พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1961 ให้พวกเขากัดกันเหมือนสุนัข
ไม่ได้ยินเขาพูดแบบนี้ อวิ๋นจือชิวกับหยางเจาชิงก็ยืนมองเขายังตะลึงค้างทันที แต่ละคนอ้าปากค้างพูดไม่ออก
อวิ๋นจือชิวกลืนน้ำลาย แล้วถามว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้าไม่ได้กำลังล้อเล่นใช่ไหม?”
ก่อนหน้านี้ที่บอกว่าไม่สนใจก็เพราะจะปลอบใจสามี แต่ถ้ามีจริงๆ จะมีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่อยากคงความอ่อนเยาว์ของตัวเองตลอดกาล? ไม่มีก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้ามีก็ย่อมต้องชอบ
เหมียวอี้ครุ่นคิดพลางตอบอย่างไม่แน่ใจ “ก็แค่รู้สึกว่าคล้ายๆ เลยสงสัยนิดหน่อย ไม่กล้าแน่ใจ ก็เลยอยากให้เจ้ารวบรวมข่าวลือมาประกอบการพิจารณา”
อวิ๋นจือชิวรีบถาม “เคยเห็นที่ไหน?”
หยางเจาชิงเงียบไปครู่เดียว แล้วกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยยังมีธุระนิดหน่อย ขอตัวก่อน”
เขารู้ว่าไม้ไม่ผุเกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่ ไม่ใช่ความลับธรรมดาทั่วไป ถ้าเขามาฟังอยู่ข้างๆ ก็เหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสม ควรจะหลบเลี่ยง ถึงแม้ตอนนี้เขาจะกลายเป็นพ่อบ้านส่วนตัวของเหมียวอี้แล้ว แต่อวิ๋นจือชิวที่ดูแลงานในครอบครัวกลับปฏิเสธไม่ให้เขาเรียกตัวเองว่า ‘บ่าว’
อวิ๋นจือชิวกลอกตามองมา เดาเจตนาของเขาออกทันที นางจึงยกมือห้าม “เจาชิง เจ้าคิดมากไปแล้ว เป็นคนในครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ไม่ได้เห็นเจ้าเป็นคนนอก ไม่มีอะไรน่าหลบเลี่ยง อยู่ฝั่งด้วยกันสักหน่อย ช่วยนายท่านออกความคิด ต่อไปอย่าไปบอกคนอื่นก็พอ”
ถ้าเหมียวอี้ไม่พูดออกมาต่อหน้าหยางเจาชิง อวิ๋นจือชิวก็คงไม่พูดแทรกอย่างนี้ อย่างไรเสียไม้ไม่ผุก็ไม่ใช่ความลับธรรมดา ในเมื่อเปิดประเด็นมาแล้ว นางก็ไม่ปล่อยให้หยางเจาชิงออกไปพร้อมสิ่งติดค้างในใจ ในฐานะที่เป็นนายหญิงของบ้านนี้ นางย่อมมีวิธีการของตัวเองเพื่อดูแลบ้านอยู่แล้ว ขีดจำกัดของนางก็คือไม่ให้ภายในบ้านเกิดความวุ่นวาย
คำพูดนี้เหนือกว่าคำพูดนับพันนับหมื่นอย่างแท้จริง ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ หยางเจาชิงก็จะนึกเพียงว่าอีกฝ่ายแค่ซื้อใจคน แต่นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับไม้ไม่ผุเชียวนะ อีกฝ่ายไม่เห็นเขาเป็นคนนอกจริงๆ ด้วย ชั่วพริบตานี้เขารู้สึกซาบซึ้งใจอย่างแท้จริงแล้ว พอหันไปมองอวิ๋นจือชิวอีกครั้ง ในใจก็ยิ่งนับถือความใจกว้างของนายหญิงคนนี้ ในจิตสำนึกก็ยิ่งยอมรับว่าในบ้านนี้ไม่มีใครแทนที่นายหญิงคนนี้ได้แล้ว อย่างน้อยถ้าเทียบกับผู้หญิงคนอื่นที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ เขาก็ยิ่งแน่วแน่ที่จะยืนอยู่ฝ่ายอวิ๋นจือชิว
แน่นอน นี่ล้วนเป็นความคิดในจิตใต้สำนึกของเขา แม้แต่เขาเองก็ยังไม่รู้ตัวชัดเจนเช่นกัน
อวิ๋นจือชิวแอบจงใจ แต่ภายนอกทำเหมือนพูดไปอย่างนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ หลีกเลี่ยงที่จะมองปฏิกิริยาของหยางเจาชิง ได้แต่จ้องรอคำตอบของเหมียวอี้
เหมียวอี้ที่กำลังไตร่ตรองไม่ได้คิดมากกับเรื่องนี้ พอได้ยินนางพูดก็รู้ตัวทันที บอกหยางเจาชิงว่า “ไม่เป็นอะไร”
อวิ๋นจือชิวกลับเตะน่องเขา “เจ้าทำให้ข้าร้อนใจจะตายอยู่แล้ว เคยเห็นที่ไหนก็พูดมาสิ!”
หยางเจาชิงกลับแอบคอยระวังรอบๆ ป้องกันไม่ให้คนเข้าใกล้มาได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน สรุปก็คือเขาพยายามฟังเรื่องนี้โดยไม่พูดแทรก
เวลาเกิดขึ้นนานไปหน่อย เหมียวอี้ที่กำลังย้อนรำลึกเหตุการณ์หดขาเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ก็กำลังคิดอยู่ไม่ใช่หรือไง ถ้าข้าจำไม่ผิด น่าจะเคยเห็นอยู่ในมือเฟิงเป่ยเฉินนะ”
“เฟิงเป่ยเฉิน?” อวิ๋นจือชิวหลุดอุทาน แล้วก็มองหน้าหยางเจาชิงอย่างเลิกลั่ก
“ในมือเฟิงเป่ยเฉินจะมีไม้ไม่ผุได้ยังไง?” อวิ๋นจือชิวถามอีก
“จะใช่ไม้ไม่ผุหรือเปล่าข้าก็ไม่แน่ใจ ข้าเองก็ไม่เคยเห็นต้นไม้แบบครบสมบูรณ์…” พอพูดึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็ชะงักไป จู่ๆ ก็กล่าวอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกว่า “ถ้าเป็นไม้ไม่ผุจริงๆ เป็นไปได้ว่าแม้แต่เฟิงเป่ยเฉินเองก็ยังไม่รู้ตัว ต้นไม้ต้นนั้นถูกเฟิงเป่ยเฉินตัดไปแล้ว”
“หา!” อวิ๋นจือชิวกับหยางเจาชิงอุทานพร้อมกัน
เหมียวอี้พยักหน้ายืนยัน “น่าจะถูกเฟิงเป่ยเฉินตัดไปแล้ว”
จากนั้นอวิ๋นจือชิวก็นึกอะไรขึ้นได้ ถามอย่างสงสัยว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้าหมายความว่า พิภพเล็กมีไม้ไม่ผุงั้นเหรอ?”
“บอกไปแล้วไงว่าไม่แน่ใจว่าเป็นไม้ไม่ผุหรือเปล่า แต่เหมือนมันจะเติบโตอยู่ในทุ่งหิมะ” เหมียวอี้กล่าว
“มันอยู่ตรงไหน?” อวิ๋นจือชิวถามซักไซ้
เหมียวอี้ถอนหายใจ “น่าจะอยู่บนยอดเขาเมฆาร่วงหล่นที่นภาอู๋เลี่ยง” เขาจำได้รางๆ ว่าปีนั้นตอนฉินซีเปิดเผยความลับต่อเขา นางเคยเอ่ยถึงว่าเฟิงเป่ยเฉินกำลังตัดต้นไม้สีขาวดุจหิมะอยู่บนยอดเขาเมฆาร่วงหล่นที่นภาอู๋เลี่ยงเพื่อมาสู้กับเขา กลิ่นหอมของไม้นั่นเหมือนจะดึงดูดสัตว์เล็ก เขาจำได้รางๆ ว่าตัวเองก็เคยทดลอง เหมือนจะมีเส้นเลือดด้วย
“…” อวิ๋นจือชิวกับหยางเจาชิงพุดไม่ออก ถ้าเป็นไม้ไม่ผุจริงๆ ก็แสดงว่าสมบัติสุดล้ำค่าที่ทำให้คนเป็นอมตะ สมบัติที่คนในโลกใฝ่ฝันแต่มิอาจไขว่คว้าก็อยู่ใต้หนังตาพวกเขาแต่พวกเขากลับไม่รู้ ทำให้พูดไม่ออกเลยจริงๆ
เหมียวอี้เองก็พูดไม่ออก ถ้าเป็นเจ้าลูกรักนั่นจริงๆ ถ้ามันถูกเฟิงเป่ยเฉินตัดทิ้งไปแล้วจริงๆ จะไม่ทำให้เขาโมโหจนกระอักเลือดหรอกเหรอ?
ในขณะนี้เอง เหมียวอี้ได้รับการติดต่อที่เหนือความคาดหมาย โค่วเจิงที่ไม่ได้ติดต่อกับเขามานาน ตอนนี้ติดต่อมาแล้ว
เหมียวอี้ : พี่ใหญ่มีธุระอะไรเหรอ?
โค่วเจิงถามทันทีที่เอ่ยปาก : เจ้ากับน้องเจ็ดยังสบายดีใช่มั้ย
เหมียวอี้รู้สึกขำ แทบจะบีบพวกเราให้ตายอยู่แล้ว ยังมีหน้ามาทักทายอีกเหรอ? ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะจอมปลอมได้ถึงขั้นนี้ แต่ในขณะที่เขาด่าในใจ ตัวเองก็ทักทายกลับอย่างเสแสร้งเช่นกัน : ก็ยังดี ท่านพ่อบุญธรรมก็สบายดีเหมือนกันใช่มั้ย?
โค่วเจิง : เจ้าถามถูกแล้วจริงๆ ท่านพ่อประสบปัญหานิดหน่อย ค่อนข้างกังวล หวังว่าเจ้าจะช่วยได้
เหมียวอี้ : เรื่องของท่านพ่อบุญธรรมก็คือเรื่องของข้า ขอเพียงข้าช่วยได้ พี่ใหญ่ก็บอกมาได้เลย
โค่วเจิงที่ยืนอยู่ในศาลาแอบด่าในใจ ไอ้คนกินบนเรือนขี้บนหลังคา พูดจาฟังดูดี แต่ตอนจับคนในร้านค้าตระกูลโค่วไม่เห็นเจ้าปรานี แต่ก็ยังพยักหน้าให้โค่วหลิงซวีที่นั่งสง่าอยู่ในศาลา สื่อว่าทางนั้นยังมีท่าทีที่ดีอยู่
ยังตอบกลับระฆังดาราในมืออย่างอ่อนโยน : ได้ยินว่าตลาดสวรรค์ดาวเฟยหัวเกิดเรื่องนิดหน่อย คนของหน่วยตรวจการขวากำลังเคลื่อนไหวอย่างอุกอาจ กำลังพลของเจ้ากำลังให้ความร่วมมือหน่วยตรวจการขวาในการสืบคดีใช่มั้ย?
เหมียวอี้รู้ว่าฉากเด็ดของละครกำลังจะมาแล้ว ตอบไปว่า : มีเรื่องจริงๆ เหมือนจะสืบหาไม้ไม่ผุอะไรสักอย่าง ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือเปล่า
โค่วเจิง : ท่านพ่อเองก็ให้ความสนใจเรื่องนี้ ความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว?
เหมียวอี้ : หน่วยตรวจการขวารับบัญชาฝ่าบาทให้มาควบคุมดูแลกำลังพลพวกนั้นชั่วคราว ควบคุมเข้มงวดไม่ให้ข่าวหลุดไปข้างนอก ข้าไม่สะดวกจะสืบดูรายละเอียด
โค่วเจิง : คนที่จัดการเรื่องนี้ล้วนเป็นกำลังพลคนสนิทของเจ้า ถ้าเจ้าถามสักหน่อย อาศัยคนของหน่วยตรวจการขวาแค่ไม่กี่คนก็ควบคุมเขาไม่ได้หรอก ถ้าอยากรู้เรื่องอะไร แค่เจ้าถามคำเดียวเท่านั้น
เหมียวอี้ : มีบัญชาของฝ่าบาทอยู่ ถ้าให้เบื้องล่างขัดบัญชาปล่อยความลับ แบบนี้จะเหมาะสมเหรอ?
โค่วเจิง : น้องเขย คนชัดเจนไม่พูดคลุมเครือ ไม้ไม่ผุมีความหมายแฝงอะไรเจ้ากับข้าล้วนเข้าใจแจ่มแจ้ง สำคัญต่อท่านพ่อมาก ข้าถามเจ้าคำเดียว เจ้าจะช่วยหรือไม่ช่วย?
เหมียวอี้ : พี่ใหญ่ ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วย ข้าอยากจะช่วยท่านพ่อบุญธรรมจริงๆ แต่จนใจที่ตอนนี้คนทางตลาดสวรรค์จิตใจสั่นคลอน ข้าจะให้ลูกน้องโดนเบื้องบนกลั่นแกล้งบ่อยๆ ไม่ได้ มีเจตจำนงจะทรยศแล้ว เกรงว่าข้าเอ่ยปากไปก็คงไม่ได้ผล!
โค่วเจิงฟังแล้วไฟโกรธสุมทรวง แต่ก็ยังบอกต่อโค่วหลิงซวี
ถังเฮ่อเหนียนที่อยู่ข้างๆ ส่ายหน้า “เห็นได้ชัดว่าเจ้าหนุ่มนี่กำลังฉวยโอกาสเสนอเงื่อนไข”
“เรื่องแยกแยกความสำคัญยังต้องให้พูดอีกเหรอ?” โค่วหลิงซวีพยักหน้าบอกใบ้โค่วเจิง
โค่วเจิงตอบทันทีว่า : น้องเขย ช่วงนี้ข้าได้ยินข่าวลือบางอย่างมา นั่นล้วนเป็นข่าวลือ อย่าเก็บมาใส่ใจ คนในบ้านสนับสนุนเจ้า ท่านพ่อให้ข้าบอกเจ้าว่า อำนาจควบคุมตลาดสวรรค์ในอาณาเขตทัพเหนือ ล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ทุกอย่างเจรจากันได้ สิ่งที่อยู่ในการควบคุมของเจ้าก็เช่นกัน คาดว่าเจ้าคงจะไม่ทำให้การค้าขายของคนในครอบครัวลำบากท่านพ่อรับประกันว่านอาณาเขตทัพตะวันออกจะไม่มีใครแตะต้องคนของเจ้าที่ตลาดสวรรค์
เหมียวอี้ : พี่ใหญ่พูดแบบนี้ข้าก็วางใจ วันหลังถ้ามีเวลาว่างข้าจะต้องไปเยี่ยมท่านพ่อบุญธรรมแน่นอน
โค่วเจิง : อืม ข้าจะบอกท่านพ่อให้
เหมียวอี้ : พี่ใหญ่อยากจะรู้ข่าวด้านไหนล่ะ?
โค่วเจิง : หน่วยตรวจการขวาเหมือนจะสืบเจอรายละเอียดของคนสำคัญสามคนนั้นแล้ว ท่านพ่ออยากรู้ ต้องบอกโดยเร็วที่สุด!
ที่จริงเหมียวอี้รู้สถานการณ์ทางฝั่งนั้นแล้ว เพียงแต่ยังไม่รีบบอก กล่าวรับประกันเฉๆย ว่า : ได้ ข้าจะไปถามให้สักหน่อย พี่ใหญ่รอฟังข่าวจากข้า
หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว เหมียวอี้ก็เล่าสถานการณ์ให้อวิ๋นจือชิวและหยางเจาชิงฟัง
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว “คำสัญญาปากเปล่าไร้หลักฐานแบบนี้ เชื่อถือได้เหรอ? แล้วอีกอย่าง ถ้าทางนั้นเปิดโปงเรื่องที่เจ้าเผยความลับให้ประมุขชิงรู้จะทำยังไงล่ะ? เกี่ยวข้องกับไม้ไม่ผุเชียวนะ จะยั่วโมโหประมุขชิงหรือเปล่า?”
เหมียวอี้บอกว่า “ด้วยอำนาจของข้าตอนนี้ เรื่องที่ไร้หลักฐานไม่มีใครใส่ร้ายข้าได้หรอก ข้าเองก็ไม่ใช่ไก่อ่อน ถ้าไม่เคลื่อนกำลังพลสองร้อยล้าน ใครจะกล้าแตะต้องข้าง่ายๆ ล่ะ? ต่อให้ประมุขชิงอยากจะจัดการข้า แต่ถ้าสู้กันขึ้นมา ชั่งน้ำหนักความเสียหายแล้วก็ไม่คุ้ม ดังนั้นบอกเขาไปข้าก็ไม่มีอะไรเสียหาย โค่วหลิงซวีไม่จำเป็นต้งเปิดเผยความลับที่ไม่มีประโยชน์ต่อเขา แบบนั้นกลับจะกระทบต่อชื่อเสียงบารมีของเขาด้วยซ้ำ ถ้าทำอย่างนั้นจริง ในภายหลังใครจะยังกล้าเปิดเผยความลับให้เขารู้ง่ายๆ อีกล่ะ? ได้ไม่คุ้มเสียไง ส่วนคำพูดของเขาจะเชื่อถือได้หรือไม่ ข้าเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว การแลกเปลี่ยนอำนาจและผลประโยชน์ไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียว จะใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวคุยกันได้ยังไง สิ่งที่เขาพูดไม่มีอะไรน่าเชื่อหรือไม่น่าเชื่อ ยังต้องดูแนวโน้มสถานการณ์ว่าจะไปทิศทางไหน ถ้าสถานการณ์เอื้อปะรโยชน์ต่อข้า คำพูดของเขาก็ย่อมน่าเชื่อถือ แต่ถ้าสถานการณ์ไม่เอื้อต่อข้า คำพูดของเขาก็ไม่น่าเชื่อแล้ว”
พอนึกถึงว่าโค่วหลิงซวีกำลังแอบระดมกำลังพลเตรียมโจมตีฝั่งนี้ อวิ๋นจือชิวก็ด่าอย่างหงุดหงิด “โจรเฒ่าได้ชุบมือเปิบไปแล้ว!”
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ “ฮูหยินอย่าโมโหเลย ปล่อยข่าวให้พวกเขารู้ก็ไม่เป็นไรหรอก ถึงยังไงพวกเราก็ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่แล้ว ให้พวกเขาเป็นสุนัขกัดกันเอาเป็นเอาตาย ก็ยิ่งไม่มีกำลังวังชามาสู้กับข้าไม่ใช่เหรอ?”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเงียบๆ
หลังจากแสร้งติดต่อไปถามแล้ว เหมียวอี้ก็ติดต่อไปหาโค่วเจิงอีก : พี่ใหญ่เดาไม่ผิด หน่วยตรวจการขวาสืบสวนขั้นต้นคนสำคัญสามคนนั่นแล้ว เป็นผู้หญิงสามคน ชื่อฉางหงเหมย จัวเซียงเหลียน ต้วนอ้ายเอ๋อร์ ทั้งหมดเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก เป็นศิษย์สำนักเทียนกู่ที่อยู่ในอาณาเขตดาวใกล้ๆ นี้…
โค่วเจิงตั้งใจฟังข้อมูลจากระฆังดารา พลางถือแผ่นหยกบันทึกข้อมูลสำคัญ กลัวว่าจะตกหล่น หลังจากติดต่อเสร็จแล้วก็นำแผ่นหยกให้โค่วหลิงซวีอ่านทันที
โค่วหลิงซวีรับมาไว้ในมือ แล้วลุกขึ้นยืนทันที ส่งต่อแผ่นหยกให้ถังเฮ่อเหนียนอ่าน “ระดมกำลังพลเดี๋ยวนี้ ต้องไปควบคุมคนของสำนักเทียนกู่ไว้ก่อน”
จวนท่านปู่สวรรค์ สวนต้องห้าม ใต้ต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้า เว่ยซูก็กำลังรายงานสถานการณ์สำนักเทียนกู่ต่อเซี่ยโห้วลิ่งเช่นกัน
ฝั่งนี้ได้ข่าวช้ากว่าเหมียวอี้ไม่เท่าไร มาจากสมาคมวีรชนที่ถูกหน่วยตรวจการขวาใช้งาน สมาวีรชน เพราะคนที่ให้ความร่วมมือกับหน่วยตรวจการขวาสืบคดีไม่ได้มีเพียงคนของตลาดสวรรค์ ยังมีคนของสมาคมวีรชนด้วย แม้แต่ข้อมูลว่ากองทัพองครักษ์ระดมพลไปทางไหนก็ส่งมาด้วย ข่าวมาจากหลายด้าน ชัดเจนกว่าข่าวที่เหมียวอี้มี ข้อมูลรอบด้านกว่าเช่นกัน
เซี่ยโห้วลิ่งถามอย่างประหลาดใจ “กองทัพองครักษ์ก็มีคนของพวกเราเหมือนกันเหรอ?” นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้ทิศทางการเคลื่อนไหวของกองทัพองครักษ์ชัดเจนขนาดนี้
“ไม่แน่ใจขอรับ ข่าวนี้คุณชายเก้าส่งมา ทิศทางไปสอดคล้องกับข่าวที่สมาคมวีรชนให้มา เป็นสำนักเทียนกู่ขอรับ!” เว่ยซูตอบ
เซี่ยโห้วลิ่งปรบมือพลางตะคอกว่า “ดี! รวบรวมกำลังพลตามไปเดี๋ยวนี้ แล้วก็บอกเจ้าเก้าด้วย ขอเพียงแย่งของมาได้ ภายใต้สถานการณ์ที่จำเป็น เปิดเผยตัวตนต่อคนของกองทัพองครักษ์ก็ไม่เสียดาย!” เขาตระหนักได้แล้ว คนที่รู้ทิศทางการเคลื่อนไหวลับของกองทัพองครักษ์ขนาดนี้ คงมียศในกองทัพองครักษ์ไม่ต่ำ
……………