พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1954 เป็นขุนนางไม่ได้ก็เป็นโจร
“อาจจะเหรอคะ” ชิงจวี๋ลองถาม “นายท่านยืนยันไม่ได้เหรอ?”
หยางชิ่งเอนกายแล้วส่ายหน้าตอบ “สถานการณ์ตอนนี้จัดการยาก อำนาจหลายฝ่ายร่วมมือกันใช้วิธีแข็งกร้าว อาศัยไพ่ที่อยู่ในมือพวกเราก็ยากจะงัดอะไรได้ มีเพียงคนที่รู้สถานการณ์ภายในอย่างเขายื่นมือเข้ามาเท่านั้นถึงจะมีน้ำหนักมากพอ แต่บรรดาอ๋องสวรรค์ร่วมมือกัน แม้แต่ประมุขชิงก็ยังกลัว เขาจะลงมือหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ เพราะจะเปิดเผยตัวได้ง่ายๆ”
เห็นหยางชิ่งเอ่ยถึงคนคนนั้นหลายครั้ง แต่กลับไม่บอกเลยว่าเป็นใคร ในเมื่อเขาไม่อยากพูด ชิงจวี๋ก็ไม่สะดวกจะถามมาก เพียงแต่ครั้งนี้รู้สึกแปลกใจมากจริงๆ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะลองถาม “นายท่าน คนที่ท่านพูดถึงคือใครกันแน่?”
หยางชิ่งเอียงหน้าจ้องนางตรงๆ สุดท้ายก็กล่าวออกมาช้าๆ ว่า “ประมุขไป๋!”
“…” ชิงจวี๋ตกตะลึงอ้าปากค้างทันที ทำสีหน้าอัศจรรย์ใจ ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
ส่วนเหมียวอี้ก็ไม่มีอารมณ์จะลาดตระเวนตรวจงานอีกแล้ว กำชับเรื่องนี้ลงไป ให้ทุกคนทำทุกอย่างเหมือนเดิม จากนั้นก็กลับมาที่จวนผู้สำเร็จราชการ
ส่วนเรื่องที่ทัพใหญ่จะบุกประชิดพรมแดน เหมียวอี้ไม่ได้บอกพวกเขา คนจะได้ไม่ว้าวุ่นใจ ขังตัวเองไว้ในห้องแล้วครุ่นคิด
ม่านราตรีห้อยลงมาเยือน หลังจากอวิ๋นจือชิวกลับมาแล้ว ก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติของเหมียวอี้ เมื่อเอ่ยถาม เหมียวอี้ก็ไม่ได้ปิดบังนาง เล่าสถานการณ์ให้นางฟังแล้ว
อวิ๋นจือชิวนั่งลงข้างเขา ตกอยู่ในความเงียบเช่นเดียวกัน หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ก็ถามว่า “หนิวเอ้อร์ ลงมือจากฝั่งโค่วหลิงซวีได้หรือเปล่า?”
“เจ้าหมายถึงเรื่องที่โค่วหลิงซวีแอบชุบเลี้ยงคนของพวกเราในกองทัพองครักษ์เหรอ?” เหมียวอี้ถาม
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “น่าจะขู่เขาได้”
เหมียวอี้ตอบว่า “ยากพอสมควร ก่วงลิ่งกงตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะสั่งหารข้า กดดันให้โค่วหลิงซวีถอยจะมีประโยชน์อะไร? อ๋องที่เหลือก็สามารถปราบฝั่งนี้ได้เหมือนเดิม ปัญหาสำคัญก็คือโค่วหลิงซวีไม่มีทางทำให้ตระกูลอื่นถอยเพราะเรื่องนี้ได้ ถ้าพวกเราใช้เรื่องนี้ข่มขู่ เช่นนั้นเรื่องที่พวกเรารู้สถานการณ์ก็จะถูกเปิดโปงเช่นกัน พวกเรารู้เรื่องนี้นานแล้วแต่กลับไม่รายงานขึ้นไปบอกประมุขชิง โค่วหลิงซวีสามารถย้อนกลับมาขู่พวกเราได้เลย เมื่อเขากังวลว่าพวกเราจะสู้จนมัจฉาตายตาข่ายขาด ก็จะถอนกำลังทหารเพื่อคุมให้พวกเราสงบ แต่กลับไม่สามารถหยุดยั้งไม่ให้คนอื่นแตะต้องพวกเราได้ ยิ่งไปกว่านั้นการเปิดโปงคนพวกนั้นในตอนนี้ก็น่าเสียดาย บางคนมีอนาคตไม่เลวเลย ครั้งนี้ก็มีคนได้เลื่อนตำแหน่งสูงอีกด้วย เก็บพวกเขาไว้ในอนาคตถึงจะมีประโยชน์มากขึ้น ถ้าไม่จนตรอกจริงๆ ก็จะเปิดโปงคนพวกนั้นไม่ได้”
สำหรับสถานการณ์ของคนพวกนั้น อวิ๋นจือชิวเข้าใจดีที่สุด ปกตินางเป็นคนรับผิดชอบติดต่อกับคนเหล่านั้น ในศึกกองทัพองครักษ์กับอิ๋งจิ่วกวง ในบรรดาคนพวกนั้นก็มีนับร้อยที่ได้สร้างผลงานและเลื่อนตำแหน่ง มีหลายคนที่ไต่เต้าถึงตำแหน่งรองหัวหน้าภาคแล้ว
ตรงนี้กำลังคุยกันเรื่องกองทัพองครักษ์ อวิ๋นจือชิวก็ได้รับข่าวจากทางกองทัพองครักษ์แล้ว นางหยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมาติดต่อ
หลังจากติดต่อจบแล้ว อวิ๋นจือชิวก็มองเหมียวอี้ที่นั่งอยู่ข้างกัน “เป็นเหลียวอิงถง”
“เหลียวอิงถง?” เหมียวอี้ ถามอย่างงงๆ “คนที่ดูแลชิงหยวนจุนน่ะเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “เหลียวอิงถงบอกว่าเขาถูกย้ายออกไปแล้ว กองทัพองครักษ์หาคนนอกมารับช่วงต่อตำแหน่งของเขา ชื่อว่าหวังติ้งเฉา”
“หวังติ้งเฉา?” เหมียวอี้สงสัย “ทำไมชื่อนี้ข้าฟังดูคุ้นๆ?”
อวิ๋นจือชิวบอกว่า “เหลียวอิงถงบอกว่าคนคนนี้นายท่านน่าจะรู้จัก เขาเข้าร่วมการทดสอบแดนอเวจีรอบแรกพร้อมกับนายท่าน ตรวจสอบได้รับรางวัลอันดับหนึ่งจากประมุขชิง”
“อ้อ!” เหมียวอี้พยักหน้าซ้ำๆ นึกออกแล้ว มีเรื่องนั้นอยู่จริงๆ เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจว่า “คนนี้น่าจะเป็นแม่ทัพภาคอยู่ที่ตลาดสวรรค์นะ ทำไมไปที่กองทัพองครักษ์ได้ ทั้งยังไปดูแลชิงหยวนจุนโดยตรง คงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกใช่ไหม?”
“อย่างอื่นเหลียวอิงถงไม่รู้ แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญตอนนี้ก็คือ เจ้าเตรียมจะทำยังไงกับวิกฤตที่อยู่ตรงหน้า?” อวิ๋นจือชิวถาม
เหมียวอี้เงียบไปนาน สุดท้ายก็กล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย “ควรจะทำยังไงก็ทำอย่างนั้น ใช้ว่าพวกเราจะไม่มีทางหนีทีไล่ ถ้าประมุขชิงไม่สนใจ ข้าก็ไม่เอารากฐานที่สร้างไว้ที่นี่แล้วก็ได้ อย่างมากก็แค่นำคนเข้าไปหลบในอาณาเขตดาวนิรนาม ต่อไปค่อยระดมกำลังพลของแดนอเวจีออกมาอีกที ช่วยกำลังพลหลายสิบล้านที่ค่าควบคุม แล้วในภายหลังถ้าว่างๆ ก็ค่อยเคลื่อนทัพออกมาก่อกวนพวกเขา ถ้าได้โอกาสก็ลงมือกวาดล้าง เป็นขุนนางไม่ได้ก็แค่เป็นโจร มีกำลังพลเกือบสองร้อยล้านอยู่ในมือ คนเท้าเปล่าไม่กลัวคนมีรองเท้าใส่หรอก ไปปล้นที่ไหนก็ปล้นได้ดี ทุกคนจะได้คิดเลยว่าจะอยู่อย่างสงบสุข ข้าตัดสินใจอย่างนี้แล้ว!” เขาตบโต๊ะยืนขึ้น ตัดสินใจอย่างแน่วแน่
หลังจากแน่ใจแล้วว่ามีทางหนีทีไล่ เขาก็ไม่มีอะไรให้กังวล ไม่ว่าเบื้องบนของตลาดสวรรค์จะเปลี่ยนคนหรือไม่ แต่เขาก็เร่งรัดให้ลูกน้องที่อยู่ทางตลาดสวรรค์จัดการเรื่องร้านค้าให้เป็นรูปธรรมต่อไป
นอกตำหนักนารีสวรรค์ ซ่างกวนชิงที่เดินมาถึงประตูลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะเข้าไปหรือไม่ หลังจากคิดไปคิดมาก ก็แข็งใจเดินเข้าไป
เมื่อเห็นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ซ่างกวนชิงก็ทำความเคารพด้วยรอยยิ้มทันที “คำนับเหนียงเหนียง!”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่นั่งสง่าอยู่เบื้องบนพ่นเสียงทางจมูก “ผู้การใหญ่ไม่ไปรับใช้ท่านที่อยู่ตำหนักเย็นเหรอ ทำไมถึงถ่อมาหาข้าได้ล่ะ ข้ารับไว้ไม่ไหวหรอก!”
ซ่างกวนชิงยิ้มอย่างขมขื่น รู้อยู่แล้วว่าเมื่อมาถึงก็จะโดนพูดฉีกหน้า ตอนนี้นางกล้าด่าแม้กระทั่งราชันสวรรค์ นับประสาอะไรกับการพูดฉีกหน้าเขา เขาได้แต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน กุมหมัดคารวะ “เหนียงเหนียง ท่านคงทราบแล้วว่าจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลกำลังจะเผชิญวิกฤต แต่ดูจากความเคลื่อนไหวของหนิวโหย่วเต๋อที่ตลาดสวรรค์ เหมือนไม่มีท่าทีจะถอนกำลัง กองทัพองครักษ์ที่อยู่ตลาดสวรรค์กำลังจะถอนกำลังแล้วขอรับ” เขากำลังเตือนให้คนของหนิวโหย่วเต๋อที่ตลาดสวรรค์รีบถอนกำลัง จะได้ลดความเสียหายที่ไม่จำเป็น
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ฟังก็รู้ทันทีว่าเป็นความคิดของประมุขชิง นางน้ำตบโต๊ะแล้วยืนขึ้น ทำให้ซ่างกวนชิงตกใจจนแทบกระโดด
“ถอนกำลังเหรอ? ทำไมคนที่ได้รับแต่งตั้งจากข้าต้องถอยด้วยล่ะ? คิดว่าข้ารังแกง่ายเหรอ?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แสยะยิ้ม “ถ้าคนของตลาดสวรรค์ถอยแล้ว คนพวกนั้นจะยอมวางมือเหรอ? ในเมื่อจะยื่นหัวหรือหดหัวก็ล้วนต้องโดนดาบ ยังมีอะไรให้กลังอีก อย่าบอกนะว่าจะให้ข้าไปคุกเข่าขอร้องพวกเขา? ข้าไม่ใช่ฝ่าบาทนะ ที่จะไม่มีความเป็นลูกผู้ชายอย่างนั้น ขู่นิดหน่อยก็ยอมแพ้แล้ว ข้าแน่วแน่ใจเจตนำนงการรบแล้ว มีกำลังพลหลายสิบล้านอยู่ในมือ ข้าไม่กลัวใครทั้งนั้น ถ้าฝ่าบาทจัดการคนพวกนั้นไม่ได้ ข้าก็จะจัดการแทนพวกเขาเอง ใครกล้าโจมตีคนของข้า ข้าก็จะโจมตีคนคนนั้น” นางพูดเสียงดังฟังชัด มีความเผด็จการเต็มเปี่ยม!
เจตนานี้ย่อมเป็นเหมียวอี้ที่รายงานขึ้นมา และนางในตอนนี้ก็หลับหูหลับตาเชื่อมั่นในความสามารถของเหมียวอี้ กำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์โจมตีทัพเกรียงไกรหนึ่งล้าน ทัพใหญ่หนึ่งแสนแดนรัตติกาลสามารถโค่นล้มทัพตะวันออกห้าล้านได้ ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อบอกแล้วว่าจะสู้ นางก็คิดว่ากำลังพลห้าสิบล้านของหนิวโหย่วเต๋อสู้กับกำลังพลสี่ร้อยล้านก็น่าจะไม่มีปัญหา ต่อให้มามากกว่านี้ก็ไม่กลัว ดังนั้นนางจึงมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมต่อสิ่งที่พูดออกไป
สรุปก็คือ สิ่งที่เหมียวอี้หลอกลวงนาง นางคิดเป็นจริงเป็นจังแล้ว นางไม่รู้เลยว่าเหมียวอี้เตรียมตัวจะหนีเรียบร้อยแล้ว
“…” ซ่างกวนชิงมองนางอย่างพูดไม่ออก
หลังจากกลับพระตำหนักอุทยาน ซ่างกวนชิงก็รายงานความคิดของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ให้ประมุขชิงทราบ
แน่นอน เขาพูดข้ามคำด่าที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ด่าประมุขชิง ไม่อย่างนั้นจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว
ประมุขชิงก็อึ้งไปพักใหญ่เช่นกัน จากนั้นถึงได้ถามว่า “มีความคิดอย่างนี้จริงเหรอ ไม่ได้พูดเพราะอารมณ์โกรธหรอกนะ?”
ซ่างกวนชิงถอนหายใจ “บ่าวยืนยันทำแล้ว เหนียงเหนียงกับหนิวโหย่วเต๋อล้วนคิดจะสู้ โดยเฉพาะเหนียงเหนียงที่ตัดสินใจแน่วแน่มาก!”
“…” ประมุขชิงพูดไม่ออกไปพักใหญ่ สุดท้ายก็แสยะหัวเราะ “ใครกล้าโจมตีนาง นางก็จะโจมตีคนนั้นเหรอ? ไอ๊หยา กลายเป็นคนมีความมั่นใจมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ผู้หญิงบ้าคนนี้ไปเข้าพวกกับเจ้าลูกลิงแล้ว ใจกล้าเหมือนกินหัวใจหมีมา แต่ละคนช่างทำให้ข้าอึ้ง! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ต้องกังวล ข้าจะตั้งตารอดู ถ้าต่อสู้ได้ดีจริงๆ ข้าก็ไม่ถือสาที่จะยื่นมือเข้าไปแทรกแซง!” เขาเลิกคิ้วอย่างรอคอย ถ้ามีโอกาสจริงๆ เขาก็ไม่ถือสาที่จะเคลื่อนกำลังพลไปฟันภูเขาที่เหลือเพื่อตัดแบ่งอำนาจ
จวนท่านปู่สวรรค์ สวนต้องห้าม ใต้ต้นไม้โบราณสูงระฟ้า
เซี่ยโห้วลิ่งที่ได้ฟังรายงานถามอย่างเชื่อไม่ลง “ราชินีสวรรค์พูดอย่างนี้จริงเหรอ?”
เว่ยซูพยักหน้า “เอ๋อเหมยได้ยินเองกับหู ทั้งยังเห็นความเคลื่อนไหวที่ตลาดสวรรค์ด้วย หนิวโหย่วเต๋อไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ยังคงทำตามอำเภอใจ เกรงว่าจะเป็นเรื่องจริงขอรับ “
“…” เซี่ยโห้วลิ่งก็พูดไม่ออกเช่นกัน เรียกได้ว่ากลุ้มใจ ทำถึงขนาดนี้แล้วยังขู่หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ ไม่สามารถทำให้หนิวโหย่วเต๋อยอมแพ้ได้แล้ว สงสัยจะหมดหวังเรื่องบีบบังคับให้สำนักลมปราณกลับร้านขายของชำแล้ว เรื่องนี้ไม่อาจจะช้าได้ ขอผู้ถือหุ้นเรานั้นยังคงเร่งรัด ทำให้เขาว้าวุ่นใจต่อไป
ในจวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงที่นั่งอยู่ในห้องหนังสือขมวดคิ้วถามว่า “ไม่มีท่าทีจะวางมือเรื่องตลาดสวรรค์จริงเหรอ?”
โกวเยว่ตอบว่า “ไม่มีขอรับ มิเพียงแค่ไม่ถอนกำลังพลออกไป คนที่ควบคุมตลาดสวรรค์ยังค้นหาร้านค้าไปทั่วทุกแห่งด้วย คาดว่าสำนักลมปราณคงจะสร้างเตาไฟใหม่จริงๆ นอกจากนี้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ถ่ายทอดคำสั่งไปแต่ละแห่งแล้ว ว่าให้ตลาดสวรรค์ทุกแห่งประกาศคำสั่งของนาง สั่งให้คนที่ปฏิเสธจะไปจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลพวกนั้นไปรายงานตัวในเวลาที่กำหนด ไม่อย่างนั้นจะมีความผิดข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง! นางประกาศใช้ไม้แข็งโดยไม่สนใจผลที่ตามมา ทำให้คนที่ปฏิเสธพวกนั้นกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้าไปแล้วก็กลัวโดนหนิวโหย่วเต๋อฆ่าตาย แต่ถ้าไม่ไป พวกเขาก็รับผิดชอบข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งอย่างเปิดเผยไม่ไหว”
กล่าวโดยสรุป การที่คนพวกนั้นกล้าไม่ไปรายงานตัว ล้วนเป็นเพราะเบื้องหลังมีคนยุยง ถูกใครยุยงทุกคนก็ล้วนรู้อยู่แก่ใจ
สำหรับก่วงลิ่งกงแล้ว เรื่องของคนพวกนั้นล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง ไม่ใช่คนของเขาฝ่ายเดียว ก่วงลิ่งกงไม่เก็บมาใส่ใจเช่นกัน สิ่งที่เขากลุ้มใจคืออีกเรื่องหนึ่ง “ดูท่าแล้ว หนิวโหย่วเต๋อจะไม่รู้จริงๆ ว่าข้าจะลงมือสังหารเขา…เฮ้อ!” เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ ถ้าพูดจากอีกมุมหนึ่ง ที่หนิวโหย่วเต๋อตอบตกลงว่าจะแต่งงานกับลูกสาวเขา ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่องจริง ทำให้เขายิ่งกลุ้มใจที่ลงมือเร็วไปหน่อย ทำเอาขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะเป็นเรื่องดีขนาดไหนกัน แต่ถูกตัวเองทำพังไปแล้ว
ส่วนเหมียวอี้ก็กลุ้มใจมากเช่นกัน
เขาได้รับข่าวดีเรื่องหนึ่ง ทางฝั่งพิภพเล็ก เยารั่วเซียนที่คุมสำนักงามวิจิตรส่งข่าวดีมา ว่าเขาเอาชนะด่านยากในการหลอมสร้างระฆังดาราได้แล้ว เขาหลอมสร้างระฆังดาราแบบใหม่ออกมาแล้ว
ทำไมถึงเรียกว่าแบบใหม่? ก็เพราะในภายหลังจะไม่ต้องพกระฆังดาราติดตัวเป็นกองแล้ว ใช้ระฆังดาราอันเดียวก็สามารถติดต่อคนได้มากมายพร้อมกัน
แบบที่หลอมสร้างออกมาตอนนี้สามารถติดต่อคนได้พร้อมกัน หนึ่งร้อยคน หนึ่งพันคน หนึ่งหมื่นคน มีทั้งหมดสามแบบ ถ้าใช้จำนวนคนมากกว่านี้ก็ไม่จำเป็นแล้ว
นอกจากนี้ เยารั่วเซียนยังบอกอีกว่า การหลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็มีความคืบหน้าที่สำคัญมาก เพียงแต่ตอนนี้ยังมีปัญหานิดหน่อยที่ต้องก้าวข้ามไปให้ได้
แน่นอนว่านี่คือเรื่องดี เพื่อสนับสนุนการศึกษาค้นคว้าของเยารั่วเซียน เหมียวอี้ทุ่มเทกำลังทรัพย์ไปเยอะมาก ในที่สุดก็ได้รับผลตอบแทนแล้ว
ส่วนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จะหลอมสร้างออกมาได้หรือไม่ เหมียวอี้ไม่ค่อยเก็บมาใส่ใจเท่าไหร่ ต่อให้หลอมสั่งมาได้ แต่ถ้าจะให้สร้างขึ้นมาจำนวนมากจริงๆ เขาก็หาทรัพยากรเยอะขนาดนั้นมาไม่ได้ เสียค่าใช้จ่ายมากเกินไป
………………