พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1939 เดือดไม่หยุด
พูดแบบไม่น่าฟังหน่อยก็คือ บางครั้งราชันสวรรค์อย่างเขาก็เทียบกับชาวนาอันธพาลไม่ติด เพราะพวกนั้นสามารถทำตามอำเภอใจได้
“สนมรัก เจ้าทำให้ข้าลำบากใจแล้ว!”
“ฝ่าบาทได้โปรดอนุญาต!”
จ้านหรูอี้โขกศีรษะกับพื้น สาเหตุไม่ใช่เพราะบิดาอย่างเดียว เดิมทีนางก็มีพื้นเพมาจากการบัญชาการกองทัพอยู่แล้ว เป็นสตรีที่เลือดร้อนคนหนึ่ง นับถือทหารที่สู้ตายไม่ยอมแพ้แบบนี้มาก กอปรกับลูกน้องเก่าของบิดาส่วนใหญ่เป็นคนที่นางรู้จักมาตั้งแต่เด็ก ทุกคนล้วนดีกับนาง มีหรือที่นางจะนิ่งดูดายทนเห็นครอบครัวของคนเหล่านั้นได้รับความอัปยศ ดังนั้นนางจึงเต็มใจทุ่มเทสุดความสามารถ
“สนมรัก เจ้าลุกขึ้นก่อนเถอะ” ประมุขชิงยื่นมือไปประคองนางอีก
“หากฝ่าบาทไม่ตอบตกลง หม่อมฉันก็จะไม่ลุกขึ้นเพคะ!” จ้านหรูอี้ชักมือกลับ ไม่ยอมลุกขึ้น
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ประมุขชิงคงโมโหตั้งนานแล้ว อยากจะลุกหรือไม่ก็ตามใจ เขาคงเดินไปทันที แต่ยามเผชิญหน้ากับจ้านหรูอี้สภาพนี้ เขาโกรธไม่ลงสักนิดเลยจริงๆ ในอกกลับเต็มไปด้วยความจนใจ สุดท้ายก็ยื่นมือไปด้านข้าง ส่งแผ่นหยกให้ซ่างกวนชิงอ่าน “เจ้าดูนี่สิ”
ซ่างกวนชิงรับมืออ่าน เข้าใจถึงความลำบากใจของประมุขชิงแล้ว เขาย่อมรู้ว่าจ้านหรูอี้คือจุดอ่อนของประมุขชิง จะไม่คิดหาทางก็คงไม่ได้ หลังจากครุ่นคิดสักครู่ก็ตอบว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องให้ฝ่าบาทออกหน้าเอง ให้สองคนนั้นไปคิดหาทางเอาก็ได้”
ประมุขชิงเข้าใจทันทีว่าหมายถึงเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อ เขาลูบเคราพลางพยักหน้า สองคนนั้นยังรอการแต่งตั้งจากเขา ไม่อย่างนั้นต่อให้ได้ครอบครองอาณาเขตแล้วก็ไม่ได้ครอบครองอย่างชอบธรรม ขอเพียงใช้อำนาจกดดันสักหน่อย สองคนนั้นก็ไม่น่าจะขัดประสงค์ของเขาในเวลานี้ จากนั้นเขาจึงยื่นมือไปบังคับให้จ้านหรูอี้ลุกขึ้นยืน ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าไม่กล้ารับประกันว่าจะทำให้สนมรักสมปรารถนาได้ แต่จะพยายามเต็มที่!”
จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ในโถงหลัง เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อกำลังนั่งตรงข้ามกัน
ในเวลานี้ทั้งสองแบ่งอาณาเขตของลิ่งหูโต้วจ้งเรียบร้อยแล้ว ที่จริงก็เป็นการแบ่งครึ่งโดยไม่ให้ใครเสียเปรียบ ตอนนี้ไม่มีเวลามาคิดเล็กคิดน้อย แบ่งครึ่งไปเสียเลยจะได้ไม่มีใครเสียเปรียบ
ทั้งสองมาคุมที่นี่ด้วยตัวเองและกวาดล้างพรรคพวกที่เหลือของอิ๋งจิ่วกวง แต่สถานการณ์เหมือนจะไม่ค่อยดี สงฉีกับเฉาหยิน ทูตซ้ายขวาของอิ๋งจิ่วกวงนำยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งสังหารฝ่าวงล้อมออกไปแล้ว หนีหายไปในอาณาเขตดาวนิรนามอันกว้างใหญ่ กำลังพลที่จอมพลทั้งสองวางไว้ก็ค่อนข้างกระจายตัว ยังไม่สามารถรวบรวมกำลังสกัดไว้ได้ ดักทหารเล็กๆ ไว้ได้ไม่น้อย แต่สงฉีกับเฉาหยินนำคนส่วนหนึ่งหนีไปได้
จะว่าไปแล้ว การที่ทั้งสองหนีไปได้ก็ไม่พ้นเกี่ยวข้องกับกองทัพองครักษ์ หลังจากกองทัพองครักษ์โจมตีสังหารอิ๋งจิ่วกวงแล้ว ก็ทุ่มเทกำลังไปกับการล้อมปราบกำลังหลักของอิ๋งจิ่วกวง ไม่ค่อยออกแรงไล่ตามคนที่หนีไปสักเท่าไหร่ ไล่ตามไปสักพักก็ถอนกำลังแล้ว ไม่ได้กัดไม่ปล่อย ทิ้งปัญหาคาราคาซังไว้ให้เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อแล้ว
แน่นอน ทั้งสองไม่ได้ทุ่มเทความพยายามในการไล่ตามคนพวกนั้น แม้ทั้งสองจะคุมรักษาการที่นี่ แต่กลับไม่เป็นอุปสรรคให้ทั้งสองรีบระดมกำลังพลไปรับช่วงคุมอาณาเขตของลิ่งหูโต้วจ้งต่อ เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือควบคุมพื้นที่ของตัวเองในอาณาเขตทัพตะวันออกให้ได้ก่อน
ตอนนี้เถิงเฟยกำลังหน้าตึง เฉิงไท่เจ๋อยิ้มเจื่อนขณะถือกาสุรารินให้เขา “พี่เถิง ซ่างกวนชิงหมายความว่ายังไงกันแน่!”
ปั้ง! เถิงเฟยตบโต๊ะ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเยียบเย็น “ให้ข้าไว้ชีวิตจ้านผิงกับฮูหยิน ข้าก็อดทนไว้แล้ว ข้ารู้ว่าประมุขชิงโปรดปรานผู้หญิงคนนั้น แต่ตอนนี้ยังให้ข้าคิดหาทางปกป้องคนในครอบครัวที่เหลือรอดอีกเหรอ? ทหารเสี่ยงชีวิตอยู่บนสนามรบ ไม่น่าเชื่อว่าจะสู้ผู้หญิงคนเดียวที่ถอดกางเกงให้ไม่ได้ จะให้ข้าชี้แจงกับคนเบื้องล่างยังไงล่ะ?”
เฉิงไท่เจ๋อถอนหายใจ “พี่เถิง หลักการนี้ใช่ว่าข้าจะไม่รู้ แต่ในเวลาแบบนี้ท่านคิดว่าควรจะทำยังไงดีล่ะ?”
เถิงเฟยจ้องเขา “หลักการนี้คงไม่ต้องให้ข้าพูดหรอก เบื้องล่างติดตามเสี่ยงอันตรายกับข้า สู้ตายสู้ชีวิตแล้วก็ต้องได้ผลประโยชน์บ้าง เกรงว่าเบื้องล่างคงจะมีคนไม่น้อยที่เพ่งเล็งทรัพย์สมบัติกับสาวงามในตระกูลพวกนั้น นี่ก็คือสิ่งที่จะมอบเป็นรางวัลให้ทุกคน ถ้าจู่ๆ ข้าแย่งเนื้อที่กำลังจ่อมาถึงปากพวกเขา จะมีใครสบายใจบ้างล่ะ?”
“หมายความว่าเจ้าจะขัดบัญชาหรือ?” เฉิงไท่เจ๋อยิ้มแห้ง
เถิงเฟยหน้าตึงไม่ตอบอะไร หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ก็บอกว่า “ถ้าประมุขชิงอยากจะทำอย่างนี้จริงๆ ก็ให้ประมุขชิงมีบัญชามาเองสิ แล้วถ้าจะปฏิบัติตาม!”
“ไอ๊หยา! มีเจ้าพูดเพราะอารมณ์โกรธไม่ใช่หรอ? เพราะประมุขชิงเอ่ยปากสั่งไม่ได้ไง ถึงได้ให้เจ้ากับข้าเป็นแพะรับบาป”
“แล้วข้าสะดวกเอ่ยปากหรือไง?”
เฉิงไท่เจ๋อเงียบไปครู่เดียว จากนั้นก็ขมวดคิ้ว “งั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน! ทุกคนถอยคนละก้าว ให้ประมุขชิงมีบัญชาลงมา ว่าจะไม่แต่งตั้งตำแหน่งให้จ้านผิงกับฮูหยินอีกตลอดไป กักบริเวณไปทางชีวิต! ส่วนคนในครอบครัวพวกนั้น สามารถปล่อยคนไปได้ แต่ต้องทิ้งทรัพย์สินทั้งหมดไว้ ส่วนพวกผู้หญิง ในภายหลังก็ยังมีโอกาส ไม่ได้ลิ้มรสก็คงไม่ตาย แล้วข้าค่อยให้ร้านค้าพวกนั้นชดเชยให้พวกทหาร เธอคิดว่ายังไง?”
เป็นฝ่ายหลีกทางผลประโยชน์ให้แบบนี้ก็เพราะไม่มีทางเลือก ตอนนี้ถ้าเถิงเฟยไม่ยอมรับปาก ก็จะส่งผลกระทบกับการแต่งตั้งตำแหน่งอ๋องของเขาด้วย อย่างไรเสียคนก็อยู่ทางฝั่งเถิงเฟย
เถิงเฟยก้มหน้าก้มตาพูด “เธอคิดว่าพวกลูกน้องจะปล่อยคนพวกนั้นไปหรอ? มีความแค้นถึงชีวิต ทิ้งปัญหาพวกนั้นไว้ใครบ้างจะไม่กังวล? เกรงว่าตอนแรกคงเชื่อฟังคำสั่งข้าแล้วปล่อยไป แต่ตอนหลังคุณจะแอบชิงตัวคนไป แล้วข้าจะไปเอาเรื่องพวกเขาได้เหรอ? ถึงตอนนั้นถ้าประมุขชิงมาหาว่าข้ากลับคำพูดแล้วจะทำยังไงล่ะ?”
เฉิงไท่เจ๋อระยะไกล “นี่เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับพวกเรา พวกเราทำได้ถึงขั้นนี้ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว เรื่องอื่นควรจะให้ประมุขชิงไปกังวลเอาเอง”
เถิงเฟยหลับตาถอนหายใจ “พี่เฉิงจัดการเองตามเห็นสมควรก็แล้วกัน” นับว่าตอบตกลงแล้ว
เฉิงไท่เจ๋อหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับซ่างกวนชิงนานมาก แล้วก็ดื่มสุราเงียบๆ ครู่หนึ่งเพื่อรอฟังข่าว หลังจากได้รับข่าวจากซ่างกวนชิงอีกครั้ง ก็เก็บระฆังดาราอย่างมีแผนการในใจแล้ว ถึงได้บอกเถิงเฟยว่า “ทางนั้นรับปากแล้ว พวกเราไม่ต้องห่วงเรื่องคน ทางนั้นจะรับจ้านผิงกับฮูหยินไปกักบริเวณไว้ชั่วคราว ต่อไปจะจัดการยังไงก็ไม่ต้องให้พวกเราสนใจ ตอนนี้ก็ถึงคราวพวกเราที่ต้องคิดหาข้ออ้างกับลูกน้องให้ปล่อยคนแล้ว”
ขณะทั้งสองกำลังครุ่นคิด ลูกน้องคนหนึ่งของเถิงเฟยก็วิ่งเข้ามา “ท่านจอมพล ทหารคนหนึ่งของลิ่งหูโต้วจ้งมาขอพบท่านจอมพล”
เถิงเฟยเอียงหน้ามอง แล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านไหน?”
เฉิงไท่เจ๋อก็มองอย่างสนใจเช่นกัน ไม่รู้ว่าเป็นใครที่ไม่ได้ไปกับลิ่งหูโต้วจ้ง
ทหารที่มาตอบว่า “ชื่อว่าเฉาว่านเสียง ฮูหยินของเขาคือญาติห่างๆ ของจ้านผิง จ้านผิงต้องการจะสู้ตาย แต่เฉาว่านเสียงไม่รู้ว่ามองออกหรือเปล่าว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล กลัวตาย ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ติดตามไปด้วย หลังจากทรยศจ้านผิงแล้ว คงเดาออกว่าอยู่ฝั่งนี้คงไม่ได้มีจุดจบที่ดี ตอนหลังคิดจะหนีไป ปรากฏว่าโดนเพื่อนร่วมงานดักไว้ ตกมาอยู่ในมือพวกเราแล้ว รู้ว่าเขาเกี่ยวข้องกับจ้านผิง พวกลูกน้องอยากจะฆ่าเขา แต่เขาขอร้องไว้ ขอพบท่านจอมพล”
เถิงเฟยพูดเหยียดหยาม “ญาติห่างๆ ของจ้านผิงบ้าอะไรล่ะ จะฆ่าก็ฆ่าไปสิ ไม่มีอะไรต้องพบ ให้ลูกน้องจัดการเอาเองเถอะ”
“ช้าก่อน!” เฉิงไท่เจ๋อยกมือห้าม แล้วกล่าวขณะครุ่นคิดว่า “เฉาว่านเสียง ทำไมข้าคุ้นหูชื่อนี้มาก เหมือนจะเคยได้ยินมาก่อนตอนไหนก็ไม่รู้”
ทหารที่มารายงานตอบด้วยรอยยิ้ม “จอมพลเฉิงความจำดีมาก กำลังจะพูดเรื่องนี้พอดี ตามที่เบื้องล่างรายงานมา เดิมทีเฉาว่านเสียงคนนี้เป็นหัวหน้าภาคคนหนึ่งในสังกีดจอมพลเฉิง เป็นลูกน้องคนสนิทของท่านโหวเทียนหยวน ตอนหลังได้รับผลกระทบจากเทียนหยวน เลยซวยไปด้วย เทียนหยวนเคยรู้จักกับจ้านผิงตอนที่อยู่ตระกูลอิ๋ง จึงอาศัยเส้นสายของจ้านผิงปกป้องลูกน้องส่วนหนึ่งไว้ได้ ตอนนั้นเฉาว่านเสียงก็เลยไปเป็นลูกน้องของจ้านผิง ในภายหลังเพื่อที่จะสร้างเส้นสายกับจ้านผิง จึงทิ้งฮูหยินของตัวเอง แล้วไปแต่งงานกับญาติห่างๆ คนนั้นของจ้านผิง จอมพลทั้งสองทราบหรือเปล่าว่าฮูหยินคนก่อนที่ถูกเฉาว่านเสียงทิ้งคือใคร?”
เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อสบตากัน แล้วเถิงเฟยก็หันกลับมาตะคอกถาม “จะมัวอุบไว้ทำไม?”
ทหารตอบด้วยรอยยิ้ม “ตอนหนิวโหย่วเต๋อเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกที่ตลาดสวรรค์ นางก็เป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก ทั้งยังเข้าร่วมการทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิตกับหนิวโหย่วเต๋อด้วย เคยได้รับรางวัลจากฝ่าบาท ตอนหลังหนิวโหย่วเต๋อเลื่อนตำแหน่ง นางก็กลายเป็นลูกน้องของหนิวโหย่วเต๋อ หลังจากหนิวโหย่วเต๋อย้ายออกจากตลาดสวรรค์ ทั้งสองก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน จนกระทั่งผู้หญิงคนนั้นถูกเฉาว่านเสียงทิ้ง ก็เลยไปขอพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋ออีก ตอนนี้เป็นลูกน้องคนสนิทอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว ฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อ ชื่อว่ามู่หรงซิงหัว! เพราะลูกน้องรู้ว่าความสัมพันธ์ระดับนี้อาจจะมีประโยชน์ต่อท่านจอมพล ถึงยังไม่ฆ่าเขา หลังจากข้าน้อยทราบเรื่องแล้ว ถึงได้บังอาจมารบกวนท่านจอมพล”
“อ๋อ! “เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อร้องอ๋อยาวๆ พร้อมกัน ถ้าพูดถึงเฉาว่านเสียง ทั้งสองอาจไม่รู้จัก แต่ถ้าพูดถึงพวกลูกน้องคนสนิทข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ ทั้งสองก็พอรู้จักอยู่บ้าง รู้ว่ามู่หรงซิงหัวคือใคร
“ข้าก็ว่าอยู่ว่าทำไมชื่อเฉาว่านเสียงถึงคุ้นหู ไม่ผิดหรอก เรื่องก็เป็นอย่างนั้นแหละ” เห็นได้ชัดว่าเฉิงไท่เจ๋อเริ่มนึกออกแล้ว หันกลับไปมองเถิงเฟยแล้วบอกอีกว่า “ก่วงลิ่งกงส่งข่าวมาแล้ว กำลังพลกลุ่มนั้นของลิ่งหูโต้วจ้งคงจะไปขอพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อแล้ว แล้วฮูหยินคนก่อนของเฉาว่านเสียงก็กลายเป็นลูกน้องคนสนิทของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ถ้าเก็บคนนี้ไว้ เมื่อถึงเวลาอาจจะมีประโยชน์ก็ได้!”
“เลิกกันแล้วก็เลิกกันสิ ยังจะมีประโยชน์อะไรอีก?”
“ทำความเข้าใจสถานการณ์ของทั้งสองก่อน แล้วค่อยจัดการก็ยังไม่สาย”
ทหารที่มากล่าวว่า “เฉาว่านเสียงคนนี้เพื่อที่จะรอดชีวิต เรียกได้ว่าทำทุกวิถีทาง ถ้าใช้เส้นสายอะไรได้ก็ใช้หมด คาดว่าคงรู้แล้วเหมือนกันว่าอดีตภรรยาของตัวเองเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อ เป็นความหวังเดียวที่จะทำให้เขารอดชีวิตได้ในตอนนี้ ดังนั้นเขาย้ำไม่หยุดว่า เขากับอดีตภรรยายังมีความรู้สึกต่อกันอยู่ เรียกได้ว่าเป็นฟางเส้นสุดท้ายในการช่วยชีวิต”
เถิงเฟยพิจารณานิดหน่อย แล้วพยักหน้าเบาๆ “ตอนนี้ไม่มีเวลามาสนใจเขา ไม่พบ! กักตัวไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน จะให้คนไปสืบเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับมู่หรงซิงหัวก่อนว่าเป็นยังไงกันแน่ ถ้าพูดโน้มน้าวมู่หรงซิงหัวไม่ได้ หรือไม่ส่งผลกระทบอะไรกับมู่หรงซิงหัว ก็ประหารไปซะ!”
“รับทราบ!” ทหารเอ่ยรับคำสั่ง
แม้ตอนนี้ตำหนักสวรรค์จะยังไม่ประกาศต่อใต้หล้าอย่างเป็นทางการ แต่เรื่องที่อิ๋งจิ่วกวงก่อกบฏและโดนประหารก็แพร่ข่าวไปทางใต้หล้าแล้ว ใต้หล้าเดือดปุดๆ เดือดไม่หยุด วิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่ว จู่ๆ อ๋องสวรรค์แห่งยุคก็ถูกโค่นล้มลงอย่างนี้ คนส่วนใหญ่ยังรู้สึกเหลือเชื่อ
ตอนนี้มีอีกสถานการณ์หนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของใต้หล้าอีกครั้ง จู่ๆ ก็เปลี่ยนผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์หมดแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ในใต้หล้ากลายเป็นคนของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลทั้งหมดในชั่วพริบตาเดียว หมายความว่าหนิวโหย่วเต๋อควบคุมตลาดสวรรค์ได้ทั้งหมดในชั่วพริบตาเดียว
ทว่าเกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ สามอ๋องสวรรค์ เถิงเฟย เฉิงไท่เจ๋อกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิด
จวนท่านปู่สวรรค์ สวนต้องห้าม เซี่ยโห้วลิ่งที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้กลับคำรามเสียงต่ำด้วยสีหน้ามืดครึ้ม “นางตัวแสบ ข้าว่าเจ้าคงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว!”
เมื่อได้ข่าวว่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เปลี่ยนคน เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าโดนเหมียวอี้วางกับดักแล้ว เกรงว่าสำนักลมปราณคงไม่กลับมาที่ร้านขายของชำอีก สิ่งที่ทำให้เขาคับแค้นใจที่สุดก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะสมคบกับหนิวโหย่วเต๋อทำเรื่องนี้ลับหลังเขา ทรยศกันจริงๆ!
เว่ยซูที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจ พอได้ยินแบบนี้ก็ต้องเตือนว่า “นายท่าน ยังจำเรื่องที่นายท่านใหญ่กำชับไว้ก่อนละสังขารได้หรือไม่ขอรับ?”
…………………………