พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1953 อยากจะเดิมพันสักตั้ง
ก่วงลิ่งกงที่ยกส่งน้ำชาจิบขานรับ “อืม” จากนั้นก็ไอต่อเนื่องกันสองที แทบจะสำลักตาย พลันหันมาถามโดยจิตใต้สำนึกว่า “เขาตอบตกลงแล้วเหรอ?”
เสียงกู่ฉินเงียบแล้ว สองแม่ลูกมองมา ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรทำให้ท่านอ๋องมีปฏิกิริยามากขนาดนี้
ก่วงลิ่งกงรู้ตัวเช่นกันว่าตัวเองเสียอาการ จึงมองสองแม่ลูกแวบหนึ่ง
โกวเยว่ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน เขาย่อมพูดเรื่องนี้ต่อหน้าหวังเฟยและบุตรสาวไม่ได้เหมือนตอนอยู่กับท่านอ๋อง จึงถ่ายทอดเสียงตอบ เล่าเรื่องที่เพิ่งติดต่อกับเหมียวอี้
ก่วงลิ่งกงก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงเช่นกัน “เจ้าคิดว่าจริงหรือโกหก? เป็นเพราะเขารู้แล้วหรือเปล่าว่ากำลังจะเผชิญหายนะ ถึงได้ยอมแพ้?”
โกวเยว่ตอบว่า “เป็นไปได้ขอรับ แต่ว่าท่านอ๋องบอกว่ายังไม่ได้กระจายข่าวไม่ใช่หรือ?”
พอได้ยินแบบนี้ ก่วงลิ่งกงก็กลุ้มใจทันที ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ข่าวแล้วยอมแพ้ เช่นนั้นก็แสดงว่าตนรีบร้อนจัดการเรื่องนี้เกินไปหน่อย ถึงแม้การโจมตีกำจัดหนิวโหย่วเต๋อจะแก้ไขภัยพิบัติในภายภาคหน้าได้ แต่ตัวเองก็ไม่ได้ผลประโยชน์อะไร เพราะการแอบรับหนิวโหย่วเต๋อมาเป็นลูกน้องมีข้อดีมากเกินไป
แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องนี้ยากจะหันหลังกลับ เขาเป็นคนเริ่มเรื่องนี้ ถ้ากลับคำพูดอีกก็จะเปิดโปงเจตนาของตัวเองได้ง่ายๆ ถ้าทำให้คนสงสัยแล้ว จะดึงหนิวโหย่วเต๋อมาเป็นพวกเอกก็ไม่มีความหมายแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็ปลุกระดมให้เรื่องราวใหญ่โตแล้วด้วย ไม่อาจกดไว้ได้ง่ายๆ ใครจะไปรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อมีแผนการอะไร กอปรกับการกำจัดอำนาจของแดนรัตติกาลทิ้งก็มีจุดที่เป็นไปได้เช่นกัน
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ลงมือเรื่องตลาดสวรรค์แล้ว ถ้าหนิวโหย่วเต๋อขอให้ต้นระงับไว้อีก จะลงมือตอนนี้ก็สายไปแล้ว
หลังจากคุณคิดซ้ำไปซ้ำมา ก่วงลิ่งกงก็ส่ายหน้าเบาๆ “สายไปแล้ว”
โกวเยว่เข้าใจความคิดของเขา หยิบระฆังดารามาปฏิเสธเหมียวอี้ จากนั้นก็ถ่ายทอดความคิดของเหมียวอี้อีก “หนิวโหย่วเต๋อบอกว่า เข้าใจเจตนาของท่านอ๋องแล้ว เพียงแต่ยังหวังว่าท่านอ๋องจะพิจารณาให้ดีสักหน่อย เขาจะรอฟังข่าวจากท่านอ๋อง”
“สายไปแล้ว!” ก่วงลิ่งกงใส่หน้าเบาๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้จริงใจหรือหลอกลวง ถ้าเป็นเรื่องจริงขึ้นมาล่ะ? ก็นึกเสียใจทีหลังนิดหน่อยที่ตอนแรกสนใจศักดิ์ศรีมากเกินไป ทำไมไม่ยืนยันซ้ำอีกละ? บางทีตอนนั้นหนิวโหย่วเต๋อก็คำนึงถึงศักดิ์ศรีเหมือนกัน กังวลว่าตอบตกลงง่ายเกินไปจะดูไม่ดี
เรื่องราวที่ว้าวุ่นใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน เอาเป็นว่าครั้งนี้เขาถูกเหมียวอี้ทำให้กลุ้มใจแล้วจริงๆ ไม่มีอารมณ์จะฟังเสียงกู่ฉินอีกแล้ว…
สาเหตุที่ประมุขชิงหลบหน้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ก็เพราะมาเจอหน้ากัน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็จะบ่นเรื่องจ้านหรูอี้ อีกทั้งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยังมีเหตุผลด้วย นอกจากใส่อารมณ์ด้วยแล้ว เขาก้หาเหตุผลมาเถียงไม่ได้ แล้วจะให้เขาอยากพบนาอีกได้อย่างไร?
แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังต้องแยกแยะ พอซ่างกวนชิงได้ยินว่าเป็นเรื่องงาน ก็ไม่กล้าขัดขวางอีก หลังจากรายงานประมุขชิงแล้ว ก็พาเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มาพบประมุขชิงพี่กำลังเสแสร้งฝึกวิชา
แต่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ดันเดือดดาลทันทีที่เห็นประมุขชิง ต่อให้เรื่องของเหมียวอี้จะสำคัญสักแค่ไหน แต่พอพูดจบแล้วนางก็ข่มไฟโกรธไว้ไม่ได้ เอ่ยถึงเรื่องจ้านหรูอี้อีกแล้ว “ฝ่าบาท สถานที่กักขังจ้านหรูอี้ช่องทิวทัศน์ดี พวกน้องๆ ในวังเห็นแล้วชอบ ขนาดหม่อมฉันยังใจสั่นเลย ไม่สู้ให้หม่อมฉันยกตำหนักนารีสวรรค์ให้จ้านหรูอี้ แล้วให้หม่อมฉันไปอยู่ที่นั่นแทน”
ปาดเหงื่อ! ผู้หญิงคนนี้เอาอีกแล้ว…ซ่างกวนชิงรีบก้มหน้า ทำเหมือนไม่ได้ยินอะไร กลุ้มใจว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงไม่รู้จักอ่านสถานการณ์ ไม่รู้จักจบจักสิ้นสักที
ประมุขชิงสีหน้าบึ้งตึงทันที “ไม่สู้ยกตำแหน่งราชินีสวรรค์ให้นางไปด้วยเลยล่ะ!”
ชั่วพริบตานั้นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ราวกับแม่เสือตัวเมียที่โดนยั่วโมโห นางเงยหน้ายืดอก จ้องมองด้วยแววตาโกรธแค้น แล้วกล่าวเสียงดังว่า “ดี! เชิญฝ่าบาทถ่ายทอดคำสั่งเถอะ หม่อมฉันจะไม่บ่นเลย!”
ประมุขชิงตบโต๊ะยืนขึ้น “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าหรือไง?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พุ่งมาตรงหน้าเขาทันที แล้วตวาดว่า “ฝ่าบาทคือประมุขแห่งใต้หล้า ไม่มีเรื่องไหนที่ฝ่าบาทไม่กล้าทำ เชิญฝ่าบาทถ่ายทอดบัญชาได้เลย!”
ซ่างกวนชิงรู้สึกเหงื่อแตก ตั้งแต่เกิดเรื่องของจ้านหรูอี้ ราชินีสวรรค์ก็เหมือนกับไปกินดินปืนมา ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทยังสงบเสงี่ยมระวังตัว แต่ตอนนี้โยนท่าทีพวกนั้นทิ้งไปแล้ว พอเห็นฝ่าบาทก็โมโหจนกล้าพูดจาแข็งกร้าวด้วย ทั้งวังหลังไม่มีใครกล้ายั่วโมโหท่านนี้แล้วจริงๆ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือคนทั้งวังสวรรค์เห็นนานแล้วต้องหวาดกลัว
ประมุขชิงถูกนางยั่วโมโหจนตัวสั่น ชี้นางพร้อมด่าว่า “เจ้า…เจ้า…ได้ นี่เจ้าหาเรื่องใส่ตัวเองนะ!”
“ถูกแล้ว เป็นหม่อมฉันเองที่ไร้ยางอายหาเรื่องใส่ตัว ฝ่าบาทได้โปรดถ่ายทอดบัญชา!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เรายังโมโห
คำว่า ‘ไร้ยางอาย’ ไม่รู้ว่าพูดให้ใครฟัง ซ่างกวนชิงรีบพูดแทรกระหว่างทั้งสอง “เหนียงเหนียง ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเถียงกัน หนิวโหย่วเต๋อกำลังจะประสบหายนะ นี่ต่างหากคือเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้!”
พอได้ฟังเรื่องนี้ ในที่สุดก็ระงับไฟโกรธของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ นางสะบัดแขนเสื้อเดินก้าวยาวออกไป พร้อมพูดทิ้งท้ายว่า “หม่อมฉันจะรอคำสั่งของฝ่าบาท ถ้าฝ่าบาทไม่ถ่ายทอดคำสั่งนี้ ก็ไม่ถือว่าเป็นผู้ชาย!”
ซ่างกวนชิงปาดเหงื่อด้วยความอับอายอีกครั้ง
ซ่างกวนชิงจนใจมาก พบว่าประมุขชิงก็ร้องดังเช่นกัน จะถอดตำแหน่งราชินีสวรรค์เพื่อหลานสาวโจรกบฏคนเดียวได้อย่างไร ถ้าทำเรื่องนี้จริงๆ ก็จะบันเทิงใหญ่แล้ว ราชินีสวรรค์จะถูกปลดหรือไม่นั้นไม่รู้ แต่จ้านหรูอี้จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้แน่นอน ถ้าประมุขชิงอยากปกป้องจ้านหรูอี้ ก็ไม่กล้าแตะต้องราชินีสวรรค์เรื่องนี้เลย นอกจากโพ่จวินจะยอมรับไม่ได้แล้ว ตระกูลของราชินีสวรรค์ก็มีคนทำงานให้เหมือนกัน
สิ่งที่ทำให้คนอับจนปัญญาที่สุดก็คือ ไม่ว่าเมื่อไหร่ไม่ว่าเรื่องอะไร ราชินีสวรรค์ก็จะโยงไปที่จ้านหรูอี้เสมอ ไม่ว่าฝ่าบาทจะตำหนิหรือด่าทอราชินีสวรรค์ นางก็จะคิดว่าฝ่าบาททำเพื่อจ้านหรูอี้ ต่อให้ฝ่าบาทเผยรอยยิ้ม นางก็จะสะบัดแขนเสื้อแล้วพูดแขวะว่า ‘สงสัยนางตัวดีที่อยู่ตำหนักเย็นจะปรนนิบัติฝ่าบาทได้ดีมาก’ แล้วจะให้ฝ่าบาทรู้สึกอย่างไร!
แต่สำหรับซ่างกวนชิง ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า เขารู้สึกว่าเมื่อก่อนสองคนนี้ไม่เหมือนสามีภรรยากัน รู้สึกแปลกหน้าเกินไป ห่างเหินกันเกินไป ตอนนี้ต่างหากถึงจะมีรสชาติของสามีภรรยาแล้วจริงๆ
ใครจะคิดว่าประเดี๋ยวเดียวประมุขชิงก็ระบายความโกรธมาที่ตัวเขาแล้ว ชี้เขาพลางด่าว่า “มันเรื่องอะไรกันแน่? ทัพใหญ่สี่ร้อยล้านต้องการจะล้อมโจมตีจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ทำไมเรื่องใหญ่ขนาดนี้แต่ข้าไม่รู้เลยสักนิด ทำไมหนิวโหย่วเต๋อรู้เรื่องก่อน หรือว่าช่องทางข่าวสารของข้าสู้หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวไม่ได้? ข้าจะเก็บพวกเจ้าไว้ทำอะไรกิน?”
ซ่างกวนชิงรีบโค้งตัวพยักหน้า “บ่าวจะไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้”
“แล้วก็…” ประมุขชิงแทบจะคำรามข้างหูเขา “ต่อไปนี้ถ้าข้าไม่อนุญาต ก็ห้ามพาผู้หญิงปากร้ายคนนี้เข้ามาอีก!”
“ขอรับๆๆ!” ซ่างกวนชิงพยักหน้าซ้ำๆ คิดในใจว่า ก็เจ้าอนุญาตแล้วไงข้าถึงได้พามา!
เหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนหน้าผายังคงเดินไปเดินมาอย่างลังเล อยากจะติดต่อหยางชิ่ง แต่ก็รู้สึกอับอายนิดหน่อย อย่างไรเสียตอนแรกหยางชิ่งก็เคยโน้มน้าวเขาแล้ว แต่เขาไม่ฟังเอง
หลังจากลังเลหลายครั้ง เขาก็ยังหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางชิ่ง เล่าสถานการณ์ให้ฟัง หวังว่าหยางชิ่งจะมีวิธีการแก้ไขปัญหาที่ดี เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว บางทีอาจจะไม่สนใจแล้วว่าน่าอับอายหรือไม่
เพื่อให้หยางชิ่งรู้สถานการณ์โดยสมบูรณ์ จะได้วินิจฉัยได้สะดวก เขาไม่ได้ปิดบังเรื่องที่ปฏิเสธก่วงเม่ยเอ๋อร์
หยางชิ่งที่ยืนอยู่ในตึกศาลามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยรอยยิ้มขื่นขม จะให้เขาพูดว่าอะไรดีล่ะ?
บอกเหมียวอี้ว่าอย่าให้เกิดปัญหาเข้ามาแทรก แต่ตอนที่กำลังเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้น เหมียวอี้ก็ยังก่อเรื่องสำนักลมปราณจนได้ เพื่อเป่าเหลียนคนเดียวคุ้มค่าเหรอ? ตอนนี้ทำเอาเขาปวดหัวไปหมดแล้ว สำนักลมปราณเองก็เป็นทุกข์เช่นกัน คนที่ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกก็ยังไม่แน่ใจว่าเจ้ากับเป่าเหลียนมีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่ จะไม่ให้คนเข้าใจผิดว่าเจ้ากับเป่าเหลียนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันก็คงยาก ในภายหลังเจ้าจะให้อีกฝ่ายแต่งงานออกเรือนได้อย่างไร?
ต่อให้ทำเพื่อเป่าเหลียน เจ้าจำเป็นต้องสังหารเกาเหยียนในเวลานั้นเหรอ? เรื่องนี้โทษหลงซิ่นไม่ได้ เพราะถ้าเจ้าไม่ออกคำสั่ง หลงซิ่นก็คงไม่ทำเรื่องอย่างนี้ ผลปรากฏว่ายั่วโมโหให้ก่วงลิ่งกงลงมือแล้ว
ถ้าไม่มีเรื่องที่ยั่วโมโหก่วงลิ่งกงก่อนหน้านี้ ตอนหลังก่วงลิ่งกงก็อาจไม่เพ่งเล็งก็ได้ อาจจะสามารถนำเรื่องแต่งงานของลูกสาวมาขู่ให้จบเรื่องได้ อย่างไรเสียก่อนหน้านี้ก่วงลิ่งกงก็ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มา อาจจะไม่อยากสร้างปัญหาอีกแล้ว เดิมทีสามารถเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดีได้ เจ้ารับปากว่าจะแต่งงานกับลูกสาวของก่วงลิ่งกงแล้วจะเป็นไรไป ผู้หญิงของเจ้ามีเยอะเป็นกอง ไม่ถือสาที่จะแต่งงานรับมาเพิ่มอีกสักคนหรอก คุมสถานการณ์ตรงหน้าให้สงบก่อน เรื่องในอนาคตเดี๋ยวค่อยว่ากันภายหลัง จำเป็นต้องยั่วโมโหอีกฝ่ายต่อเนื่องกันในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ด้วยเหรอ คิดจริงหรือว่าอีกฝ่ายเป็นโคลนเหลวบีบง่าย ไม่ว่าจะเป็นใคร หากมีโอกาสก็อยากจะเล่นงานเจ้าทั้งนั้น
เรื่องที่ขยันปรับเปลี่ยนแผนการในตอนหลังก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ เลิกคิดไปได้เลยว่าจะเอาเรื่องที่ขัดแย้งกับตระกูลเซี่ยโห้วมาเบี่ยงเบนความกดดัน ตระกูลเซี่ยโห้วขี้คร้านจะสนใจเจ้าแล้ว เดี๋ยวก็มีคนมาจัดการเจ้าเอง แผนที่จะฉวยโอกาสควบคุมตลาดสวรรค์ก็ย่อมพังไปแล้ว ยังคิดจะอาศัยสำนักลมปราณสร้างช่องทางรายได้ใหม่ ตอนนี้ข้าอยากจะเห็นนักว่าเจ้าจะสร้างอย่างไร
หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง หยางชิ่งก็เขย่าระฆังดาราถาม : นายท่านเตรียมจะทำยังไง?
เหมียวอี้ : ถ้าไม่ไหวจริงๆ ข้าก็จะนำคนถอยไปเฝ้าน้ำพุวังเวง อาศัยสถานที่อันตรายมาป้องกัน!
ตอนนี้จะให้เขาหนีก็เป็นไปไม่ได้
หยางชิ่ง : ก็ใช่ว่าจะมีวิธีการเดียว เพียงแต่ในกำลังพลชุดนี้ ไม่รู้ว่ามีสายลับของอำนาจฝ่ายอื่นปะปนอยู่เท่าไร พอเกิดเรื่องขึ้นแล้วเผชิญความกดดันขนาดนี้ เกรงว่าอาศัยสถานที่อันตรายมาป้องกันก็อาจจะเฝ้าไม่ไหว ถ้าไม่ถึงคราวอับจนหนทาง ก็ยังไม่ต้องใช้วิธีนี้ดีกว่า
เหมียวอี้ : เจ้ามีวิธีการดีๆ อะไรหรือเปล่า?
หยางชิ่ง : วิธีการของข้าน้อยอาจจะไม่ได้ผล อยากจะเดิมพันสักตั้ง
เหมียวอี้ : ยินดีฟังความเห็นอันเหนือชั้น!
หยางชิ่ง : นายท่านต้องถอนกำลังคนมาจากตลาดสวรรค์เพื่อรอโอกาสเคลื่อนไหว หรือไม่ก็ทำสิ่งที่ควรทำต่อไปเสียเลย ทำเป็นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สองวิธีการนี้ล้วนเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ วิธีการแรกถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ลดความเสียหายได้มาก ส่วนวิธีการที่สอง ถ้าสถานการณ์เป็นใจก็สามารถปกป้องผลประโยชน์ตรงหน้าไว้ได้ ข้าน้อยรู้สึกว่าวิธีการที่สองมีโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เอื้อประโยชน์ต่อพวกเรามาก
เหมียวอี้ถามทันที : การเปลี่ยนแปลงอะไร?
หยางชิ่ง : ตอนนี้ข้าน้อยก็บอกได้ไม่ไม่ชัดเจน ก็แค่คาดเดาเท่านั้น ดังนั้นถึงได้บอกว่าอยากจะเดิมพันสักตั้ง เหลือแค่ต้องดูว่านายท่านจะอยากเดิมพันหรือเปล่า
เหมียวอี้ : เจ้ารู้สึกว่าประมุขชิงจะลงมือหรือเปล่า?
หยางชิ่ง : หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น แล้วถ้าพวกอ๋องสวรรค์ตัดสินใจจะร่วมมือกันล่ะ เกรงว่าประมุขชิงก็ต้องกังวลอยู่บ้าง ตราบใดที่มีโอกาสเหมาะ ประมุขชิงก็อาจจะลงมือได้
เหมียวอี้ : โอกาสชนะเดิมพันเป็นยังไง?
หยางชิ่ง : แพ้ชนะอย่างละครึ่ง นายท่านยังต้องเตรียมตัวกลับแดนอเวจีเพื่อปกกันเหตุไม่คาดคิดด้วย
หลังจากทั้งสองปรึกษากันพักหนึ่ง หยางชิ่งก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วหันตัวกลับมานั่งลงบนเก้าอี้นอน สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
“เป็นอะไรไป?” ชิงจวี๋เห็นสภาพดังนั้นก็เข้ามาถามใกล้ๆ
หยางชิ่งยิ้มเจื่อน แล้วเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ
“นายท่านอยากจะเดิมพันอะไร?” ชิงจวี๋แปลกใจ
หยางชิ่งขมวดคิ้วพร้อมตอบอย่างลังเล “เดิมพันว่าจะมีคนยื่นมือเข้ามา!”
“ใครคะ?” ชิงจวี๋ถาม
“คนที่หลบอยู่ข้างหลังเหมียวอี้ เหมียวอี้เดินมาถึงวันนี้ได้ ข้าเดิมพันว่าคนคนนั้นคงไม่ยอมเห็นเหมียวอี้ล้มง่ายๆ แน่ คนนั้นอาจจะยื่นมือเข้ามา!” หยางชิ่งตอบ
………………