยียนซิวรายงานมาแล้ว มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองโดนหยางชิ่งวางอุบายอย่างโหดเหี้ยม ไม่น่าเชื่อว่าจะจับสังเกตความคิดของเขาได้แบบนี้ แม้แต่ผู้หญิงของเขาก็ยังกล้าลงมือทำร้าย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว ครั้งก่อนก็เล่นงานอวิ๋นจือชิว ยังจะมีครั้งที่สองอีก มีอย่างที่ไหนกัน ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ!
ปั้ง! เหมียวอี้พลันใช้ฝ่ามือตบโต๊ะยาวจนแตกลงพื้น สีหน้าเต็มไปด้วยความดุร้าย พลันตะคอกเดือดดาลว่า “บังอาจมารังแกข้าแบบนี้!”
หยางเจาชิงตกใจ เมื่อครู่นี้ยังดีๆ อยู่เลย ตอนนี้เป็นอะไรไปแล้ว?
เขารีบถามว่า “นายท่าน เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เหมียวอี้หันขวับ กล่าวด้วยความเคียดแค้นจนกัดฟันกรอด “การตายของจูเก๋อชิง เป็นหยางชิ่งที่วางอุบายข้า…” เขาเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง
หยางชิ่งคนนี้น่ากลัวจริงๆ! หยางเจาชิงแอบตกใจ อดไม่ได้ที่จะถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ในท่านเตรียมจะลงโทษยังไงขอรับ?”
เหมียวอี้ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความดุร้ายแทบจะพูดคำว่า “ฆ่า” ออกมาหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็พูดไม่ออก สุดท้ายก็หลับตาลงช้าๆ แล้วกล่าวยังชัดถ้อยชัดคำว่า “ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก ทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น!”
หยางเจาชิงขมวดคิ้วพยักหน้า รู้ว่าเพราะอะไร แต่กลับแอบส่ายหน้า รู้ว่าสถานการณ์บีบบังคับนายท่านจึงต้องอดทนไว้ ส่วนหยางชิ่งก็คงโดนนายท่านเคียดแค้นแล้ว คาดว่าช้าเร็วนายท่านก็ต้องสะสางบัญชีนี้กลับหยางชิ่ง หยางชิ่งช่างน่ากลัวจริงๆ ฆ่าคนโดยไร้ร่องรอย ตัวเองก็ต้องระวังเอาไว้หน่อยเหมือนกัน จะได้ไม่โดนหรอกใช้ประโยชน์แล้วตายโดยไม่รู้ตัว
เหมียวอี้ถอนหายใจยาว เขย่าระฆังดาราตอบเหยียนซิว : ทำตามที่ฮูหยินสั่งก็แล้วกัน!
พูดจบก็เก็บระฆังดาราแล้วยืนขึ้น
“เฮ้อ!” หยางเจาชิงมองโต๊ะยาวที่ถูกตีพังพลางถอนหายใจ เดาว่าสิ่งที่หยางชิ่งทำคงไม่พ้นเกี่ยวข้องกับฉินเวยเวย
เชียนเอ๋อร์ที่เฝ้าประตูตำหนักหลังเห็นเหมียวอี้เดินหน้าตึงเข้ามา ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มองที่ตัวเองคำนับเลย เดินผ่านไปไกลอย่างนี้แล้ว ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงรีบเดินตามเข้าไป
เหมียวอี้เรียกได้ว่าเดินตรงไปที่ห้องอาบน้ำของอวิ๋นจือชิว เขาเข้ามาย่อมไม่มีใครขวางอยู่แล้ว
อวิ๋นจือชิวกับเสวี่ยเอ๋อร์ที่แช่อยู่ในน้ำหันมามองอย่างงุนงง
เหมียวอี้ถอนเสื้อผ้าตัวเองทิ้ง เดินไปด้วยโดยนทิ้งไปด้วย กระโดดลงอ่างน้ำอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ช้อนร่างเปลือยเปล่าของอวิ๋นจือชิวขึ้นมาจากน้ำ ไม่สนใจว่าอวิ๋นจือชิวจะผลักหรือจะถาม เขาดันนางขึ้นมาบนขอบอ่าง ยกต้นขานางขึ้นมาแล้วบุกทันที ราวกับเป็นสัตว์ร้ายที่ถูกยั่วโมโห บ้าระห่ำมาก
เชียนเอ๋อร์เดินตามหลังเข้ามา แล้วก็ยังมีเสวี่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ในอ่างน้ำด้วย ทั้งสองตะลึงค้างแล้ว
ทำใจมองตรงๆ ไม่ได้ เชียนเอ๋อร์รีบหันหน้าหนีแล้วเดินออกไป เสวี่ยเอ๋อร์ก็รีบขึ้นจากอ่างน้ำเช่นกัน รีบใส่เสื้อผ้าแล้วเดินออกไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ…
ตำหนักดาวกลาง เหยียนซิวเก็บระฆังดารา อีกมือหนึ่งเก็บธงเรียกวิญญาณ สายตาที่เย็นเยียบกวาดมองกลุ่มคนที่เหม่อลอยไร้สติ
ไม่ใช่อวิ๋นจือชิวที่พูดอย่างนั้น แม้แต่เหมียวอี้ก็เอ่ยปากแล้ว เขาย่อมไม่มีอะไรต้องกังวล
เงาร่างแฉลบราวกับผี ทะลุผ่านกลุ่มคนที่ยืนอยู่ เร็วราวกับเงา สุดท้ายก็หยุดยืนอยู่บนบันไดนอกตำหนัก
บนคอของบทุกคนในตำหนักมีรอยเลือด แล้วก็กระอักเลือดออกมาอีก แต่ละคนเอามือปิดคอด้วยสีหน้าขื่นขม แล้วล้มลงชักกระตุกอยู่บนพื้น ไม่มีใครรอดชีวิตสักคน
เหยียนซิวที่ยืนอยู่บนบันไดนอกตำหนักเงยใบหน้านิ่งตายเหมือนผี วางเล็บที่เปื้อนเลือดเอาไว้ในปาก ดูดรอยเลือดแห้งนั่นช้าๆ แล้วห้อยแขนเสื้อสองข้างลง กึ่งเดินกึ่งลอยลงจากบันได เดินตรงออกประตูใหญ่ของตำหนักดาวกลางไปแล้ว
หลี่โม่จินและคนอื่นๆ ที่รออยู่ด้านนอกมองมา เหยียนซิวเดินมาตรงหน้าพวกเขาแล้วหยุด ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบแหบพร่า “คนพวกนี้บกพร่องต่อหน้าที่ คุ้มกันจูเก๋อชิงไม่ดี ฮูหยินเดือดดาลมาก สั่งประหารหมดแล้ว!” พูดจบก็พุ่งตัวขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที
“…” สำนักงามวิจิตรมองหน้ากันเลิกลั่ก
หลี่โม่จินหันกลับไปมองในตำหนัก จากนั้นก็ถลันตัวเข้าไปทันที ศิษย์สำนักงามวิจิตรก็เหาะตามไปเช่นกัน
สุดท้ายทุกคนก็หยุดอยู่ตรงประตูตำหนักใหญ่ เพราะได้กลิ่นคาวเลือด ขณะมองน้ำเลือดไหลนอง เห็นแต่ละคนล้อมอยู่ท่ามกลางกองเลือด พวกเขาก็มองหน้ากันอย่างพูดไม่ออก
สิ่งที่ทำให้หลี่โม่จินตกใจก็คือ เหยียนซิวลงมือกับคนมากมายขนาดนั้น แต่ไม่น่าเชื่อว่าข้างนอกจะไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเลยสักนิด
สถานการณ์ถูกรายงานไปที่นภาอู๋เลี่ยงอย่างรวดเร็ว ในศาลาดอกไม้ของเรือนด้านใน ฉินเวยเวยที่ได้ข่าวพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็หันมามองฉินซีที่อยู่ข้างกัน “ท่านแม่! ท่านบอกความจริงข้ามา การตายของจูเก๋อชิงเกี่ยวข้องกับพวกท่านหรือเปล่า?”
“ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” ฉินซียิ้มเจื่อน
ฉินเวยเวยกล่าวด้วยสายตาจริงจัง “เหยียนซิวไม่ใช่คนที่ใครจะบัญชาการก็ได้ ถ้าเรื่องนี้ไม่มีเงื่อนงำ แล้วทางนั้นจะส่งเขามาสืบเรื่องตอนที่จูเก๋อชิงยังมีชีวิตอยู่ได้ยังไง?”
ฉินซียักไหล่ “ข้าไปรู้ได้ยังไงล่ะ? เวยเวย เหมือนเจ้าจะหวังให้การตายของจูเก๋อชิงเกี่ยวข้องกับพวกเรามากเลยนะ!”
“ก็หวังว่าข้าจะคิดมากไป!” ฉินเวยเวยถอนหายใจ แล้วลุกขึ้นเดินลากกระโปรงยาวออกจากศาลา ท่วงท่ายามเดินสง่างาม ไหล่สองข้างตรงมั่นคง ไม่เหมือนท่าทางห้าวหาญยามนี่อาชามังกรเหมือนในปีนั้นแล้ว ห่างกันไกลมาก!
เมื่อไม่มีคนนอก ฉินซีที่นั่งลงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก นางหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางชิ่ง บอกว่า : เรื่องคงใกล้จะจบแล้ว เหยียนซิวคงสืบเจออะไรบางอย่าง บอกว่าทหารยามพวกนั้นบกพร่องต่อหน้าที่ โทษที่พวกเขาเฝ้าไม่ดี เหยียนซิวจึงลงมือสังหารพวกเขาทั้งหมดด้วยตัวเอง
หยางชิ่งที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างตึกศาลากลับขมวดคิ้ว ถามยืนยันว่า : ตายหมดแล้วเหรอ?
ฉินซี : ใช่! ตอนนี้เสร็จแล้ว ตอนหลังไม่ต้องคิดเรื่องปิดปากฟางเหลียวแล้ว สมปรารถนาเจ้าแล้ว ข้าแนะนำว่าทีหลังเจ้าอย่าทำเรื่องแบบนี้อีก
หยางชิ่งกลับรีบถาม : รายละเอียดล่ะ! ข้าต้องการรู้สถานการณ์โดยละเอียด!
ฉินซีทำตามที่เขาต้องการ ติดต่อหลี่โม่จินเพื่อถามรายละเอียดแล้วบอกเขาทันที
หยางชิ่งที่รู้รายละเอียดแล้วครุ่นคิดเงียบๆ พักหนึ่ง แล้วทันใดนั้นก็เงยหน้าถอนหายใจยาว เขย่าระฆังดาราในมือตอบว่า : เป็นไปได้เก้าในสิบว่าเรื่องแดงแล้ว!
ฉินซีได้ยินแล้วตกใจมาก : เจ้าคิดมากไปแล้วหรือเปล่า? เรื่องแดงตรงไหน?
หยางชิ่ง : เลอะเลือน! ข้าถามเจ้าหน่อย สืบสวนคนมากมายขนาดนั้น ทำไมเหยียนซิวถึงไม่ต้องการผู้ช่วยล่ะ กลับให้พวกหลี่โม่จินรออยู่นอกตำหนักทำไม?
ฉินซี : บางทีอาจไม่อยากให้เรื่องฉาวภายในบ้านแพร่งพรายออกไป หรือไม่ก็ไม่เชื่อใจพวกหลี่โม่จิน
หยางชิ่ง : แปดสิบกว่าคน เหยียนซิวคนเดียวจะสืบสวนไปถึงเมื่อไรกันล่ะ แต่กลับได้ผลลัพธ์เร็วมาก ถ้าจะสืบสวนลวกๆ ก็ไม่จำเป็นต้องส่งเขามาสืบเอง เจ้าไม่สังเกตเห็นความผิดปกติเลยเหรอ? ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ลงโทษประหารทุกคนตรงนั้นทันที คนนอกไม่มีโอกาสถามอะไรด้วยซ้ำ!
………………