พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1933 ตกหลุมพรางความฉลาดของตัวเอง
ได้ยินเขาพูดแบบนี้ ฉินซีก็อกสั่นขวัญแขวนแล้ว เดิมทีนางเป็นคนนิสัยเย็นชา ถ้าไม่ใช่เพื่อลูกสาว นางไม่มีทางเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย
พอนึกขึ้นได้ว่าเฟิงเป่ยเฉินตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ ทั้งพิภพเล็กถูกเหมียวอี้คุมไว้ กอปรกับกังวลว่าจะสร้างปัญหาให้ฉินเวยเวย นางจึงถามอย่างค่อนข้างกังวลว่า : เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่?
หยางชิ่ง : ฉินซี ตอนที่เจอปัญหาที่คิดไม่ตก ก็อย่าไปดันทุรังคิด เจ้าสามารถเตรียมตัวรับมือผลลัพธ์ที่เลงร้ายที่สุดไว้ก่อนได้ ใช้ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดมาคาดการณ์เรื่องนี้ เจ้าก็จะหาคำอธิบายให้ความผิดปกติทุกอย่างได้แล้ว พอเป็นแบบนี้ พฤติกรรมที่ผิดปกติของเหยียนซิวก็สามารถอธิบายได้แบบนี้ ตอนที่สืบสวนกันพวกหลี่โม่จินไว้ ก็เพื่อปิดบังขั้นตอนการสืบสวน!หลังจากสืบสวนแล้วใช้ข้อหาแปลกๆ ประหารทุกคนตรงนั้นทันที ก็เพื่อปิดบังขั้นตอนการสืบสวนเช่นกัน และเพื่อปิดบังผลการสืบสวนด้วย! ทำไมก่อนเรื่องเกิดและหลังเรื่องเกิดล้วนต้องปิดบังขั้นตอนการสืบสวนล่ะ? ในนั้นจะต้องมีความลับที่บอกให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาดแน่นอน กอปรกับได้ผลลัพธ์เร็วขนาดนี้ ข้าสงสัยว่าเหยียนซิวคงมีวิธีการสืบสวนลับอะไรบางอย่างที่พวกเราไม่รู้ ความจริงถูกเหยียนซิวขุดออกมาแล้ว! ทำไมต้องปิดบังการสอบสวนด้วยล่ะ? สมมติว่าเหยียนซิวขุดเจอความจริงแล้ว แล้วทำไมต้องปิดบังความจริงอีกล่ะ? คำตอบที่ข้าเรียบง่ายมาก เหมียวอี้คิดว่าตอนนี้แตกคอกับข้าไม่เหมาะสม จึงทำให้คนอื่นที่เกี่ยวข้องตายไปด้วย ก็เพื่อจะปิดบังความจริงของเรื่องนี้ ไม่อยากให้พวกเรารู้ว่าเขารู้ความจริงแล้ว ถ้าใช้ผลลัพธ์นี้มาคาดการณ์ทั้งเรื่องราวอีกที…ทุกอย่างก็สามารถอธิบายได้ชัดเจน!
แม้ว่าเขาจะพูดไว้ชัดเจนมากแล้ว แต่สมองของฉินซีก็อยู่คนละระดับกับเขา ตามความคิดของเขาไม่ทันเลย ฟังแล้วเลอะเลือนนิดหน่อย เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ นางไม่คิดว่าทุกอย่างสามารถอธิบายได้ชัดเจน ไม่ค่อยอยากยอมรับผลลัพธ์นี้ จึงถามด้วยอารมณ์ที่ขัดแย้งกันว่า : เจ้าแน่ใจแล้วไม่ใช่เหรอว่าฟางเหลียวจะไม่พูดความจริง? ตอนนี้มีเหยียนซิวโผล่มาใช้วิธีการสอบสวนลึกลับที่คนไม่รู้อีก วิธีการสอบสวนลึกลับอะไร? ทีแรกเจ้ามัวไปทำอะไรอยู่?
หยางชิ่งทอดสายตามองไปนอกหน้าต่าง แล้วถอนหายใจอย่างไร้เรี่ยวแรง ในมือถือระฆังดาราตอบกลับว่า : ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหยียนซิวมีวิธีการสืบสวนลับอะไร เพียงแต่ด้วยสมองของเขา แต่นายท่านยังส่งเขามาสืบคนเดียวได้ ก็น่าจะมีสาเหตุ ทำให้ข้าสงสัยก็เท่านั้นเอง! ส่วนใหญ่เหยียนซิวไม่ได้คบค้าสมาคมกับใครเลย และไม่มีอำนาจอะไรด้วย ถึงขั้นไม่พูดจากับใครเลยด้วยซ้ำ แทบจะตัดขาดการสื่อสารทั้งหมดกับคนนอก อยู่เหมือนเงาเหมียวอี้มาโดยตลอด ไม่ทำตัวเด่นอะไร สงบเสงี่ยมจนเหลวไหล ไม่ว่าใครก็ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ มีพลังอะไร แอบทำอะไรไปบ้าง คนที่หลบเหมือนเงาจนคลำหาเนื้อในไม่เจอแบบนี้ทำให้คนปวดหัวที่สุด ถ้าปัญหาอยู่ที่ตัวเหยียนซิวจริงๆ งั้นก็เหนือความคาดหมายข้าแล้ว…บางทีอาจเป็นโชคชะตามั้ง!
ฉินซีแทบจะประสาทเสีย ไม่อยากฟังสิ่งนี้ นางตะคอกตำหนิว่า : หยางชิ่ง! เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้ากำลังทำอะไร? เจ้าแบบนี้จะทำร้ายเวยเวยถึงตายได้ เหมียวอี้ฆ่าจูเก๋อชิงได้ ก็ฆ่าเวยเวยได้เหมือนกัน!
หยางชิ่งปลอบใจว่า : เจ้าคิดมากไปแล้ว ที่จูเก๋อชิงตายได้ ก็เพราะเบื้องหลังนางไม่มีอำนาจ แม้แต่พรรคดรุณีหยกก็ถูกข้าทำลายไปแล้ว เป็นคนโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง มีแต่จะโดนคนอื่นบงการ เหมียวอี้อยู่ในอารมณ์เดือดดาล ไม่คำนึงถึงอะไรถึงได้สั่งฆ่านาง ขอเพียงมีอำนาจเบื้องหลังที่สามารถถ่วงความเจริญของเหมียวอี้ได้สักหน่อย ทำให้เหมียวอี้คำนึงถึงได้บ้างสักหน่อย ครั้งนี้นางคงไม่ตายหรอก! คำบางคำ ถ้าข้าพูดไปแล้วเจ้าก็อาจไม่ชอบฟัง แต่ความจริงมันก็เจ็บปวดจนเลือดไหลแบบนี้ แต่เวยเวยนั้นต่างกัน ถ้าข้ายังอยู่ตรงนี้ เหมียวอี้ก็ไม่กล้าแตะต้องเวยเวยสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก ที่ครั้งนี้เขาต้องปิดบังความจริง ก็เพราะไม่อยากแตกคอกับข้า ถ้าเขาไม่แตะต้องข้า ก็จะไม่แตะต้องเวยเวย เจ้าวางใจได้เลย!
ฉินซีกล่าวอย่างแค้นใจว่า : หวังว่าเจ้าจะคาดการณ์ได้เหมือนเทพก็แล้วกัน ถ้าเกิดความผิดพลาดอะไรจนทำร้ายเวยเวยอีก ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้าตลอดไป!
หยางชิ่งตอบอย่างโมโหว่า : ตอนนี้เจ้าเพิ่งรู้เหรอว่านางคือลูกสาวของเจ้า? ในปีนั้นที่เจ้าตั้งชื่อให้นางว่าเล็กน้อยเหมือนต้นหญ้า นางกำลังอ้าปากรอกินนมแต่เจ้าก็ทิ้งนางแล้วหนีไป ทำไมเจ้าไม่พูดแบบนี้ล่ะ? ตอนนี้เจ้ากล้าให้นางรู้มั้ยล่ะว่าตัวเองคือมารดาผู้ให้กำเนิดนาง?
เมื่อกล่าวเช่นนี้ ฉินซีก็น้ำตาไหลทันที พูดอะไรไม่ออกแล้ว นอนหมอบสะอึกสะอื้นอยู่บนโต๊ะไม้อย่างเจ็บปวดใจ นึกเสียใจทีหลังอย่างหาที่เปรียบมิได้
หยางชิ่งเก็บระฆังดารา แล้วหันตัวกลับมานั่งหลังโต๊ะยาวอย่างคับแค้น รู้สึกได้ว่าตัวเองควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องของจูเก๋อชิงมีช่องโหว่ จึงรีบสงบสติอารมณ์ หลับตาลงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
ชิงจวี๋ที่อยู่ข้างๆ สังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามหยั่งเชิงว่า “นายท่าน เป็นอะไรไป?”
หยางชิ่งลืมตาขึ้น แล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “เรื่องเล็กน้อย แต่ข้ากลับทำพลาด เหมียวอี้สืบเจอการตายของจูเก๋อชิงแล้วเหมียวอี้”
“หา!” ชิงจวี๋ตกใจมาก นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ต่างอะไรกับการสังหารผู้หญิงของเหมียวอี้ นางถามอย่างหวาดกลัว “จะทำยังไงดีคะ?”
หยางชิ่งพิงเก้าอี้พลางถอนหายใจ “เหมียวอี้จงใจจะปิดบังเรื่องนี้ ตอนนี้น่าจะไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ในภายหลังจะมาสะสางบัญชีกับข้าหรือไม่ ข้าก็ไม่รู้แล้ว…ได้แต่แค้นที่ข้าก้าวพลาดไปก้าวหนึ่ง แต่กลับก้าวพลาดต่อไปเรื่อยๆ ทำร้ายเวยเวยแล้ว!”
ชิงจวี๋ตกใจอีกครั้ง “หนิวโหย่วเต๋อทำอะไรคุณหนูไปแล้ว?”
หยางชิ่งโบกมืออย่างจนใจ “ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด เขาไม่ได้ทำอะไรเวยเวย ตอนนี้ยังทำอะไรกับเวยเวยไม่ได้ด้วย เพียงแต่ความล้มเหลวในครั้งนี้ คงทำให้เวยเวยสูญเสียโอกาสในการเป็นฮูหยินเอกตลอดไป ทำให้ตำแหน่งฮูหยินเอกของอวิ๋นจือชิวมั่นคงยิ่งขึ้นเช่นกัน ข้าเพียงเฝ้าหวังว่าอวิ๋นจือชิวจะไม่เป็นอะไร ถ้าเกิดเรื่องกับอวิ๋นจือชิวขึ้นมา ก็อาจจะถึงเวลาตายของเวยเวยแล้ว ต่อให้เวยเวยไม่ตาย แต่เหมียวอี้ก็จะทำให้นางอยู่มิสู้ตาย!”
“เพราะอะไรคะ?” ชิงจวี๋เบิกตากว้าง
หยางชิ่งถอนหายใจ “เรื่องไม่ได้ซับซ้อนเลย! ข้าเคยลงมือกับอวิ๋นจือชิวไปแล้วครั้งหนึ่ง รอยร้าวก่อนหน้านี้เหมือนเพิ่งจะหายไป ครั้งนี้ข้าก็ลงมือกับจูเก๋อชิงอีก ขอเพียงไม่ใช่คนโง่ก็ล้วนมองออก ว่าท้ายที่สุดข้าจะเพ่งเล็งไปที่ตำแหน่งของอวิ๋นจือชิว ถ้าในภายหลังเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับอวิ๋นจือชิว ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับข้าหรือไม่ เหมียวอี้ก็จะสงสัยข้าอยู่ดี เดิมทีข้าก็ระวังสิ่งนี้อยู่แล้ว ตอนนี้กลับตกหลุมพรางความฉลาดของตัวเอง…ดังนั้นจากที่ข้าเห็นตอนนี้ ไม่ใช่แค่ต้องหวังว่าอวิ๋นจือชิวจะไม่เป็นอะไร ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับอวิ๋นจือชิว พวกเราก็ต้องคิดหาทางปกป้อง ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ปล่อยให้เวยเวยอยู่อย่างมีความสุข ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์ของเขาตอนนี้ สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้!”
ชิงจวี๋ส่ายหน้าอย่างขมขื่น “นายท่าน บ่าวขออนุญาตพูดสิ่งที่ไม่สมควร ที่จริงท่านไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้เลย มีเรื่องราวมากมายที่ท่านคิดไปเองฝ่ายเดียวทั้งนั้น คุณหนูเองอาจจะไม่อยากช่วงชิงตำแหน่งฮูหยินเอกเลยก็ได้!”
“เจ้านี่นะ!” หยางชิ่งยกมือขึ้นชี้นาง แล้วถอนหายใจ “เวยเวยนางเด็กนั่นน่ะ ตอนนี้นางก็คิดไปเองฝ่ายเดียวเหมือนกัน จะบอกว่าวิสัยทัศน์ไม่กว้างไกล ก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป ใช่! ตอนนี้นางไม่อยากช่วงชิงจริงๆ แต่ในอนาคตล่ะ? ในอนาคตถ้านางมีลูกแล้ว ก็จะพบว่าเกิดจากบิดาเดียวกันแท้ๆ เพียงแต่ตัวเองเป็นอนุภรรยา ลูกของตัวเองจึงต้องก้มหัวต่ำกว่าพี่น้อง ความอัปยศต่างๆ จะตามมาไม่หยุดหย่อน ถึงตอนนั้นไม่ต้องให้ข้าเตือนหรอก เดี๋ยวนางก็จะเข้าใจเองว่าอะไรเรียกว่า เสียใจทีหลัง!”
ชิงจวี๋เงียบไป คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่ามีเหตุผล พอเงยหน้าอีกครั้ง นางก็รีบเดินไปข้างเก้าอี้หยางชิ่ง คว้ามือของหยางชิ่ง คุกเข่าตรงหน้าเขา แล้วเงยหน้ามองเขา “นายท่านทั้งกังวลว่าในอนาคตเหมียวอี้จะมาสะสางบัญชีเรื่องจูเก๋อชิง แล้วก็หวังให้คุณหนูกลายเป็นฮูหยินเอกด้วย ไม่สู้เตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ล่ะคะ!”
“อ้อ!” หยางชิ่งก้มมองนาง แล้วถามอย่างสนใจ “เตรียมตัวยังไง?”
ชิงจวี๋กล่าวด้วยสายตาแน่วแน่ “ในเมื่อรู้แล้วว่าอาจจะมีจุดจบไม่ดี นายท่านก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอีกว่าตัวเองจะไหวหรือไม่หรือทำสำเร็จหรือเปล่า ลองคิดหาทางยืนด้วยลำแข้งตัวเอง บ่าวเชื่อว่าอาศัยความสามารถของนายท่าน ควรค่าแก่การรอคอยแน่นอน!”
ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน นางคงไม่หวาดกลัวเหมียวอี้ขนาดนี้ ถึงขั้นชื่นชมเหมียวอี้มากด้วย ไม่มีทางพูดแบบนี้กับหยางชิ่งเด็ดขาด ทว่าเหมียวอี้ในตอนนี้เริ่มทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวบ้างแล้ว
พูดตามตรง เป็นเพราะอำนาจของเหมียวอี้มากขึ้นเรื่อยๆ คนส่วนใหญ่สภาพจิตใจล้วนเปลี่ยนตาม เหมียวอี้เองก็เป็นเช่นนี้ สภาพจิตใจที่ชิงจวี๋มีต่อเหมียวอี้ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
มีเรื่องมากมายที่ยากจะย้อนกลับไปในอดีต เหมียวอี้ในตอนนี้ไม่ใช่เหมียวอี้ขี้อายที่หลบอยู่ในอ่างอาบน้ำเหมือนตอนนั้นแล้ว ส่วนชิงจวี๋ก็ไม่ใช่ชิงจวี๋ที่ยืนหยอกล้อเขาอยู่ข้างอ่างอาบน้ำอย่างอุกอาจอีกแล้ว
“เหอะๆ!” หยางชิ่งหัวเราะเบาๆ ยกมือขึ้นลูบศีรษะนาง ในดวงตาฉายแววปลื้มใจ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เจ้าคิดหรอก เจ้าเชื่อมั้ยว่าขอเพียงข้ากล้าทำอย่างนั้น ไม่ต้องรอให้เหมียวอี้สังหารข้าหรอก จะมีคนมาเอาชีวิตข้าทันที ถ้าเขาคิดจะทำลายข้าในตอนนี้ ก็เรียกได้ว่าง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ!”
“ใครกัน?” ชิงจวี๋ตกใจ
หยางชิ่งปล่อยนาง ลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วเดินเนิบนาบไปริมหน้าต่าง กล่าวด้วยสายตาเลื่อนลอย “เป็นคนหนึ่งที่ทำให้ประมุขพุทธะหวาดกลัว เป็นคนหนึ่งที่ทำให้ประมุขชิงหวาดกลัว เป็นคนหนึ่งที่กดให้ผู้เหลือรอดของหกลัทธิไม่กล้ากระดิกกระเดี้ย ข้าไม่รู้เลยว่าในมือของคนผู้นั้นมีไพ่เยอะขนาดไหน แต่ข้ากลับรู้สึกได้ว่ามือนั่นกำลังผลักดันสถานการณ์ทุกอย่างอยู่ในความลึกลับ ถ้าไม่มีคนผู้นั้นแอบช่วยเหลือ เหมียวอี้ก็ไม่มีทางได้ความสำเร็จในวันนี้เลย เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ ซ่อนตัวลึกไม่เปิดเผย สูงส่งเกินคาดเดา มีความสามารถอันน่าทึ่ง ทั้งยังมีความอดทนต่อเป้าหมายมากด้วย คนแบบนี้น่ากลัวมาก เขารู้จักข้าแจ่มแจ้งชัดเจน แต่ข้ากลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ที่ไหน ข้าถึงขั้นกังวลว่าการที่จินม่านเข้าใกล้ข้าก็เป็นแผนของเขาเหมือนกัน จูเก๋อชิงตายไปคนเดียว ในสายตาเขาไม่นับเป็นเรื่องใหญ่เลย แต่ถ้าไปล้ำเส้นเขาและทำงานเขาพัง นั่นก็น่าจะถึงคราวตายของข้าแล้ว ตอนนี้ข้าไม่มีคุณสมบัติอะไรไปสู้กับเขา ต่อให้ข้าไปขอพึ่งพาประมุขชิงที่ตำหนักสวรรค์ แต่ก็รอดพ้นความตายได้ยากอยู่ดี…”
พอหันตัวมาเห็นชิงจวี๋กำลังเบิกตากว้างมองตัวเอง หยางชิ่งก็ยิ้มบ้างๆ “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ข้ามีอีกเรื่องหนึ่งให้เจ้าไปจัดการ แอบทำให้อนุภรรยาคนอื่นๆ ของเหมียวอี้รู้เรื่องที่เขาลงโทษตายกับจูเก๋อชิง คงไม่ดีถ้าให้เวยเวยประกาศเรื่องนี้”
ชิงจวี๋เหม่อนิดหน่อย ถามอย่างไม่เข้าใจว่า “เพื่ออะไรคะ?”
หยางชิ่งเอามือไขว้หลัง หันตัวไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง แล้วกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “ถ้าการตายของจูเก๋อชิงเงียบเชียบแบบนี้ก็จะไร้ความหมาย จะให้ตายเปล่าไม่ได้ ต้องแสดงคุณค่าให้ใช้ประโยชน์บ้าง กระต่ายตายสุนัขจิ้งจอกร้องไห้ไง ฝังเมล็ดพันธุ์ไว้ในใจของพวกนางก่อน เพื่อรอโอกาสกระตุ้นในอนาคต ทางฝั่งอวิ๋นจือชิวพวกเราไม่สะดวกจะลงมืออีกแล้ว ทำได้เพียงเปลี่ยนแผน ต่อไปนี้เวยเวยต้องไม่แย่งชิง เปลี่ยนจากเคลื่อนไหวเป็นเงียบสงบ มองดูคนอื่นแย่งชิงกับอวิ๋นจือชิวอย่างเอาเป็นเอาตาย นี่ก็คือทางเลือกที่ดี!”
ชิงจวี๋เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน ที่แท้นายท่านก็ยังไม่ทิ้งโอกาสในการแข่งขันให้ลูกสาว สิ่งที่เรียกว่าไม่แข่งขัน ที่จริงแล้วก็เป็นการแข่งขันประเภทหนึ่งเหมือนกัน…
………………