พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1963 คนคนนั้นลงมือแล้ว
“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงย้อมไปจัดการตามคำสั่ง
ทว่าหลังจากถ่ายทอดบัญชาไปถึงพกวอ๋องสวรรค์ ซ่างกวนชิงก็สีหน้าแย่พอสมควร ตอบกลับว่า “ฝ่าบาท บรรดาอ๋องสวรรค์ต่างก็แสดงความประหลาดใจ รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ พวกเขาจะสืบให้ละเอียดเดี๋ยวนี้ขอรับ!”
ใบหน้าชราของประมุขชิงดำมืดลงในชั่วพริบตาเดียว สืบให้ละเอียด? สืบให้ละเอียดบ้าอะไรล่ะ! จะสืบให้ละเอียดจนถึงเมื่อไร? เกรงว่าถ้ารอให้พวกตาแก่นั่นค่อยๆ สืบออกมา ทุกอย่างก็คงสายไปแล้ว เห็นได้ชัดว่ากำลังถ่วงเวลา ถ้าแย่งมาได้ก็ถือเป็นความสามารถ ถ้าแย่งไม่ได้จริงๆ ถึงตอนนั้นก็ผลักความรับผิดชอบให้ลูกน้องได้อยู่ดี
ในอาณาเขตปกครองของตาแก่พวกนั้น เกรงว่าถ้ากำลังพลเบื้องล่างได้รับผิดชอบแทนอ๋องสวรรค์ ก็คงรู้สึกเป็นเกียรติและรู้สึกยินดีมาก
ที่ปัดความรับผิดชอบแบบนี้ได้ ก็แสดงว่าพวกตาแก่ไม่อยากแตกคอกับเขา ไม่อยากให้วุ่นวายจนกู้สถานการณ์ไม่ได้ เช่นเดียวกัน ตอนนี้ยังยืนยันได้ไม่เต็มที่ว่านั่นคือไม้ไม่ผุจริงหรือไม่ ประมุขชิงก็ไม่สะดวกจะแตกคอกับพวกเขาจนถึงที่สุด ถ้ากดดันจนพวกอ๋องร่วมมือกันก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร
แม้แต่ประมุขชิงเก็ยังควบคุมไม่ได้ แค่คิดก็รู้แล้วคนที่โชคร้ายอีกคนอย่างอ๋องสวรรค์ฮ่าวจะเป็นอย่างไร พวกทำตัวลึกลับเหมือนผีวัวเทพงูต่างก็เข้ามาพาลเกเรบนอาณาเขตของตัวเองแล้ว ฮ่าวเต๋อฟางทำได้เพียงอดทนไว้
“ไอ้พวกชาติหมา!” ประมุขชิงด่า แต่กลับทำอะไรอ๋องสวรรค์พวกนั้นไม่ได้ หันกลับมาพูดกับโพ่จวินและอู๋ฉวี่ด้วยน้ำเสียงต่ำเบาว่า “ระดมกำลังพลไปสนับสนุนเดี๋ยวนี้ ต้องพาคนมาให้ได้ ข้าจะสอบสวนเอง!”
เรื่องนี้ไม่ต้องกำชับเลย ทั้งสองตอบว่า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไปแล้วขอรับ!”
“ฮู่ว!” ประมุขชิงถอนหายใจยาว ยืนเอามือไขว้หลังมองฟ้าอยู่ใต้ชายคา ในใจรู้สึกตกตะลึงมาก ถ้าหาไม้ไม่ผุพบแล้ว ต่อให้ไม่บรรลุระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถเป็นอมตะได้!
ในขณะนี้เอง ประมุขชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย หยิบระฆังดาราอันหนึ่งมาไว้ในมือ ขมวดคิ้วครู่หนึ่ง แล้วเขย่าตอบกลับไป
พวกซือหม่าเวิ่นเทียนสบตากัน ต่างก็รู้สึกแปลกใจ ตอนนี้คนที่สามารถติดต่อกับประมุขชิงได้โดยตรงมีไม่มาก ต่อให้เป็นพวกเขาก็ตาม ถ้าไม่มีเรื่องอะไรสำคัญจริงๆ ก็จะติดต่อกับซ่างกวนชิงก่อนเพื่อดูว่าประมุขชิงว่างหรือไม่
ประมุขชิงที่ใช้ระฆังดาราติดต่ออยู่พักหนึ่งแสยะยิ้ม แล้วหันกลับมาถามทุกคนว่า “รู้มั้ยว่าข้ากำลังติดต่อใคร?”
ทุกคนส่ายหน้า บอกใบ้ว่าไม่รู้
ประมุขชิงหันกลับไปอีกครั้ง มองท้องฟ้าด้วยแววตาเลื่อนลอย ก่อนจะหรี่ตาแล้วกล่าวช้าๆ ว่า “พี่ใหญ่พุทธะ”
ประมุขพุทธะ? ทุกคนตกใจ ซ่างกวนชิงลองถามว่า “ไม่ทราบว่าประมุขพุทธะมีเรื่องอะไรติดต่อฝ่าบาท?”
“พี่ใหญ่พุทธะบอกว่าไม่ได้ออกมาข้างนอกนานแล้ว ตอนนี้อยากจะมาเยี่ยมข้า!” ประมุขชิงพูดแล้วก็แสยะยิ้มอีก ก่อนจะส่ายหน้าบอกว่า “ในเวลานี้ยังจะมีเรื่องอะไรอีก เกรงว่าจะสะเทือนเพราะเรื่องไม้ไม่ผุแล้วน่ะสิ เคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ มีหรือที่จะปิดบังเขาได้ คงนั่งไม่ติดที่อยากจะมีส่วนแบ่ง จะออกจากภูเขาแล้ว!”
พวกลูกน้องสบตากันอย่างพูดไม่ออก หากประมุขพุทธะต้องการจะสอดมือเข้ามายุ่ง ฝั่งนี้ก็ขัดขวางไม่ไหวอยู่ดี ยังจะมีใครห้ามไม่ให้ประมุขพุทธะมาได้เชียวเหรอ?
ที่จริงแล้วไม่ได้มีแค่ประมุขพุทธะที่รู้ข่าวนี้ แม้อำนาจแต่ละฝ่ายจะพยายามปิดข่าว แต่ก็ปิดบังได้เป็นคนส่วนใหญ่ในใต้หล้าที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เท่านั้น เป็นเพราะใช้งานคนมากเกินไป คนที่พอจะมีอำนาจหน่อยส่วนใหญ่ก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
เพียงแต่ของสิ่งนี้มีทั้งคนที่กล้าแย่งชิง มีทั้งคนที่ไม่กล้าแย่งชิง แม้แต่เจ้าอาณาเขตอย่างเหมียวอี้ที่ในมือมีกำลังพลหลายสิบล้านก็ยังไม่กล้าเข้าไปยุ่งด้วยง่ายๆ แค่คิดก็รู้แล้วว่าอำนาจทั่วไปจะเป็นอย่างไร นอกเสียจากจะหาไม้ไม่ผุมาไว้ในมืออย่างเงียบๆ ไม่อย่างนั้นก็จะมีภัยถึงชีวิต อำนาจทั่วไปทำได้เพียงจ้องตาเป็นมันอยู่ข้างๆ
สำนักเทียนกู่ ตั้งอยู่ระหว่างหุบเขาหลายแห่งที่มีทิวทัศน์งดงาม
กองทัพองครักษ์มาถึงก่อน จากนั้นกำลังพลแต่ละฝ่ายก็ทยอยกันเหาะลงมาจากฟ้า กำลังพลที่หนาแน่นลอยอยู่บนฟ้า กำลังมองซากปรักหักพังด้านล่าง
ร่องรอยพวกสิ่งก่อสร้างพังถล่ม ภูเขาถล่มแผ่นดินแยก แม่น้ำภูเขาขาดสาย ดินโคลนที่พลิกขึ้นมายังสดใหม่ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเกิดการต่อสู้ได้ไม่นาน
พวกเขาตระหนักได้ว่าตัวเองมาช้าไปแล้ว มีคนลงมือก่อนพวกเขาหนึ่งก้าวแล้ว
เทพแห่งผืนดินและเทพแห่งภูผาที่อยู่ใกล้ๆ ถูกจับตัวมาอย่างรวดเร็ว ถูกกดดันถามว่า “ที่นี่คือสำนักเทียนกู่ใช่มั้ย?”
“ใช่ๆๆ ใช่ขอรับ”
“ที่นี่เกิดอะไรขึ้น?”
“ผู้น้อยเองก็ไม่ทราบแน่ชัด!”
“พวกเจ้าคือเทพแห่งภูผาเทพแห่งผืนดินของที่นี่ เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แต่ไม่รู้อะไรเลย ความผิดฐานบกพร่องต่อหน้าที่ พบเจ้ารับผิดชอบไหวเหรอ?”
“ผู้น้อยไม่ทราบแน่ชัดจริงๆ พอได้ยินเสียงต่อสู้ก็ตามมาที่นี่ พบว่าคนชุดดำกลุ่ม หนึ่งล้อมโจมตีสำนักเทียนกู่ สำนักเทียนกู่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายเลย พลังของทั้งสองฝ่ายต่างกันเกินไป ไม่นานก็ถูกกวาดเรียบไม่เหลือ ลูกศิษย์สำนักเทียนกู่ที่นี่ส่วนใหญ่ถูกจับตัวไปหมดแล้วขอรับ”
เห็นได้ชัดเจนมาก มีคนมาถึงก่อนแล้วจริงๆ พาตัวคนสำนักเทียนกู่ไปก่อนที่พวกเขาจะมาถึง
อำนาจแต่ละฝ่ายรวมตัวกันอยู่ที่นี่ มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา เหมือนจะไม่เห็นคนของตระกูลเซี่ยโห้วอยู่ฝ่ายเดียว อย่าบอกนะว่าคนของตระกูลเซี่ยโห้วลงมือก่อนแล้ว?
ความสงสัยนี้ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ช่องทางข่าวสารของตระกูลเซี่ยโห้วนำหน้าคนอื่นก้าวหนึ่งเสมอ และมีศักยภาพนี้ด้วย
แต่ละฝ่ายรีบรายงานสถานการณ์ขึ้นไป
เมื่อข่าวนี้ถูกส่งกลับมา อำนาจแต่ละฝ่ายที่อยู่เบื้องหลังก็แย่งชิงผู้หญิงสามคนยังดุเดือดยิ่งขึ้นทันที คนที่กำลังแย่งตัวล้วนได้รับคำสั่ง ว่าต้องจับเป็นให้ได้!
ต่อให้ปิ่นปักผมอันนั้นจะทำมาจากไม้ไม่ผุ แต่ทุกคนก็ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ปิ่นปักผมอันนั้น แต่พุ่งเป้าไปยังที่มาที่ไปของปิ่นปักผมอันนั้น ถ้าทำให้คนตายไป แล้วจะสอบถามความเป็นมาของปิ่นปักผมอันนั้นได้อย่างไร?
ขณะเดียวกันนี้เอง การสืบหาที่ไปของสำนักเทียนกู่ก็เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างครอบคลุมทุกด้าน แม้แต่คนที่ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าต้องเกี่ยวข้องกับสำนักเทียนกู่แน่นอน เมื่อเล็งเป้าหมายได้แล้วก็ย่อมต้องตรวจสอบ ไม่ว่าใครหรืออำนาจฝ่ายไหนที่ไปมาหาสู่กับสำนักเทียนกู่ ก็ล้วนอยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ เรื่องที่ว่าใครจับตัวคนของสำนักเทียนกู่ไป ก็ย่อมอยู่ในขอบเขตการสืบสวนอย่างเข้มงวด ประตูดวงดาวทั้งเขตทัพใต้แทบจะตั้งด่านอย่างรวดเร็ว
“ไม้ไม่ผุ?”
แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง บนตึกของตำหนักปราชญ์ หยางชิ่งถามอย่างประหลาดใจ
จินม่านสังเกตความเคลื่อนไหวภายนอกและคอยรายงานตลอดเวลาตามที่เขาชี้แนะ นางพยักหน้าตอบว่า “ใช่แล้ว! ยืนยันได้แล้ว ตอนนี้อำนาจใหญ่ๆ แต่ละฝ่ายกำลังแย่งชิงกันดุเดือดที่น่านฟ้ามะเมียเกิง กำลังแย่งตัวผู้หญิงสามคนนั้นที่อาจรู้ว่าไม้ไม่ผุอยู่ตรงไหน ถ้าโจรกบฏพวกนั้นได้ไม้ไม่ผุไป แบบนั้นก็ต้องยกประโยชน์ให้พวกเขาแล้วจริงๆ แต่น่าเสียดายที่กำลังของพวกเราไม่พอ ไม่อย่างนั้นจะต้องไปแย่งด้วยแน่”
หยางชิ่งแววตาวูบไหว ถามทันทีว่า “น่านฟ้ามะเมียเกิงอยู่ในอาณาเขตทัพใต้ใช่มั้ย?”
จินม่านงงไปชั่วครู่ ในใต้หล้ามีอาณาเขตดาวมากมายขนาดนั้น จะไปจำหมดได้อย่างไร แม้แต่นางเองก็ตรวจสอบมาก่อนถึงได้รู้ว่าอยู่ในอาณาเขตทัพใต้ นึกไม่ถึงว่าหยางชิ่งจะถามแล้ว นางพยักหน้าทันที “ไม่ผิดหรอก เจ้านี้ความจำดีนะ”
หยางชิ่งส่ายหน้าเบาๆ และยิ้มเล็กน้อย จากนั้นพยักหน้าบอกว่า “รบกวนประมุขปราชญ์แล้ว”
“ยังมีอะไรจะกำชับอีก?” จินม่านถาม
“ติดตามเรื่องนี้ต่อไปก็พอ” หยางชิ่งกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
พอบอกว่าให้ติดตามเรื่องนี้ จินม่านก็ถามอย่างสงสัยว่า “ก่อนหน้านี้ จู่ๆ เจ้าก็สนใจความเคลื่อนไหวด้านนอกเป็นพิเศษ คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรอกใช่ไหม?”
หยางชิ่งยิ้มเจื่อน “เจ้าคิดมากไปแล้ว ถ้าข้ารู้เรื่องนี้ล่วงหน้า พวกเราต้องลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบแน่นอน ยังจะรอให้โจรกบฏพวกนั้นแย่งกันไปแย่งกันมาได้ยังไง”
จินม่านครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจองเขาพลางส่ายหน้า “ไม่ถูกสิ ราชาปราชญ์กำลังเผชิญวิกฤต จู่ๆ ก็มีเรื่องนี้โผล่มา มีผลช่วยแก้ไขวิกฤตให้ราชาปราชญ์ได้ เกิดผลดีต่อราชาปราชญ์ที่สุด นี่คงไม่ใช่ว่าราชาปราชญ์วางแผนด้วยตัวเองหรอกนะ?”
“ฟังจากที่เจ้าพูด เหมือนในมือราชาปราชญ์มีไม้ไม่ผุอย่างนั้นแหละ”
“ต่อให้ไม่มีไม้ไม่ผุแต่ก็สามารถวางแผนได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกที่กำลังแย่งของกันก็ไม่แน่ใจด้วยว่าเต็มไม้ไม่ผุจริงหรือเปล่า มันอาจไม่มีอยู่เลยก็ได้”
“เจ้าคิดมากไปจริงๆ ถ้าไม่มีไม้ไม่ผุ เรื่องนี้แค่ลมพัดมาวูบเดียวก็คงจะผ่านไปแล้ว วิกฤตที่ราชาปราชญ์ควรจะเผชิญ เดี๋ยวต่อไปมันก็มาอยู่ดี”
สรุปก็คือหยางชิ่งสิ้นเปลืองคำพูดมากมายกว่าจะไล่จินม่านไปได้ ขณะมองคล้อยหลังจินม่านเดินออกไป หยางชิ่งก็ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เกิดความสงสัยแล้ว คำอธิบายของตนไม่พอที่จะคลายความสงสัยของนางได้
อย่าว่าแต่จินม่านเลย หลังจากจินม่านเดินออกไปแล้ว แม้แต่ชิงจวี๋ที่ทำสายตาวูบไหวก็เดินเข้ามาหาแล้วเช่นกัน นางลองถามว่า “นายท่าน เป็นแผนของเหมียวอี้จริงหรือคะ?”
หยางชิ่งเดินออกจากโต๊ะช้าๆ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ไม่ใช่! คงจะเป็นคนคนนั้นที่ลงมือแล้ว เหมียวอี้เดินมาถึงขั้นนี้ได้ ข้าเดาว่าเขาคงไม่ทนดูเหมียวอี้ความพยายามสูญเปล่าง่ายๆ แน่ เป็นอย่างที่คาดไว้ เขาลงมือแล้วจริงๆ!”
ชิงจวี๋รู้แล้วว่า ‘คนนั้น’ คือใคร นางทำสีหน้าตกตะลึง
หยางชิ่งเดินเข้ามาพิงหลังเก้าอี้เบาๆ แล้วเดาะลิ้นอย่างตกตะลึง “ก่อนหน้านี้ข้ายังกังวลว่าเขาจะลงมือหรือเปล่า เพราะข้าไม่รู้ว่าเขาจะทำยังไง ถึงจะสามารถแก้ไขวิกฤตอันใหญ่หลวงที่เหมียวอี้เผชิญได้ เขาก็เลยไม่กล้าฟันธง ไม่ว่าจะยังไงข้าก็นึกไม่ถึงว่าเขาจะโยนเรื่องไม้ไม่ผุออกมา ของสิ่งนี้มีน้ำหนักไม่ธรรมดา ทำลายสถานการณ์ได้อย่างแนบเนียน เหนือชั้นมาก ข้าเดาว่าในมือเขาคงจะมีไม้ไม่ผุจริงๆ เป็นคนรายละเอียดล้ำลึกจริงๆ ด้วย แม้แต่ของชนิดนี้ก็ยังหามาได้ ทำให้คนคาดไม่ถึงจริงๆ”
“นายท่านแน่ใจได้ยังไงว่าในมือคนคนนั้นมีไม้ไม่ผุจริงๆ?” ชิงจวี๋ตกใจ
“สาเหตุไม่ได้ซับซ้อน ถ้าทำของปลอมออกมา แค่ตรวจสอบดูก็รู้แล้ว เรื่องนี้จะผ่านไปเร็วมาก มีแต่ของจริงเท่านั้นถึงจะสร้างความวุ่นวายได้” หยางชิ่งกล่าว
ชิงจวี๋ตกใจไม่เบา ไม้ไม่ผุไม่ใช่ของธรรมดา การมีของสิ่งนี้ได้ทำให้คนตกใจจริงๆ นางถามอย่างฉงนใจอีกว่า “นายท่านบอกว่าเขากลัวความสัมพันธ์ของตัวเองกับเหมียวอี้จะเปิดโปง เลยไม่ลงมือง่ายๆ ไม่ใช่เหรอคะ? แต่สร้างความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ อำนาจหลายฝ่ายร่วมมือกันตรวจสอบ เขาไม่กลัวจะถูกสืบเจอเบาะแสเชียวหรือ?”
หยางชิ่งตอบกลั้วหัวเราะ “คิดมากไปแล้ว ก็เพราะเขากลัวโดนเปิดโปงนี่แหละ คนประเภทนี้ก็แค่ไม่ลงมือเท่านั้นเอง พอลงมือก็ย่อมแนบเนียนไร้รอยต่อ ทุกอย่างถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วแน่นอน ที่มาที่ไปของไม้ไม่ผุจะต้องมีหลักฐานและเหตุผลแน่นอน สืบสาวไปไม่ถึงตัวเขาหรอก”
พอพูดจบก็โบกมือสื่อว่าไม่ให้นางถามเยอะ หลังจากครุ่นคิดเงียบๆ พักหนึ่ง ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้
เหมียวอี้ในตอนนี้ก็กำลังดูเอาสนุก ดูพวกพี่ใหญ่แต่ละฝ่ายแย่งกันไปแย่งกันมา กำลังเผชิญวิกฤติอยู่แท้ๆ ผลปรากฏว่าชั่วพริบตาเดียวเขาก็ไม่เป็นอะไรแล้ว
แน่นอน เขาเองก็ไม่ได้ว่าง อวิ๋นจือชิวออกจากแดนรัตติดาลอย่างเงียบๆ แล้ว นางกลับมาที่พิภพเล็ก แม้ต้นไม้ต้นนั้นจะถูกเฟิงเป่ยเฉินตัดไปแล้ว แต่ตามปกติก็ไม่มีใครไปที่ยอดเขาเมฆาร่วงหล่น ไม่แน่ว่าอาจจะเจอเศษซากให้นำมาตรวจสอบว่าใช่ไม้ไม่ผุหรือไม่กันแน่
ส่วนเหมียวอี้ก็กำลังตรวจสอบทัพใหญ่ที่สร้างขึ้นใหม่รวมทั้งที่อยู่ของครอบครัวทัพใหญ่
ตอนที่ได้รับข้อความจากหยางชิ่ง เหมียวอี้กำลังอยู่ในบ้านที่สร้างเสร็จใหม่ของเหิงอู๋เต้า
ประโยคแรกที่หยางชิ่งพูดทำให้เหมียวอี้ตกใจ : นายท่าน โอกาสที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะโจมตีทัพใต้มาถึงแล้ว!
………………