พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1946 มีคนตั้งใจจะลอบสังหารผู้สำเร็จราชการ
พวกเขารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เหมียวอี้ยังรู้สึกเก็บกดในใจ หันกลับมาตะคอกเรียก “เหิงอู๋เต้า!”
ฝั่งสมาชิกครอบครัว มีแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งถลันตัวเข้ามา แล้วกุมหมัดคารวะด้วยใบหน้าขื่นขม “ผู้ตรวจการใหญ่!”
กองทัพที่ยอมแพ้เหล่านี้ ไม่ว่าจะวรยุทธ์สูงหรือต่ำ ในตอนนี้แต่ละคนเรียกได้ว่าโวยวายอะไรไม่ได้
เหมียวอี้จ้องเขาพร้อมถามอย่างเย็นเยียบ “ถ้าจัดการเรื่องนี้ตามกฏทหาร ควรจะลงโทษคนพวกนี้ยังไง?”
เหิงอู๋เต้าปากแห้งกระหายน้ำ ขยับลูกกระเดือก แล้วกล่าวตอบอย่างยากลำบาก “ประหาร…”
เหมียวอี้ชี้กลุ่มคนที่คุกเข่าทันที แล้วกวาดมองสายตาแต่ละคู่ที่อยู่ท่ามกลางทัพใหญ่ พร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดังว่า “ทั้งจวนผู้สำเร็จราชการฟังให้ดี ถ้ามีคนเกียจคร้านแบบนี้อีก ตัดสินลงโทษเหมือนกัน!” จากนั้นก็โบกมือ “ประหาร!”
“ผู้ตรวจการใหญ่…”
กลุ่มคนที่คุกเข่าหวาดกลัวแล้ว พากันดิ้นรนขอร้อง
กำลังพลของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลกลับไม่มีอะไรให้เกรงใจ ยกดาบในมือขึ้นมาแล้ว เลือดสดสาดกระจายกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ศีรษะคนกลิ้งบนพื้น คนนับพันชะตาขาดในชั่วพริบตาเดียว เลือดไหลนองเต็มพื้น ร่างล้มลงชักกระตุกอยู่บนพื้น
ทัพใหญ่ได้สติขึ้นมาในชั่วพริบตาเดียว ไม่มีการปราณีเพียงเพราะเจ้าเพิ่งมาหรืออยู่ในสถานการณ์พิเศษ ไว้ว่าก่อนหน้านี้จะมีความสัมพันธ์อะไร เป็นกำลังพลสายตรงอะไร มีความสนิทสนมอย่างไร ไม่อยู่ต่อหน้าผู้สำเร็จราชการผู้นี้ สิ่งเหล่านั้นล้วนไร้ประโยชน์ เรื่องอิ๋งจิ่วกวงทุ่มกำลังความคิดเพื่อปรับปรุงกองทัพ ไม่เกิดขึ้นกับท่านนี้ที่นี่เลย!
เมื่อก่อนตอนอยู่ทัพตะวันออก มีเรื่องน้ำใจและความสัมพันธ์มาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรก็จะมีคนมาขอร้องให้ แต่วันนี้ไม่มีใครออกมาขอร้องให้สักคน และผู้สำเร็จราชการท่านนี้ก็ไม่ให้โอกาสใครขอร้องด้วย สั่งประหารเสียเลย!
แต่ละคนในทัพใหญ่มีสีหน้าตึงเครียด ความตระหนักรู้ใหม่โผล่เข้ามาในหัวแล้ว ว่าสถานที่นี้ไม่เหมือนกับสถานที่ในอดีตแล้ว!
ผู้หญิงไม่น้อยที่อยู่บนพื้นที่ราบตกใจจนสีหน้าดูไม่ได้ รีบหันหน้าหนี ไม่กล้ามองอีก
ปี้เยว่ค่อนข้างพูดไม่ออก ตราบใดที่ทำงานร่วมกับเจ้าหนุ่มนี่ ไม่ว่าจะไปไหนก็จะเห็นเขาเปิดฉากสังหารใหญ่โตเสมอ ตอนอยู่ตลาดสวรรค์ก่อนหน้านี้ก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว อีกฝ่ายเพิ่งมาขอพึ่งพา แต่จะเอาก็สังหารคนชุดนี้แล้ว ทำแบบนี้เหมาะสมแล้วหรือ?
พวกฝูชิงยังดีหน่อย ตอนอยู่ที่ตลาดสวรรค์พวกเขาคุ้นชินกับลักษณะการทำงานของเหมียวอี้ตั้งนานแล้ว
“ไม่ว่าก่อนหน้านี้พวกเจ้าจะตำแหน่งสูงหรือมีอำนาจมากขนาดไหน ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเป็นกำลังพลสายตรงของใคร ไม่สนด้วยว่าปูมหลังพวกเจ้าจะใหญ่โตขนาดไหน เมื่ออยู่ที่นี่ต้องรู้จักไว้คำเดียวเท่านั้น กฏทหาร! ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ ขนาดอิ๋งจิ่วกวงข้ายังไม่กลัว นับประสาอะไรกับพวกเจ้า! คนเยอะแล้วเก่งนักหรือไง? รู้ไว้แค่ว่าคนที่ยอมแพ้แม้จะมีมากขนาดไหน แต่ก็เป็นเพียงสวะไร้ประโยชน์ สวะไร้ประโยชน์อย่างพวกเจ้า ข้ารู้จักมานานแล้ว ตอนอยู่สระน้ำมังกรดำ กำลังพลหนึ่งแสนแดนรัตติกาลโจมตีสิ่งที่เรียกว่าทัพเกรียงไกรห้าล้านจนโงหัวไม่ขึ้นด้วยซ้ำ ก็เพราะมีลูกน้องขยะอย่างพวกเจ้าไง อิ๋งจิ่วกวงถึงได้ล้มไม่เป็นท่า…”
แสงจันทร์เก้าดวงส่องสว่างบนท้องฟ้า ระหว่างฟ้าเดินมีเพียงเหมียวอี้ที่ยืนร่ายอิทธิฤทธิ์ด่าอยู่ข้างๆ กองศพ การด่าครั้งนี้แทบจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ชี้หน้าด่ากำลังพลหลายสิบล้านเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามเต็มๆ
คนกลุ่มนี้เรียกได้ว่าถูกด่ายับเยิน ถูกด่าจนกลายเป็นคนต่ำทรามจัญไร ถูกด่าจนดูกลายเป็นพวกไร้น้ำยา ไม่มีใครเถียง ได้แต่ทนโดนด่าอยู่อย่างนั้น ต่อให้ในใจจะขุ่นเคือง แต่อยู่ดีๆ ใครจะกล้ากระโดดออกมาเถียงในเวลานี้ สิ่งนี้กลับเพิ่มอำนาจบารมีให้เหมียวอี้มากขึ้น!
มีผู้หญิงไม่น้อยฟังจนอับอายแทนผู้ชายในบ้านตัวเอง ผู้ชายของตัวเองแย่เหมือนที่เคยด่าเลยเหรอ?
และมีผู้หญิงไม่น้อยพึมพำในใจ ฮูหยินอวิ๋นจือชิวคนนั้นดูไม่เลวเลย ทำไมผู้ตรวจการใหญ่ท่านนี้ถึงด่าแบบนี้ได้ แม้แต่คำพูดสกปรกหยาบคายพวกนี้ก็พูดออกมาได้ ไม่หิวน้ำบ้างเหรอ? จะด่าไปถึงเมื่อไรกัน?
แม้แต่อวิ๋นจือชิวที่อยู่ไกลๆ ก็พูดไม่ออกเช่นกัน เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเหมียวอี้ด่าคนแบบนี้ พอได้เอ่ยปากก็พูดไม่รู้จักหยุดหย่อน
สำหรับเหมียวอี้ ไม่ด่าไม่ได้หรอก พวกลิ่งหูโต้วจ้งถูกกำจัดไปแล้ว ถ้าเขาไม่ฉวยโอกาสนี้สร้างบารมีความน่าเชื่อถือ แล้วจะรอถึงเวลาไหนล่ะ?
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาก็เดือดดาลมากจริงๆ ศัตรูมาถึงหน้าบ้านแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่ามีศัตรูมา ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้บัญชาการทัพคนอื่นก็ทนสิ่งนี้ไม่ได้เช่นกัน รับกำลังพลหลายสิบล้านมาแล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีไว้ประดับเฉยๆ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เขาก็สามารถโดนคนอื่นพังบ้านได้ทุกเมื่อ
พอด่าจบ เหมียวอี้ก็หันกลับมาตะคอกอีกว่า “หลงซิ่น!”
“อยู่!” หลงซิ่นถลันตัวออกมา
เหมียวอี้ชี้เขาพร้อมตะคอกว่า “การป้องกันด้านนอก ตอนนี้เจ้าเป็นคนควบคุมดูแล แต่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้วเจ้ามีส่วนรับผิดชอบหรือไม่?”
หลงซิ่นพูดไม่ออก พึมพำในใจว่า เรื่องนี้โทษข้าได้เหรอ? ไม่ใช่คนใต้บังคับบัญชาของข้าสักหน่อย จะไปรู้ได้ยังไงว่าคนชุดนี้จะเป็นแบบนี้! แต่ถ้าดึงดันพูดอย่างนี้จริงๆ เขาเองจะมีทางเลือกอะไรได้ ทำได้เพียงกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยทราบความผิด!”
“ลดยศหนึ่งขั้น! ปรับค่าจ้างหนึ่งร้อยปี! ปรับปรุงการวางกำลังป้องกันใหม่เดี๋ยวนี้ ถ้าเกิดเรื่องอย่างนี้อีก ก็ถือหัวมาพบข้าได้เลย ไสหัวไป!” เหมียวอี้ตะคอก
“ขอรับ!” หลงซิ่นถอยออกไปอย่างกลุ้มใจ เขาไม่ได้โกรธเรื่องนี้ เขารู้ว่าตัวเองสร้างปัญหาเรื่องเกาเหยียน ยังไม่รู้เลยว่าก่วงลิ่งกงจะเล่นพิเรนทร์อะไรอีก แม้แต่ชิงเยว่ยังด่าว่าเขาเลอะเลือน ตอนนี้ถ้าเหมียวอี้จะใช้เขาเพื่อสร้างบารมี เขาก็ต้องยอมรับไว้
เหมียวอี้หันหน้าเดินออกไป หยางเจาชิงกลับเตือนอย่างรู้สถานการณ์ “นายท่าน เรื่องลงโทษลดยศตำแหน่งยังไม่จบไม่ใช่หรือขอรับ?”
เหมียวอี้เอียงหน้ามองเหวินเจ๋อที่ถูกมัดไว้ แล้วตะคอกว่า “ทำต่อไป” พูดจบก็เหาะขึ้นฟ้าไป
หยางเจาชิงโบกมือไปทางเหวินเจ๋อทันที ทางนั้นปล่อยเหวินเจ๋อแล้ว
“ทำต่อไป!” เหวินเจ๋อพูดทิ้งท้ายเช่นกัน จากนั้นรีบตามเหมียวอี้ไป
นอกจวนหัวหน้าภาค ทั้งสองเหยียบลงพื้นตามๆ กัน เหวินเจ๋อตะโกนปนเสียงหัวเราะอยู่ข้างหลัง “น้องชาย ขนาดข้ายังโดนเจ้ากระทำแบบนี้แล้ว เจ้ายังโกรธอยู่อีกเหรอ? เจ้ามัดข้าไว้อย่างนี้ ถ้าข้ารายงานขึ้นไปที่ตำหนักสวรรค์ เจ้าจะต้องได้รับผลที่ตามมาแน่!”
เหมียวอี้หยุดฝีเท้า แล้วหันตัวมาบอกว่า “เจ้าไปรายงานสิ รอให้เจ้ารายงานจบแล้ว ข้าค่อยลงมือกับเจ้าอย่างโหดเหี้ยมอีกที เจ้าเชื่อหรือไม่?”
“พอๆๆ ข้าเชื่อแล้วตกลงมั้ย? นี่คือถิ่นของเจ้า เจ้ามีพวกเยอะกว่า มีกำลังพลเข้มแข็งเกรียงไกร ข้าไม่เชื่อไม่ได้หรอก มีใครไม่รู้ถึงความเจ๋งของผู้ตรวจการใหญ่หนิวบ้าง ขนาดอิ๋งจิ่วกวงยังกล้าสู้ด้วย เจ้าเคยกลัวใครเสียที่ไหนล่ะ?” เหวินเจ๋อยกมือสองข้างห้ามเขา เดินมาตรงหน้าเขา ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ที่จริงในใจเจ้าก็รู้ชัดดีกว่าใคร เรื่องนี้มีแต่ผลดี ไม่มีผลเสียต่อเจ้า!”
เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย “เช่นนั้นก็ควรจะบอกข้าล่วงหน้าก่อนหรือเปล่า? ถ้าแม้แต่สิ่งนี้ยังทำได้ แล้วลูกน้องจะทำงานยังไง?”
เหวินเจ๋อยักไหล่ “เรื่องบางเรื่องมีแต่ต้องทำเท่านั้น พูดไม่ได้! พอทำสำเร็จแล้วค่อยให้เจ้ารู้ก็ไม่เป็นอะไร ถ้าทำพลาดแล้วก็จะไม่เอ่ยเรื่องนี้กับใคร ฝ่าบาทเองก็ไม่เคยมีบัญชาฆ่าทหารที่ยอมแพ้มาก่อน! เจ้าน่าจะเข้าใจหลักการนะ แล้วอีกอย่าง ต่อให้เจ้ารู้แล้วยังไงต่อล่ะ? อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์?”
เหมียวอี้เงียบไป ไม่ผิดหรอก เรื่องนี้ต่อให้เขารู้ล่วงหน้า เขาก็มีแต่ต้องให้ความร่วมมือ เขาจึงตอบประชดว่า “ฝ่าบาทช่างทุ่มเทเพื่อสิ่งนี้!”
เหวินเจ๋อตอบด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเจ้าจะพูดอย่างนี้ ก็ใช่ว่าจะพูดไม่ได้ ตอนนี้มีเรื่องหนึ่งที่ข้าจะเปิดเผยให้เจ้ารู้ แม้อิ๋งจิ่วกวงจะตายไปแล้ว แต่บุคคลสำคัญในครอบครัวบางส่วนหนีไปได้แล้ว ทั้งยังมีทหารกล้าไม่น้อยที่รอดไปได้ มีปลาหลุดแหไปไม่น้อยเลย เจ้าน่าจะเข้าใจความหมายที่ข้าพูดนะ”
เหมียวอี้ตะลึงเล็กน้อง แววตาวูบไหว ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมประมุขชิงจึงลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้ ถ้าลิ่งหูโต้วจ้งยังมีอิทธิพลต่อกำลังพลสายตรงพวกนี้ ใครจะกล้ารับประกันว่าผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋งจะไม่ติดต่อกับลิ่งหูโต้วจ้ง นี่คือทัพใหญ่ห้าสิบล้านนะ ผลประโยชน์ของลิ่งหูโต้วจ้งเองก็ตกฮวบ จะมีความคับแค้นอะไรหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้ ถ้าไปสมคบกับผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋งขึ้นมา ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่อยากจะคิด!
เขาเข้าใจแล้ว ตอนแรกประมุขชิงอาจจะยังไม่คิดสังหารพวกลิ่งหู แต่หลังจากมีผลการรบครั้งสุดท้ายออกมา ประมุขชิงก็เกิดเจตนาสังหารต่อลิ่งหูโต้วจ้งแล้ว ไม่มีทางให้โอกาสลิ่งหูโต้วจ้งกุมกำลังพลห้าสิบล้านนี้อีกต่อไป ยอมฆ่าผิดตัวดีกว่ายอมปล่อยไป ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือไม่อยากให้โอกาสตระกูลอิ๋งกลับตัวอีก!
ในจุดนี้เข้านึกไม่ถึง คาดว่าหยางชิ่งก็คงนึกไม่ถึงเช่นกัน สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อน เพราะเขากับหยางชิ่งไมได้รู้ข้อมูลข่าวสารของศึกใหญ่แบบครอบคลุมทุกด้าน จนกระทั่งตอนนี้พวกเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตระกูลอิ๋งมีปลาลอดแหมากเท่าไรกันแน่ แต่ประมุขชิงอยู่ในจุดที่สูงส่ง มองเห็นทุกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ รายงานลงโทษลดยศตำแหน่งที่ตัวเองส่งขึ้นไปเป็นแค่หนึ่งในโอกาสในการลงมือของประมุขชิงเท่านั้น ประมุขชิงไม่ได้ว่างมาช่วยเขาปรับปรุงกำลังพล นั่นคือเรื่องของเขา เป็นเขาเองที่คิดมากไปแล้ว
นี่คือราชันสวรรค์เชียวนะ! เหมียวอี้แอบทอดถอนใจ ก่อนหน้านี้ประมุขชิงสิ้นเปลืองกำลังความคิดไปมากขนาดนั้น แต่ทำให้ตนมองเบาะแสไม่ออกเลยสักนิด
ไม่ว่าจะอย่างไร ตัวเองก็ได้รับผลดีจากเรื่องนี้แล้วจริงๆ! แต่เหมียวอี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะขอบคุณ กลับเหล่ตามองเหวินเจ๋อ “ฮวาอี้เทียนเป็นคนที่เจ้าแอบพามาสินะ?”
เหวินเจ๋อหัวเราะเบาๆ แล้วส่งสายตาที่สื่อว่า เรื่องนี้เจ้ารู้อยู่แก่ใจแล้ว ถามอีกก็ไม่มีความหมาย
เหมียวอี้กลับไม่ยอมปล่อยผ่าน ถามอีกว่า “ลิ่งหูโต้วจ้งก็ไม่ใช่ไก่อ่อน ไปลงมือกันที่ไหน ทำไมข้าถึงไม่รู้ความเคลื่อนไหวสักนิด?”
“ข้าจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ” เหวินเจ๋อยักไหล่สองข้าง กะพริบตาปริบๆ
เหมียวอี้หันหน้าหนีแล้วเดินจากไป ขี้คร้านจะสนใจเขาแล้ว
“ผู้ตรวจการใหญ่วันนี้ด่าได้สะใจเชียวนะ ควรค่าที่จะดื่มให้ถึงอกถึงใจ พวกเราดื่มสุราต่อเถอะ” เหวินเจ๋อกล่าวปนเสียงหัวเราะอยู่ข้างหลัง
“ไสหัวไป! ตรงนี้ไม่มีที่ให้เจ้าดื่มสุรา” เหมียวอี้ที่เดินก้าวยาวไม่เกรงใจเลยสักนิด
“หึ! ทุกครั้งที่มาเจ้าล้วนเสแสร้งรั้งข้าไว้ ก่อนหน้านี้ข้าไม่มีเวลามาโอ้เอ้ ตอนนี้ไม่ง่ายเลยที่จะได้อยู่นานขึ้นสักหน่อย เจ้าดันเก่งซะแล้ว…”
“ข้าก็แปลกใจเหมือนกัน เจ้ามีฐานะเป็นคนของกองทัพองครักษ์ ยังกล้ามาเกาะแกะกับคนเบื้องล่างอย่างพวกเราอีก? อัธยาศัยดีเกินไปไม่กลัวปัญหาจะมาถึงตัวเหรอ?”
“เหอะๆ ในเมื่อน้องชายถามถึงแล้ว ถ้าข้ามัวปิดบังอีกก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ที่ข้ามาครั้งนี้ก็ไม่คิดจะกลับไปกรอก เตรียมจะมาหากินที่นี่กับเจ้าระยะยาว”
เหมียวอี้ที่เดินอยู่ข้างหน้าพลันหยุดเดิน ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างแล้ว หันตัวมาหรี่ตาจ้องเขา “หมายความว่ายังไง?”
เหวินเจ๋อกระพริบตา แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะด้วยใบหน้าแข็งทื่อ “เจ้าเองก็รู้ว่าอยู่ที่วังสวรรค์น่าเบื่อเกินไป ข้าอยู่ที่วังสวรรค์มาหลายปีขนาดนั้น ควรจะผ่อนคลายได้แล้ว พวกเราสนิทสนมกันหลายปี เจ้าคงไม่ใจแคบขนาดนั้นหรอกมั้ง!”
“อย่ามาเล่นลูกไม้นี้!” เหมียวอี้เลิกคิ้ว แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนว่า “ทหาร มาไล่ตะเพิดให้ข้าหน่อย!”
ตรงจุดใกล้ๆ มีกำลังพลกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาทันที ทหารหนึ่งในนั้นยื่นมือเชิญ “ขุนพลเหวิน เชิญเถอะ!”
เหวินเจ๋อหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกทันที “พอได้แล้ว! พูดจาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจ ต่อให้ไล่ก็ไล่ไม่ไปหรอก!”
“จับไว้!” เหมียวอี้พลันตะโกน
“นี่ๆๆ!” เหวินเจ๋อผลักซ้ายผลักขวา แต่ก็ไม่สะดวกจะขัดขืน จึงถูกจับคาที่ ถูกกดศีรษะให้ก้มลงแล้ว เขามองพื้นพลางร้องโวยวาย “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าอย่าทำเกินไปนัก เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “มีคนตั้งใจจะลอบสังหารผู้สำเร็จราชการ ลากออกไป ประหารซะ!”
……………