พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1948 สุดท้ายก็ยังต้องดูคนรุ่นหลัง
เซี่ยโห้วท่าเดินออกมายืนอยู่ใต้ชายคาอย่างเอื่อยเฉื่อย ขณะมองคล้อยหลังกลุ่มเด็กน้อยที่ซนเหมือนลิงวิ่งกระโดดโลดเต้นออกไป ในดวงตาก็ฉายแววอมยิ้มบางๆ
หลังจากเว่ยซูทำความเคารพอยู่ข้างๆ แล้ว ทั้งสองก็เดินตามกันออกมาจากรั้วสวน แล้วเดินเล่นเรื่อยเปื่อยอยู่บนทางเล็กในชนบท พอเดินมาถึงบนสะพานเล็กตรงประตูหมู่บ้านก็หยุดยืนอยู่กับที่
เซี่ยโห้วท่าหันกลับไปมองควันจากการทำอาหารที่ลอยขึ้นมาในหมู่บ้านแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามเสียงเบา “เพิ่งจากกันไปไม่นาน ทำไมถึงมาอีกแล้ว?”
เว่ยซูโค้งตัวเล็กน้อย “ช่วงนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย อยากจะฟังความเห็นของนายท่านขอรับ”
“จะมีความเห็นอะไรได้? ตอนนี้ความเห็นของข้าไม่สำคัญแล้ว เข้าใจหรือเปล่า?” เซี่ยโห้วท่าหันกลับมาจ้องเขาแล้วชี้แนะ จากนั้นก็เดินลงจากสะพานไม้โค้ง เดินช้าๆ ตามทางต่อไป
เว่ยซูตามอยู่ข้างหลัง “หลังจากคุณชายรองลงมือ สถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก แม้บ่าวจะปลอบใจคุณชายใหญ่แล้ว แต่ในใจก็ยังกระวนกระวาย”
“มีอะไรน่ากระวนกระวาย? กังวลว่าจะตีขวดพวกนั้นแตกเหรอ?” เซี่ยโห้วท่ากล่าวปนเสียงหัวเราะสองสามประโยค แล้วก็กล่าวด้วยความปลงอีกว่า “เจ้ารองคนนี้ สุดท้ายก็ยังอดไม่ไหวที่จะลงมือ เจ้าคิดว่าอยู่ดีๆ เขาจะเล่นงานอิ๋งจิ่วกวงจนถึงตายไปทำไมล่ะ? ทำลายความสมดุลเสียแล้ว! อดทนการยั่วยุไม่ไหว โดนหนิวโหย่วเต๋อปลุกปั่น ตอนนี้จบกัน โดนจูงจมูกแล้ว เจ้าอยากจะสร้างบารมี แต่กลายเป็นจุดอ่อนในมือคนอื่น ผลประโยชน์ที่มาส่งให้ถึงประตูบ้าน จะกินได้ง่ายๆ อย่างนั้นเชียวหรือ ตอนนี้เป็นฝ่ายถูกกระทำแล้วสินะ? แต่ข้าก็เข้าใจความรู้สึกของเจ้ารองได้ สำหรับเขาแล้ว การกุมอำนาจของตระกูลคือเรื่องที่สำคัญที่สุด ดังนั้นข้าก็บอกไม่ได้เช่นกันว่าอะไรถูกอะไรผิด ปล่อยให้เขาทำไปเถอะ”
“ประเด็นสำคัญในตอนนี้ก็คือคุณชายรองไม่สามารถใช้งานกำลังพลของตระกูลได้ ทุกที่ล้วนหดมือหกเท้า ไม่มีทางแสดงความสามารถได้เต็มที่” เว่ยซูกล่าว
เซี่ยโห้วท่าเอียงหน้ามองเขแวบหนึ่ง “สงสัยที่เจ้ามาครั้งนี้เพราะมีเรื่องจะพูดสินะ!”
เว่ยซูตอบว่า “บ่าวเพียงรู้สึกว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ล้วนไม่เป็นผลดีต่อคุณชายรองและตระกูลเซี่ยโห้ว…”
“เจ้าอยากจะให้ข้าแอบลงมือแทรกแซงเหรอ?” เซี่ยโห้วท่าพูดแทรกเขา ถามกลับแล้ว
เว่ยซูเงียบไป สุดท้ายก็แข็งใจพูดว่า “เป็นอย่างที่นายท่านบอก ตอนนี้คุณชายรองถูกหนิวโหย่วเต๋อจูงจมูกแล้ว เกรงว่าในภายหลังจะเสียเปรียบมาก”
“เจ้านี่นะ เสียเปรียบนิดหน่อยก็ทนไม่ไหวเสียแล้ว เมื่อก่อนเจ้าก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
“ตอนที่นายท่านเป็นหัวหน้าตระกูล สถานการณ์ทั้งหมดล้วนอยู่ในการควบคุม คุณชายรองไม่มีความสามารถในการควบคุมเหมือนท่าน หากเป็นอย่างนี้ต่อไปเกรงว่าจะเกิดปัญหา”
“สถานการณ์ที่เจ้ารองเผชิญ เมื่อเทียบกับตอนที่หนิวโหย่วเต๋อยังต่ำต้อยแล้วเป็นอย่างไร? เงื่อนไขแต่ละด้านได้เปรียบกว่าไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบากขนาดนั้น ขนาดหนิวโหย่วเต๋อยังไต่เต้าขึ้นมาได้เลย สิ่งนี้ไม่ควรค่าให้เจ้ารองทบทวนตัวเองเชียวหรือ? ตอนนี้จุดแย่งชิงผลประโยชน์อยู่ตรงไหนล่ะ? ก็แค่ร้านขายของชำเท่านั้นเอง ทนรับความเสียเปรียบนี้ไม่ไหวเหรอ? เจ้าลืมไปแล้วหรอว่าหุ้นของร้านขายของชำนั่นได้มาจากมือใคร? ในปีนั้นหนิวโหย่วเต๋อโดนตบจนฟันหักแต่ยังต้องกลืนฟันลงท้อง เสียเปรียบแต่พูดไม่ได้ จำเป็นต้องส่งหุ้นส่วนนั้นมา กล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อแลกกับสถานการณ์ภาพรวมชั่วขณะ ทำไมตระกูลเซี่ยโห้วถึงคุ้นชินกับการได้อย่างเดียวโดยไม่เสียซะแล้วล่ะ? ข้าอธิบายหลักการไม่ชัดเจนเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องร้านขายของชำขอรับ บ่าวรู้สึกว่าครั้งนี้หนิวโหย่วเต๋อสุขุมเยือกเย็นต่อคุณชายรองเกินไป เหมือนมีแผนสำรองบางอย่าง”
“แผนสำรอง? มีแผนสำรองจริงๆ ต้องคิดเยอะด้วยเหรอว่ามีแผนสำรองอะไร? อยู่ที่แดนรัตติกาลแต่สามารถสู้กับเจ้ารองได้อย่างสุขุมเยือกเย็นขนาดนี้…” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เซี่ยโห้วท่าก็ชำเลืองมองเว่ยซูแวบหนึ่ง แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เปลี่ยนประเด็นสนทนา “เจ้ารองอยากจะใช้วิธีการโค่นล้มอิ๋งจิ่วกวงมาสร้างบารมี เกรงว่าแผนนี้จะสูญเปล่าแล้ว พี่น้องพวกนั้นของเขาคงไม่ให้เขาสมปรารถนา ในระยะเวลาอันยาวนี้ เจ้ารองคงเลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้รับการสนับสนุนจากพี่น้อง แค่ไม่ขัดแข้งขัดขาก็ถือว่าดีแล้ว ต้องดูแล้วว่าเจ้ารองจะแก้ไขสถานการณ์ยังไง”
เว่ยซูถูกเขาพูดตัดบทจนคันหัวใจเกินทน ทำไมตอนจะพูดประเด็นสำคัญถึงเงียบไปแล้วล่ะ? เขารู้ว่าอาศัยไหวพริบสติปัญญาของเซี่ยโห้วท่า จะต้องมองอะไรออกแล้วแน่นอน จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “แผนสำรองของหนิวโหย่วเต๋อคืออะไรขอรับ?”
เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจ “เว่ยซู จุดประสงค์ที่ข้าแกล้งตายคืออะไร เจ้ารู้ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ?”
เว่ยซูเงียบไปแล้ว
เซี่ยโห้วท่าสายตาเลื่อนลอย ประคองไม้เท้าเดินเอื่อยเฉื่อยอยู่บนทางขรุขระ สูดกลิ่นหอมของต้นหญ้าเขียวชอุ่มแล้วพ่นลมหายใจยาว “ข้ารู้ว่าในใจเจ้ากังวลอะไร เจ้าหวังให้ข้าแอบลงมือคุมหางเสือเรือของตระกูลเซี่ยโห้วอีกครั้ง แต่ยิ่งเจ้าเป็นแบบนี้ ข้าก็ยิ่งกังวล นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเองนะ อีกฝ่ายเพิ่งลงไพ่ในมือ ยังไม่ทันรู้แม้กระทั่งไปรับของอีกฝ่าย ก็จะบีบให้ข้าออกมาอีกครั้งแล้วหรือ ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีใครแล้วจริงๆ น่ะเหรอ? ที่แกล้งตายก็เพื่อหลอกคนนอก แต่กลับหลอกตัวเองไม่ได้ ช้าเร็วข้าก็ต้องตายอยู่ดี ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วไร้คนแล้วจริงๆ ข้าลงมือแล้วจะมีความหมายอะไร? ก็แค่ปกป้องตระกูลเซี่ยโห้วไว้ได้อีกไม่กี่หมื่นปีเท่านั้น ก็แค่เลื่อนปัญหาที่ต้องเผชิญตอนนี้ออกไปไม่กี่หมื่นปีก็เท่านั้นเอง อีกไม่กี่หมื่นปีหลังหากข้าตายแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วจะทำยังไงล่ะ? ปัญหาที่เผชิญตอนนี้ ในภายหลังก็ยังต้องเผชิญอยู่ดี ยังต้องให้พวกเขาแก้ไขกันเอง ข้าเคยบอกกับเจ้าตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้ให้พวกเขาเสียเปรียบมากหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ถ้าไม่เสียเปรียบ ไม่ผ่านความยากลำบาก แล้วจะยืนทระนงอยู่ท่ามกลางความนาวเหน็บได้อย่างไร? ตอนนี้ข้ายังเฝ้าดูอยู่ ยังประคองตอนตึกใหญ่จะล้มได้ ช่วงเวลานี้ให้พวกเขาผ่านประสบการณ์ความพ่ายแพ้เพื่อเติบโต ถ้าโตได้ก็จะได้ต้อนรับยุคของพวกเขาเอง อยู่กับความรุ่งโรจน์ของตระกูลเซี่ยโห้วต่อไป ถ้าโตไม่ได้ข้าก็ทำได้เพียงยื่นมือประคองพวกเขาไว้สักระยะ แต่ข้าประคองพวกเขาเดินไปได้ไม่ไกลหรอก นั่คือการรักษาที่ยอดไม้ ไม่ใช่การรักษาราก! พอมาคิดดูตอนนี้ เป็นข้าเองที่วิสัยทัศน์ไม่กว้างไกลอาลัยอาวรณ์อยู่กับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลนานเกินไป ควรจะวางมือมายืนดูอยู่ไกลๆ ให้เร็วกว่านี้ ให้เวลาพวกเขามากขึ้นอีกหน่อย ถ้ารุ่นแรกไม่ไหว ไม่แน่ว่ารุ่นสองออกจะมีคนที่ยอดเยี่ยมโผล่ออกมาก็ได้ ข้าอยู่ในตำแหน่งนานเกินไป พวกเขาไม่กังวลถึงอนาคต ที่บอกว่าฝึกหนักอะไรนั่นล้วนเป็นเพียงฉากหน้าที่สวยงาม แต่ใช้การไม่ได้ ปัญหาเดียวกันนี้ไม่ได้เกิดกับแค่ตระกูลเซี่ยโห้วเท่านั้น แข่งขันกันไปก็ไร้ประโยชน์ ยิ่งต้นไม้ใหญ่มากเท่าไร ใต้ต้นไม้ก็ยิ่งรับลมเย็นได้มากเท่านั้น ยากที่จะเห็นแสง ต้นไม้เล็กๆ ที่อยู่ใต้นั้นก็ยิ่งเติบโตลำบาก นี่คือกฎธรรมชาติ เกียรติยศความร่ำรวยตรงหน้าล้วนเป็นสิ่งที่ใช้หลอกตัวเอง เมื่อต้นไม้ล้มเมื่อไร แล้วลมฝนมาพร้อมกัน ก็จะหวาดกลัวและได้เห็นความสามารถที่แท้จริง! ในราชสำนักมีให้เห็นทั่วไป สุดท้ายก็ต้องเผชิญกับสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่ไร้ผู้สืบทอดรุ่นหลัง ตอนนี้แข่งกันไปแข่งกันมาล้วนเป็นเรื่องน่าขำ สุดท้ายก็จะถูกคลื่นลูกหลังดันคลื่นลูกหน้า คนยุคใหม่แทนที่คนเก่า คนยุคหนึ่งทำแค่เรื่องในยุคตัวเองเท่านั้น เว่ยซู เจ้าต้องเข้าใจนะ ข้าใกล้จะเดินมาสุดทางแล้ว ยุคของข้ากำลังจะจบลงแล้ว สุดท้ายก็ต้องดูคนรุ่นหลัง”
เว่ยซูฟังอยู่ข้างหลังเขาเงียบๆ นับว่าเข้าใจแล้ว ถ้าไม่ถึงช่วงเวลาสำคัญที่ตระกูลเซี่ยโห้วกำลังเผชิญความเป็นความตายจริงๆ ท่านนี้ก็จะไม่สอดมือเข้ามายุ่ง มีแต่จะคอยดูอยู่ข้างๆ เท่านั้น ดูคนของตระกูลเซี่ยโห้วเจ็บปวด ดูคนของตระกูลเซี่ยโห้วร้องไห้ ดูคนของตระกูลเซี่ยโห้วดิ้นรนเอาชีวิตรอดท่ามกลางลมคาวฝนเลือด
“เจ้าน่ะ กลับไปเถอะ ทำไมระวังอีกก็ถึงเวลาพลาดได้เหมือนกัน ต่อไปนี้ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ก็อย่ามาที่นี่อีก”
“ขอรับ! บ่าวจะจำไว้”
เว่ยซูโค้งตัวค้างไว้นาน พอยืนตรงขึ้นมาอีกครั้ง ก็มองคล้อยหลังเงาร่างถือไม้เท้าที่ดูโดดเดี่ยวค่อยๆ เดินจากไปไกล…
เท้าเดินโซเซ รอบข้างมืดมิด อิ๋งอู๋หม่านรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองเดินออกจากความมืดไปยังอีกสถานที่มืดมิดอีกแห่งหนึ่ง
ทันใดนั้นด้านหลังก็มีแสงสว่าง อิ๋งอู๋หม่านรู้ตัวทันทีว่าตัวเองถูกปล่อยออกมาจากที่เก็บสมบัติแล้ว ตัวอยู่ในห้องศิลา ข้างหน้ามีโลงศพที่ทำจากหินวางอยู่หนึ่งโลง
เขาพลันหันตัวมองไปยังต้นกำเนิดแสงสว่างข้างหลัง แล้วก้าวถอยหลังด้วยความตระหนก ในมือเหยียนซิวกำลังถือไข่มุกราตรี ทำให้ใบหน้าที่เหมือนคนตายดูพิศวงยิ่งขึ้นอีก
อิ๋งอู๋หม่านมองไปรอบๆ อีกครั้ง แล้วถามเสียงต่ำว่า “จะขังข้าไว้ถึงเมื่อไหร่กันแน่?”
เหยียนซิวตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบแหบพร่า “ตระกูลอิ๋งล้มแล้ว อิ๋งจิ่วกวงตายแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะขังเจ้าไว้อีกต่อไป”
อิ๋งอู๋หม่านแสยะยิ้ม “เอาเรื่องนี้มาหลอกข้าก็ไม่มีประโยชน์หรอก พูดมาตามตรงเถอะ คิดจะให้ข้าทำอะไรอีก?” เขาไม่เชื่อเลยว่าตระกูลอิ๋งล้มแล้ว
“ไม่มีความจำเป็นที่จะเก็บเจ้าไว้อีก” เหยียนซิวพูดเบาๆ แล้วยกมือข้างหนึ่งขยุ้มกลางอากาศ กรงเล็บแหลมทั้งห้านิ้วยาวขึ้นอย่างช้าๆ ทั้งตัวเขาอบอวลไปด้วยปราณหยินที่เย็นเยียบ
“นักพรตผี?” อิ๋งอู๋หม่านเบิกตากว้าง เหมือนจะเชื่อไม่ลงว่ามีคนสามารถฝึกวิชาพร้อมกันได้ทั้งหยินและหยาง
ปราณผีที่เยียบเย็นออกมาจากฝ่ามือเหยียนซิว อิ๋งอู๋หม่านถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์เอาไว้ ไม่มีทางหลบได้ ปราณผีที่ราวกับงูเลื้อยเจาะเข้าไปในทวารทั้งเจ็ดของเขา ทั้งตัวสั่นเทิ้มอยู่อย่างนั้น ไม่นานก็ถูกปราณผีครอบเอาไว้แล้ว…
บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง จั่วเอ๋อร์ยืนทอดสายตาอยู่บนยอดเขาอันโดดเดี่ยว ในมือกำระฆังดาราไว้แน่น
ยังคงติดต่ออิ๋งจิ่วกวงไม่ได้ แม้นางจะรู้ข่าวจากช่องทางอื่นว่าอิ๋งจิ่วกวงรบตายแล้ว แต่ก่อนที่ตำหนักสวรรค์จะประกาศอย่างเป็นทางการ นางก็ยังกอดความหวังอันน้อยนิดเอาไว้ และตอนที่เพิ่งมาถึง นางก็ได้รับข่าวอีกแล้ว ว่าตำหนักสวรรค์ประกาศต่อใต้หล้าอย่างเป็นทางการ ว่าอิ๋งจิ่วกวงมีความผิดข้อหาก่อกบฏ ตัดหัวเสียบประจาน!
ชายชราคนหนึ่งเหาะเข้ามา เหยียบลงพื้นข้างหลังนาง แล้วกล่าวเสียงสั่น “พ่อบ้านจั่ว ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง…”
“ข้ารู้แล้ว” จั่วเอ๋อร์เงยหน้าถอนหายใจยาว เรื่องราวในอดีตยังชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น วันคืนที่ใช้ร่วมกับอิ๋งจิ่วกวงพรั่งพรูขึ้นมาในใจ ไม่ว่าอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าเจ้าอาณาเขตผู้ยิ่งใหญ่จะปิดฉากลงอย่างหดหู่ถึงเพียงนี้ ล้มลงในชั่วพริบตาเดียว ล้มลงจนทำให้คนรับมือไม่ทัน
“เดิมทีท่านอ๋องมีโอกาสรอด” ชายชรากล่าวเสียงสะอื้น
“ยืนมองสรรพสิ่งจากที่สูงมาเนิ่นนาน ยอมยืนตายดีกว่ามีชีวิตอยู่อย่างอัปยศ!” จั่วเอ๋อร์หลับตาอย่างหดหู่ แล้วก็ถอนหายใจ นางเก็บระฆังดาราแล้วถามว่า “หาอิ๋งเยว่เจอหรือยัง?”
ชายชราส่ายหน้า “หาไม่พบขอรับ พบเพียงข้อความของคุณหนูเยว่บนหน้าผาแห่งหนึ่ง บอกว่าถ้าจะให้ฟังคนในครอบครัวทะเลาะกัน ไม่สู้ไปล้างแค้นดีกว่า ในเมื่อทุกคนไม่เห็นด้วย นางก็จะไปคนเดียว บอกว่าถ้าไม่ได้ฆ่าประมุขชิง โพ่จวิน อู๋ฉวี่ เซี่ยโห้วลิ่ง เถิงเฟย เฉิงไท่เจ๋อกับหนิวโหย่วเต๋อ นางก็สาบานว่าจะไม่เป็นคนแล้ว!”
จั่วเอ๋อร์ก้มหน้ายิ้มอย่างขมขื่น “ยังวุ่นวายไม่พออีกเหรอ? ไร้เดียงสาจนน่าขำ อาศัยนางคนเดียวน่ะหรือ คนพวกนั้นมีใครบ้างที่ไร้กำลังทหาร มีใครบ้างที่นางมีเรื่องด้วยไหว คนตระกูลอิ๋งยังตายไม่มาพอหรือไง? ยังจะไปรนหาที่ตายอีก…”
ชายชรามองนางด้วยดวงตาที่คลอน้ำตา “พ่อบ้านจั่ว ตอนนี้พวกเราจะทำยังไงดี?”
ในขณะนี้เอง ชายหนุ่มคนหนึ่งถลันตัวเข้ามา แล้วตะโกนบอกว่า “พ่อบ้านจั่ว รีบไปดูหน่อยเถอะ ทะเลาะกันอีกแล้ว”
จั่วเอ๋อร์หันขวับ แล้วรีบถลันตัวไปที่นั่น
“ข้าคือพี่น้องของเจ้า นับตามลำดับอาวุโส ถึงคราวเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
“เจ้าลืมเรื่องที่เจ้าเสียหน้าในงานเลี้ยงวันเกิดเซี่ยโห้วท่าแล้วเหรอ? ท่านพ่อโยนเจ้าทิ้งไว้ข้างๆ นานแล้ว พวกไร้ความสามารถ ยังหวังให้เจ้าล้างแค้นให้ตระกูลอิ๋งได้อีกเหรอ?”
“ใครเป็นพวกไร้ความสามารถ? ต่อให้ไร้ความสามารถแต่ก็เก่งกว่าเจ้าแล้วกัน!”
ตรงตีนเขา อิงอู๋เชวียกับอิงอู๋เฟยกำลังเถียงกันอย่างดุเดือด ข้างหลังของทั้งสองล้วนมีมารดา พี่สาวน้องสาว ภรรยาและลูกตัวเองยืนอยู่ ยังมีอนุภรรยาบางส่วนของอิ๋งจิ่วกวงแบ่งฝ่ายยืนอยู่สองฝั่งเช่นกัน ตรงจุดไกลๆ มีคนนับพันมองดูเงียบๆ ล้วนเป็นทหารองครักษ์ที่ตามมาด้วยในครั้งนี้ พวกเขาไม่สะดวกจะเข้ามาแทรกแซงเรื่องในตระกูลอิ๋ง
สาเหตุที่เถียงกันก็ไม่ใช่อะไร เป็นเพราะรู้ข่าวว่าอิ๋งจิ่วกวงรบตาย กำลังเถียงกันว่าใครควรจะได้สืบทอดอำนาจในการควบคุมตระกูลอิ๋ง แม้ตระกูลอิ๋งจะล้มแล้ว แต่ก็จินตนาการได้เลยว่าต้องมีทรัพย์สมบัติมากมายทิ้งไว้แน่นอน คนในตระกูลไม่มีช่องทางรายได้อย่างอื่นแล้ว ต่อไปนี้ก็หวังได้เพียงมรดกพวกนี้แล้ว
……………