พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1960 เหมือนข้าเคยเห็นของสิ่งนี้มาก่อน
สิ่งที่ทำให้ผู้หญิงทั้งสามหวาดกลัวจริงๆ ก็คือ จู่ๆ สำนักก็ขาดการติดต่อไป
ไม่ใช่คนเดียวที่ขาดการติดต่อไป แต่แทบทุกคนในสำนักที่เคยติดต่อกันตามปกติล้วนขาดการติดต่อไปหมด
ผู้หญิงทั้งสามรู้สึกกระวนกระวายในใจ ระหว่างทางปลอมตัวเปลี่ยนใบหน้าแล้ว พวกนางเร่งเดินทางไปที่สำนัก อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จนกระทั่งตอนนี้ ทั้ง สามยังไม่คิดเลยว่าปิ่นปักผมของจัวเซียงเหลียนจะเป็นไม้ไม่ผุจริงๆ ยังไม่รู้ตัวว่าปิ่นปักผมแท่งนี้ล้างอุปสรรคมากมายขนาดไหน
“ใครกัน?”
ทัพใหญ่ที่ปิดล้อมประตูดวงดาวตะโกนถามกำลังพลตำหนักสวรรค์หลายคนตั้งแต่ไกลๆ
“กองทัพองครักษ์ได้รับบัญชาให้มาทำงาน!”
หลายคนที่เขาเข้ามาตอบเสียงดัง แล้วขยายจำนวนคนเป็นกำลังพลหลายแสนประชิดเข้ามาอย่างรวดเร็ว
แม่ทัพเฝ้าด่านยกฝ่ามือตะคอก “ทัพใหญ่ในน่านฟ้ามะเมียเกิงกำลังฝึก ไม่อนุญาตให้ใครบุกเข้ามารบกวนทั้งนั้น!”
แม่ทัพของกองทัพองครักษ์จึงกล่าวเสียงดังว่า “บังอาจ! พวกเราได้รับบัญชาจากฝ่าบาท ใครกล้าขัดขวาง?”
“ในเมื่อเป็นบัญชาของฝ่าบาท ก็ได้โปรดนำบัญชามาแสดงให้ดูหน่อย ถ้าไม่มีบัญชาเป็นหลักฐาน ก็ได้โปรดติดต่อกับเบื้องบนให้เรียบร้อยแล้วค่อยว่ากัน ถ้าพูดปากเปล่าค่ารับผิดชอบไม่ไหว” แม่ทัพเฝ้าด่านแสยะหัวเราะ คำพูดปฏิเสธประมาณนี้เขาฝึกมาจนชำนาญ เป็นความคิดของเบื้องบนเช่นกัน รู้ว่ากองทัพองครักษ์แถวนี้อย่างมากก็ได้รับคำสั่งปากเปล่ามา เป็นไปไม่ได้ที่จะนำบัญชามาแสดง
ทว่าเขาประเมินความแน่วแน่ของกองทัพองครักษ์ที่มาต่ำเกินไป
“ฝ่าบาทมีคำสั่ง ว่าใครขัดขวาง ฆ่าไม่ละเว้นt!” แม่ทัพของกองทัพองครักษ์ชักกระบี่ออกมาชี้ ทัพใหญ่หนึ่งแสนง้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้ว รวมตัวกันจะบุกเข้าไปที่ประตูดวงดาว
กำลังพลที่มาปิดประตูดวงดาวไว้ชั่วคราวก็มีเพียงกำลังพลที่ประจำการไม่กี่หมื่น เทียบกับกองทัพองครักษ์หนึ่งแสนที่มีอาวุธครบครัน ถ้ากล้าลงมือก็เท่ากับรนหาที่ตาย ได้แต่มองอีกฝ่ายบุกเข้ามา มองกองทัพองครักษ์หนึ่งแสนบุกเข้ามาในประตูดวงดาวโดยทำอะไรไม่ได้
แม่ทัพเฝ้าด่านยังกลุ้มใจอยู่เลย ทันใดนั้นตรงที่ไกลๆ ก็มีคนหลายสิบคนถลันตัวเข้ามา มาถึงด้วยความเร็วสูงสุด บุกเข้าประตูดวงดาวโดยตรง
“หยุดก่อน!” แม่ทัพเฝ้าด่านตะคอกห้ามอย่างเดือดดาลอีกครั้ง
“ได้รับบัญชาจากอ๋องสวรรค์ฮ่าวให้มาทำงาน!” ผู้ที่มาพูดทิ้งท้าย แล้วบุปผากำลังพลที่ยังไม่ทันได้ตั้งแถวใหม่ ฉวยโอกาสตอนวุ่นวายผ่านเข้าไปอย่างนี้แล้ว ไม่ให้โอกาสเจ้าได้ตรวจสอบตัวตนเลย
แม่ทัพเฝ้าด่านพูดไม่ออก สังเกตเห็นสัญลักษณ์พลังตรงแท่นจิตแล้วของคนหลายสิบคนนี้แล้ว ทั้งหมดเป็นยอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ กำลังพลระดับพวกเขาต้านไม่อยู่
ทหารที่อยู่ข้างๆ รายงานว่า “นายท่าน คนที่นำหน้ามาเมื่อครู่นี้ข้าเคยเห็น เป็นบ่าวในจวนของอ๋องสวรรค์ก่วง ทำไมบอกว่าได้รับคำสั่งจากอ๋องสวรรค์ฮ่าวล่ะ?”
แม่ทัพเฝ้าด่านรู้สึกอับอายจนเหงื่อตก วันนี้เป็นอะไรไปแล้ว แต่ละคนเป็นบ้าไปแล้วหรือไง? ไม่น่าเชื่อว่าจะฝืนบุกเข้ามาอย่างนี้ กองทัพองครักษ์ก็ว่าหนักแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนแอบอ้างว่าเป็นคนของอ๋องสวรรค์ฮ่าวอย่างโจ่งแจ้ง ไม่กังวลที่จะพูดโกหกเลยสักนิด
เขาไม่รู้ความจริงเรื่องที่เกี่ยวกับไม้ไม่ผุ เพียงได้รับคำสั่งเร่งด่วนให้ปิดประตูดวงดาวเอาไว้
สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นนอกประตูดวงดาวแต่ละแห่งพี่จะไปน่านฟ้ามะเมียเกิง ถึงขนาดเกิดคดีร้ายแรงอย่างเช่นการโจมตีบุกเข้าไป
ภายใต้คำสั่งของประมุขชิง สมาชิกหน่วยตรวจการซ้ายที่แฝงตัวอยู่ตามที่ต่างๆ แอบเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว สืบข่าวทุกอย่างที่สามารถจะสืบได้ สมาชิกสมาคมวีรชนที่อยู่ตลาดสวรรค์ที่เกิดเรื่องก็รีบรวบรวมคนไปทำงานตามคำสั่งหน่วยตรวจการขวาแล้ว
ในภัตตาคารของตลาดสวรรค์ หน่วยตรวจการขวาที่ได้ภาพวาดของผู้หญิงทั้งสามรีบทำสำเนา แล้วจะตั้งกลุ่มลูกน้อง ให้ไปตรวจสอบทีละร้าน ถามว่ารู้จักหรือไม่
แล้วก็ตรวจสอบผ่านบัญชีจำนวนลูกค้าของภัตตาคารในช่วงเวลานั้น สั่งให้ค้นหาทั้งเมือง ไม่ว่าจะหาพบหรือไม่ ก็ต้องพยายามตามหาจากลูกค้าที่มาในช่วงเวลานั้นไม่ปล่อยผ่านเบาะแสร่องรอยใดๆ ทั้งนั้น
เหมียวอี้พี่แอบซ่อนคนงานคนหนึ่งเอาไว้ก็ตรวจสอบได้ผลลัพธ์เร็วเช่นกัน คนของหน่วยตรวจการขวาเข้ามาในตำหนักคุ้มเมืองแล้วชิงตัวคนงานไปทันที แต่ตำหนักคุ้มเมืองก็ไม่ขี้ขลาดเช่นกัน บอกว่าเพื่อสืบคดี หน่วยตรวจการขวาก็ไม่ได้ฉีกหน้า ตอนนี้ยังต้องให้กำลังพลของตลาดสวรรค์ให้ความร่วมมือในการสืบคดี
ส่วนประวัติความเป็นมาของผู้หญิงทั้งสามก็ถูกคนหน่วยตรวจการขวาสืบเจอแล้วจริงๆ หน่วยตรวจการขวาย่อมชำนาญการสืบสวนอยู่แล้ว นำรูปภาพไปตรวจสอบกับร้านค้าที่ผู้หญิงชอบไปก่อน ผลปรากฏว่ามีคนของร้านค้าร้านหนึ่งรู้จัก เพราะสำนักเทียนกู่อยู่ใกล้กับตลาดสวรรค์ที่สุด ผู้หญิงทั้งสามมาที่นี่บ่อย รู้จักกับคนงานในร้านค้า รู้แม้กระทั่งชื่อของกันและกัน ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้ก็มาซื้อของและทักทายกันแล้ว
เพื่อไม่ให้ข่าวหลุด หน่วยตรวจการขวาออกคำสั่งอย่างไม่ลังเล จับตัวคนในร้านเอาไว้ทั้งหมด ป้องกันไม่ให้ข่าวรั่วไหลไปยังอำนาจฝ่ายอื่น พร้อมทั้งรายงานสถานการณ์ของผู้หญิงทั้งสามขึ้นไปด้วย
พอพาตัวคนของร้านค้านี้ไป ร้านค้าก็ถูกปิด มีคนโผล่ออกมาทั้งแบบเปิดเผยและแบบลับๆ ทันที มาล้อมร้านค้าร้านนี้ไว้แล้วสืบประวัติความเป็นมากับสถานการณ์ของร้านค้าโดยละเอียด อำนาจฝ่ายอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องจริงๆ แล้ว คนของร้านค้าใกล้กันถูกถามจนต้องปาดเหงื่อ
อุทยานหลวง พระตำหนักอุทยาน ประมุขชิงกำลังเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ใต้ชายคาตำหนักใหญ่ สีหน้าเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง
พวกลูกน้องคนสนิทก็ตามมาคอยฟังคำสั่งเช่นกัน เกาก้วนวางระฆังดาราในมือ แล้วรายงานว่า “ฝ่าบาท มีเบาะแสแล้วขอรับ”
ประมุขชิงหันขวับ “หาผู้หญิงสามคนงั้นเจอแล้วเหรอ?”
เกาก้วนตอบว่า “ยังหาตัวไม่เจอ แต่สืบประวัติผู้หญิงสามคนนั้นได้แล้ว มีฉางหงเหมย จัวเซียงเหลียน ต้วนอ้ายเอ๋อร์ ทั้งสามเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก ทั้งหมดมาจากสำนักเทียนกู่ที่อยู่ในอาณาเขตดาวที่ใกล้ตลาดสวรรค์ที่สุด ปิ่นปักผมที่อาจจะทำมาจากไม้ไม่ผุนั่นปักอยู่บนศีรษะของจัวเซียงเหลียน ตอนนี้หน่วยตรวจการขวาควบคุมข่าวไว้แล้ว อำนาจฝ่ายอื่นน่าจะยังไม่รู้ ฝ่าบาทควรใช้โอกาสนี้ส่งคนไปควบคุมสำนักเทียนกู่ไว้ก่อนครับ”
คนในหน่วยตรวจการของเขามีจำกัด ให้สืบคดียังพอไหว แต่ถ้าจะให้ส่งกำลังพลกลุ่มใหญ่ออกไปควบคุมหนึ่งสำนักก็ค่อนข้างเหนื่อย
ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างๆ แอบชม หน่วยตรวจการขวาช่างมีประสิทธิภาพการทำงานสูง ใช้เวลาไม่นานก็สืบประวัติและชื่อของผู้หญิงสามคนที่ไร้เบาะแสได้ชัดเจนแล้ว
“ดี!” ประมุขชิงพยักหน้าด้วยแววตาชื่นชม ในช่วงเวลาสำคัญเกาก้วนทำงานได้ยังไม่เลอะเลือนจริงๆ ด้วย ไม่ทำให้เขาผิดหวัง เขารีบสั่งโพ่จวินและอู๋ฉวี่ “ตามที่เกาก้วนบอก เร็วเข้า!”
โพ่จวิน อู๋ฉวี่รีบหยิบระฆังดาราออกมาระดมกำลังทำงานทันที
จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เหมียวอี้และฮูหยินกำลังเดินเล่นอยู่ด้วยกันบนลานกว้าง ถึงแม้ไม้ไม่ผุจะยั่วยวนใจ แต่หลังจากตัดสินใจว่าจะไม่เอาตัวเข้าไปข้องเกี่ยวเรื่องนี้ กลับทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น
เรื่องบางเรื่องชัดเจนจนสังเกตเห็นได้ สำหรับฝั่งนี้ ไม้ไม่ผุปรากฏขึ้นได้เวลาเหมาะเจาะ ทางตลาดสวรรค์รู้สึกได้อย่างชัดเจนแล้วว่าอำนาจแต่ละฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมอย่างดุเดือด ของสิ่งนี้เพียงพอที่จะทำให้อำนาจแต่ละฝ่ายแก่งแย่งกันจนนองเลือด เกรงว่าตอนนี้คงยังไม่มีใครมีกะจิตกะใจมาสู้กับฝั่งเขา อย่างไรเสียเขาก็มีกำลังพลห้าสิบล้าน ไม่ได้จัดการได้ง่ายขนาดนั้น
หยางเจาชิงติดตามอยู่ข้างกาย คอยรายงานข่าวที่ส่งมาจากตลาดสวรรค์ ประมุขชิงได้ข่าวสำนักเทียนกู่ตั้งแต่ทีแรก ก็เท่ากับว่าฝั่งนี้ได้ข่าวของสำนักเทียนกู่ก่อนเช่นกัน ก็ช่วยไม่ได้ คนของหน่วยตรวจการขวาที่แฝงตัวอยู่ที่ตลาดสวรรค์มีจำกัด คนที่ติดตามทำงานด้วยยังเป็นคนของตลาดสวรรค์ เหมียวอี้รับรู้ทุกความคืบหน้าในการตรวจสอบของหน่วยตรวจการขวา หลีกเลี่ยงไม่ได้
เหมียวอี้เดาะลิ้น “ว่ากันว่าหน่วยตรวจการขวาของเกาก้วนชำนาญการสืบคดี ดูจากวันนี้แล้วสมคำร่ำลือจริงด้วย มีประสิทธิภาพการทำงานสูงมาก ใช้เวลาไม่นานก็สืบหากำพืดผู้หญิงสามคนที่ไร้เบาะแสได้ชัดเจนแล้ว”
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจเบาๆ “ถ้าเป็นไม้ไม่ผุจริงๆ สงสัยประมุขชิงจะหวังไว้มากว่าจะทำสำเร็จ”
เหมียวอี้ฟังน้ำเสียงนางออกว่ารู้สึกเสียดายนิดหน่อย จึงกล่าวขอโทษว่า “ตอนแรกข้าก็คิดจะแย่งชิงมาเหมือนกัน แต่พอคิดไปคิดมา อาศัยกำลังของพวกเราตอนนี้ ก็เป็นเรื่องยากที่จะยื่นมือเข้าไปยาวขนาดนั้นได้” เขาเคยให้สัญญากับนาง ว่าถ้ามีโอกาสจะหาของวิเศษที่สามารถรักษาความอ่อนเยาว์ตลอดกาลมาให้นาง เมื่อเจอกับเรื่องแบบนี้ก็เหมือนผิดคำพูด
อวิ๋นจือชิวย่อมรู้ว่าเรื่องในครั้งนี้ทำให้สำเร็จได้ยาก มีอำนาจหลายฝ่ายขนาดนี้เข้ามาแทรกแซง การเข้าไปเกี่ยวข้องนอกจากจะเสี่ยงแล้ว ต่อให้ฝ่ายตัวเองทำสำเร็จแต่ก็กลืนของสิ่งนี้เอาไว้ไม่ไหว เหมือนคำกล่าวที่ว่าราษฎรเดิมทีไม่มีความผิด แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด จะนำหายนะที่ถึงแก่ชีวิตมาสู่ตัวเองแน่นอน นางจึงกระพริบตาพูดหยอกล้อ “นี่เจ้ากำลังรังเกียจที่ข้าแก่แล้วใช่ไหม?”
เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “ไม่ใช่สักหน่อย เจ้าผิวชุ่มชื้น ข้ายังดูแก่กว่าเจ้าอีก” เขาพูดความจริง ตอนนี้เขาผ่านประสบการณ์ชีวิตมาไม่น้อย ผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาไม่เคยใช้ความคิดไปกับการรักษาความงามเลย ดูไม่อ่อนยาวเท่าอวิ๋นจือชิวจริงๆ บนใบหน้ามีร่องรอยความกร้านโลกเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัวแล้ว
อวิ๋นจือชิวฟังแล้วกลั้นขำไม่อยู่ “เจ้าโง่ ข้าล้อเจ้าเล่นน่ะ เจ้าไม่ต้องห่วง ไม้ไม่ผุน่ะ จะใช้หรือไม่ใช้ข้าก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับข้า ข้ามีโฉมหน้าน้ำแข็งของพิภพเล็กคอยบำรุงแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าเจ้ากลัวแก่ ก็ลองใช้ดูได้นะ”
เหมียวอี้หัวเราะโดยไม่พูดอะไร แต่ในใจกลับรู้ชัด ว่าโฉมหน้าน้ำแข็งก็แค่ช่วยยืดเวลาแก่ชราก็เท่านั้น ไม่เหมือนไม้ไม่ผุที่คงความอ่อนเยาว์ของใบหน้าตลอดกาล เขาหันกลับมาถามว่า “พวกเราซ่อนคนงานนั่นไว้ หน่วยตรวจการขวาไม่ได้ว่าอะไรใช่มั้ย?”
หยางเจาชิงตอบว่า “ไม่ได้ว่าอะไรขอรับ คนงานคนนั้นก็ไม่ได้ให้ข่าวที่มีประโยชน์อะไรด้วย ถ้าปิ่นปักผมอันนั้นคือไม้ไม่ผุจริงๆ เขาก็แค่ได้เห็นกับตาว่าไม้ไม่ผุหน้าตาเป็นยังไงก็เท่านั้นเอง สิ่งที่รู้จริงๆ ยังเทียบกับข้อมูลที่หน่วยตรวจการขวาสืบเองไม่ได้”
เหมียวอี้ได้ยินแล้วรู้สึกสนใจ “ทุกคนต่างบอกว่าไม้ไม่ผุ ไม้ไม่ผุ แต่เหมือนจะไม่มีใครเคยเห็นกับตาตัวเองนะ หน้าตาเป็นยังไงกันแน่ คนงานคนนั้นได้บอกหรือเปล่า?”
หยางเจาชิงตอบพร้อมรอยิ้มว่า “คนงานนั้นเห็นเพียงปิ่นปักผมอันเดียวเท่านั้นเอง ไม้ไม่ผุต้นจริงหน้าตาเป็นยังไง เขาไม่เคยเห็นแน่นอนขอรับ…” เขาเล่าสถานการณ์ตอนพบความผิดปกติให้ฟัง เป็นข้อมูลที่ได้มาจากคนงานคนนั้น
อวิ๋นจือชิวก็แค่ฟังเฉยๆ เหมียวอี้กลับฟังจนอึ้ง จู่ๆ ก็หยุดเดิน มองหยางเจาชิงพร้อมถามอย่างสงสัย “กิ่งใบสีขาวบริสุทธิ์ดุจหยก ในนั้นราวกับมีเส้นเลือดของคน กลิ่นหอมยังดึงดูดให้สัตว์เล็กเข้าใกล้ด้วย?”
หยางเจาชิงไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงทำท่าทางเหมือนมีเรื่องบางอย่าง พยักหน้าตอบว่า “ขอรับ ปิ่นปักผมนั่นสอดคล้องกับลักษณะพิเศษพวกนี้ ถึงได้ทำให้คนสงสัยว่าจะเป็นไม้ไม่ผุ ว่ากันว่าไม้ไม่ผุในจะเติบโตอยู่ท่ามกลางทุ่งหิมะ ซึ่งสิ่งมีชีวิตอื่นยากจะเข้าใกล้ได้ เติบโตช้ามาก สามารถอยู่คู่กับฟ้าดินตลอดไปโดยไม่ผุสลาย ลำต้นเหนียวทนทาน ดาบทวนยากจะตัดขาด ส่งกลิ่นหอมโดยธรรมชาติ ทั้งตัวเป็นสีขาวดุจหิมะ กิ่งใบก็เป็นสีขาวเหมือนกัน ข้างในซ่อนเส้นเลือดเอาไว้ น้ำยางเหมือนน้ำเลือด ถ้าได้ดื่มยางเลือดจากไม้ไม่ผุสักจอก ก็จะไม่มีวันผุสลายเหมือนต้นไม้ต้นนี้ สามารถมีอายุยืนยาว แต่นั้นไม่ใช่ข้อดีที่สุด เพราะต่อให้เผารมควันนานๆ ก็คงความอ่อนเยาว์ตลอดกาล”
สุดท้ายอวิ๋นจือชิวก็พูดต่อว่า “ล้วนเป็นสิ่งที่เล่าต่อกันมาทั้งนั้น จะจริงหรือเท็จก็เหมือนจะไม่มีใครเคยสัมผัสด้วยตัวเองมาก่อน ไม่รู้ด้วยว่าจะเป็นเหมือนที่พูดกันหรือเปล่า แต่ตำนานนี้เหมือนจะมีมานานแล้ว ไม่มีใครรู้แหล่งที่มาโดยละเอียด”
เหมียวอี้ขมวดคิ้วเอามือลูบคาง พึมพำว่า “น้องชิว ถ้าเจ้าว่างก็รวบรวมข่าวลือเกี่ยวกับไม้ไม่ผุให้ข้าสักหน่อย”
อวิ๋นจือชิวถามเหมือนรู้สึกขำ “ของที่ใฝ่ฝันแต่ไขว่คว้ามาไม่ได้ เจ้าคงไม่คิดจะหาไปทั่วจริงๆ หรอกใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ส่ายหน้ากล่าวอย่างลังเล “ก่อนหน้านี้ไม่สนใจ แต่พอได้ฟังพวกเจ้าพูด ข้าก็นึกได้ว่าเหมือนจะเคยเห็นของสิ่งนี้”
………………