พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1968 แม่ยายมาเยือน
เหวินเจ๋อยิงฟัน รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เข้ามาใกล้แล้วพูดเสียงเบาว่า “ไม่ปิดบังนายท่าน ข้าได้ข่าวมาจากวังสวรรค์นิดหน่อย ช่วงนี้ราชินีสวรรค์กับฝ่าบาทค่อนข้างตึงใส่กัน ราชินีสวรรค์เจ้าอารมณ์มาก ไม่มีใครกล้ายั่วโมโห ผู้การใหญ่ซ่างกวนคงไม่สะดวกจะเอ่ยปากเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้ข้ามาพูดเรื่องนี้หรอก”
เหมียวอี้เลิกคิ้ว “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า เพียงแต่เจ้าต้องทำความเข้าใจเรื่องบางเรื่องเอาไว้ให้ชัดเจน เจ้ายืนอยู่ฝั่งไหนกันแน่? ตอนนี้เจ้าคือคนของจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล แต่กลับช่วยคนนอกมาเฉือนแบ่งเนื้อของฝั่งนี้ รองผู้สำเร็จราชการเขาทำกันแบบนี้เหรอ? ในภายหลังจะยังกล้าปล่อยอำนาจให้เจ้าอีกเหรอ?”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้หน้าซ่างกวนชิง แต่สมาคมวีรชนนับเป็นอะไรล่ะ ถ้าแม้แต่สมาคมวีรชนก็ยังให้ส่วนแบ่ง ต่อไปถ้ามีอำนาจฝ่ายอื่นมาหาจะให้เขาปฏิเสธอย่างไร จะให้เปล่าๆ เยอะขนาดนั้นได้อย่างไร อย่างมากครั้งนี้เตรียมจะแบ่งเป็นของขวัญให้ซ่างกวนชิงก็พอ
เหวินเจ๋อถูกเขาว่าจนอับอายเล็กน้อย อธิบายว่า “ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฝั่งนั้นให้ข้ามาบอกเจ้าให้ยืดหยุ่นให้สักหน่อย เดี๋ยวจะส่งคนมาเจรจาเรื่องนี้อีกที”
ที่จริงซ่างกวนชิงก็ให้เขาพยายามจัดการให้สำเร็จ แม้จะส่งคนแยกมาอีกครั้ง แต่คาดว่าคนที่ซ่างกวนชิงส่งมาก็คงจัดการกับเหมียวอี้ไม่ได้ ดังนั้นจึงส่งเหวินเจ๋อมาเป็นรองผู้สำเร็จราชการที่นี่ คอยช่วยออกแรงให้เบื้องหลังซ่างกวนชิงเช่นกัน เนื่องจากซ่างกวนชิงรู้สึกว่าเหวินเจ๋อมีความสัมพันธ์ค่อนข้างดีกับเหมียวอี้ ไม่อย่างนั้นครั้งนี้ก็คงไม่ถึงคราวที่เหวินเจ๋อจะได้มาเป็นรองผู้สำเร็จราชการ เหวินเจ๋อมาที่นี่ได้ก็เรียกได้ว่าเป็นแผนสำรองของซ่างกวนชิง
แต่สถานการณ์ปัจจุบันของฝั่งนี้ก็คือมีผลประโยชน์ให้ทุกคนมาขอแบ่ง ส่วนอำนาจใหญ่เหมียวอี้ก็ยึดไว้คนเดียว เหมียวอี้กำไว้ในมืออย่างแน่นหนา เหมียวอี้พูดประโยคเดียวก็ไล่เหวินเจ๋อได้แล้ว เหวินเจ๋อเองก็ไม่กล้าช่วยเหลือภายนอกมากเกินไป ผลักความรับผิดชอบทันที
“ส่งใครมา?” เหมียวอี้ถาม
“ไม่รู้เหมือนกัน” เหวินเจ๋อส่ายหน้า เขาไม่รู้จริงๆ ว่าส่งใครมา
เพียงแต่ไม่นานเหมียวอี้ก็ได้รู้ความจริง นอกจากสมาคมวีรชนแล้วยังจะมีใครอีก
เหมียวอี้ไม่อยากเจอ ตอนนี้สมาคมวีรชนไม่ได้สำคัญอะไรในสายตาเขา เขาไม่ใช่เหมียวอี้ในปีนั้นที่ถูกสมาคมวีรชนบีบให้มอบหุ้นในมือให้อีกแล้ว อาศัยกำลังของเขาตอนนี้ สมาคมวีรชนทำอะไรเขาไม่ได้เลย
ทว่าคนที่มีค่อนข้างพิเศษ มิอาจไม่พบ ผู้ที่มาก็คือหวงฝู่ตวนหรง ผู้จัดการใหญ่ของของสมาคมวีรชน
ไม่ใช่แค่ต้องพบ ทั้งยังไปต้อนรับนอกจวนผู้สำเร็จราชการด้วยตัวเอง ไม่เห็นแก่หน้าภิกษุสงฆ์ก็เห็นแก่หน้าพระพุทธรูป นั่นคือมารดาของหวงฝู่จวินโหรว ไม่ต้องพูดถึงว่าเขากับหวงฝู่จวินโหรวมีความสัมพันธ์อย่างนั้นกันแล้ว อีกฝ่ายแอบส่งข่าวลับให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า ในภายหลังยังมีเรื่องให้ใช้งานได้อีก จึงไม่กล้าล่วงเกิน
พอพบหน้ากัน เหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะต้อนรับอยู่ตรงประตูอย่างร่าเริง “ลมอะไรหอบผู้จัดการใหญ่มาถึงที่นี่แล้ว”
ในดวงตาหวงฝู่ตวนหรงฉายแววหลากอารมณ์ ทักทายกลับอย่างสุภาพ “ทักทายนายท่านผู้สำเร็จราชการ”
“ไม่ต้องมากพิธี เชิญ!” เหมียวอี้ยื่นมือและหลีกทางให้ ต้อนรับเข้ามาด้วยตัวเอง
พอเข้ามาในจวนผู้สำเร็จราชการแล้ว หวงฝู่ตวนหรงก็มองไปรอบๆ ทุกที่ล้วนมียอดฝีมือคอยอารักขา บวกกับกำลังทหารมากมายด้านนอก ในใจก็แอบตกตะลึง เจ้าเด็กนี่กลายเป็นเจ้าอาณาเขตที่มีอำนาจมากแล้วจริงๆ น่าเสียดายที่ลูกสาวตัวเองไม่ได้เสพสุขกับเกียรติยศความร่ำรวยนี้
พอเข้ามาในโถงรับแขก วางน้ำชาเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็กันคนอื่นออกไป แม้แต่หยางเจาชิงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อใจหยางเจาชิง แต่เป็นเพราะรู้สึกอับอาย
หยางเจาชิงที่ถอยออกมาไม่รู้สึกแปลกใจ เขาพอจะสัมผัสได้ว่าเหมียวอี้กับผู้จัดการใหญ่ท่านนี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกัน ไม่อย่างนั้นแล้ว ขนาดเรื่องไม้ไม่ผุยังไม่ปิดบังตนเลย ทำไมต้องหลบเลี่ยงตนเวลาคุยกับท่านนี้ด้วย
เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว ท่าทีของหวงฝู่ตวนหรงก็เปลี่ยนไป นางเลิกคิ้วมองเหมียวอี้ด้วยสายตาเยียบเย็น
เหมียวอี้ละอายเล็กน้อย ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาปิดบังใบหน้า
หวงฝู่ตวนหรงไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน ได้แต่รออยู่อย่างนั้น
“ท่านมาได้ยังไง?” สุดท้ายเหมียวอี้ก็จำต้องเอ่ยถาม
“ไม่ต้อนรับเหรอ?” หวงฝู่ตวนหรงแสยะยิ้ม “ก็ใช่ ตลาดสวรรค์ทั้งใต้หล้าอยู่ในมือเจ้าแล้ว นายท่านผู้สำเร็จราชการตำแหน่งสูงอำนาจมาก มีหรือที่จะเห็นการเจรจาค้าขายของตัวละครเล็กๆ อย่างข้าอยู่ในสายตา ที่มาพบข้าได้ก็นับว่าไว้หน้าข้ามากแล้ว”
เหมียวอี้ไอแห้งหนึ่งที “ความสัมพันธ์ของพวกเราไม่ได้อยู่ที่เรื่องนี้”
หวงฝู่ตวนหรงหัวเราะเสียงเย็น “พวกเรามีความสัมพันธ์อะไรกัน? เจ้าลองบอกมาสิว่าพวกเรามีความสัมพันธ์อะไรกัน”
ได้ลูกสาวเขาแล้วแต่ดันไม่แต่งงานด้วย มีความสัมพันธ์อะไรเหมียวอี้ก็พูดได้ไม่ชัดเหมือนกัน ทำได้เพียงยิ้มแห้งแล้วเปลี่ยนประเด็นสนทนา “จวินโหรวยังสบายดีใช่มั้ย?”
“อย่ามาถามข้า!” หวงฝู่ตวนหรงปัดทิ้งทันที พอพูดถึงเรื่องนี้นางก็โมโหทันที เพราะทั้งชีวิตของลูกสาวพังด้วยน้ำมือไอ้เวรตะไลนี่แล้ว “เจ้าก็รู้ว่าข้ามาทำอะไร เรื่องร้านขายของชำซื่อตรงเจ้าเตรียมจะทำยังไง?”
เหมียวอี้ร่ำร้องในใจ ทำไมถึงให้ผู้หญิงคนนี้มาเจรจาเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่ามีใครจงใจเพราะรู้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ระดับนี้อยู่หรอกใช่มั้ย แต่พอคิดไปคิดมาก็พบว่าตัวเองคิดมากไปเอง เดิมทีผู้หญิงคนนี้ก็ควบคุมดูแลร้านค้าของสมาคมวีรชนอยู่แล้ว ให้นางมาที่นี่ก็เป็นเรื่องปกติมาก
เหมียวอี้ทำได้เพียงยิ้มแห้ง “ร้านขายของชำซื่อตรงไม่เกี่ยวข้องกับข้า ถามผิดคนแล้วหรือเปล่า?”
หวงฝู่ตวนหรงกล่าวด้วยสีหน้าดุร้ายทันที “กล้าพูดเหรอว่าไม่เกี่ยวข้อง? เจ้าพาคนของสำนักลมปราณไปหมดแล้ว ทั้งยังต้องการจะสร้างร้านใหม่ด้วย ไม่ใช่ว่าจะอยากจะเบียดร้านขายของชำซื่อตรงให้ล้มหรอกเหรอ? แล้วใครจะรับผิดชอบความเสียหายของข้า?”
เหมียวอี้เถียงว่า “ไม่เกี่ยวข้องกับข้าจริงๆ เป็นตระกูลเซี่ยโห้วที่ปล่อยคนไป มีอะไรเสียหายก็ไปหาตระกูลเซี่ยโห้วสิ มาหาข้าก็ไม่มีประโยชน์หรอก!”
“อ้าว!” หวงฝู่ตวนหรงเหน็บแนม “สงสัยสันดานจะเป็นแบบนี้จริงๆ กินหมดแล้วไม่จ่ายเงินจนติดเป็นนิสัย”
เหมียวอี้ปาดเหงื่อ ย่อมฟังออกแล้วว่านางเหน็บแนมเรื่องอะไร ได้แต่ยิ้มแห้ง “ท่านคิดจะเอายังไงกันแน่ล่ะ?”
หวงฝู่ตวนหรงบอกว่า “ก็ได้ ถ้าเจ้าอยากจะสร้างร้านใหม่ก็ได้ แต่ต้องแบ่งหุ้นสองส่วนของร้านใหม่ให้ข้าเพื่อเป็นการชดเชย”
มีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าจะเอาหุ้นสองส่วน ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นเหมียวอี้คงไล่ตะเพิดไปแล้ว แต่ทำอย่างนั้นกับท่านนี้ไม่ได้ เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “นี่ไม่ใช่ว่ากลั่นแกล้งข้าหรอกเหรอ? ถ้าข้ายืดหยุ่นเรื่องนี้ให้สมาคมวีรชน เวลาคนอื่นมาขอข้าแบบนี้บ้าง ข้าจะปฏิเสธพวกเขายังไง?”
“คนอื่นเกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ ข้ามาหาเจ้า เจ้าก่อเรื่องนี้ขึ้น เรื่องนี้ลามมาถึงหัวข้าแล้ว ข้าให้คำชี้แจงไม่ได้ ถ้าไม่ให้มาหาเจ้าแล้วจะให้ไปหาใคร?” หวงฝู่ตวนหรงถาม
เหมียวอี้ถอนหายใจ “นี่คือเรื่องของสมาคมวีรชน ไม่ใช่เรื่องของท่านคนเดียว ทำไมต้องจริงจังขนาดนั้น ข้ารับมือกับซ่างกวนชิงได้ ไม่ต้องให้ท่านกังวลหรอก”
หวงฝู่ตวนหรงกัดฟัน “เจ้าก็พูดได้สบายปาก เดิมทีข้าก็เป็นคนดูแลเรื่องร้านค้านี้ มีแต่ต้องดูดีในด้านผลประโยชน์เท่านั้น ข้าถึงจะมีความมั่นใจในการต่อรองกับที่บ้าน ถ้าข้าไม่มีอำนาจต่อรองในตระกูลหวงฝู่ ถึงตอนนั้นข้าจะอาศัยอะไรทำให้ลูกสาวได้สืบทอดตำแหน่งผู้จัดการใหญ่? เจ้าคิดว่าทรัพยากรของตระกูลใหญ่จะได้มาง่ายๆ ขนาดนั้นเหรอ ถ้าถูกเบียดไปยืนปลายแถว ก็ถึงขั้นชีวิตตกต่ำกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ ถ้าข้าไม่ช่วยนางแล้วใครจะช่วยนาง อย่าบอกนะว่าจะให้หวังพึ่งเจ้า?”
“เอ่อ…” เหมียวอี้พูดไม่ออก เขาไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน เรื่องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันในตระกูลใหญ่นั้นมีความเป็นไปได้อยู่แล้ว ผ่านมาหลายปีขนาดนี้เหมือนตัวเองจะไม่เคยให้อะไรหวงฝู่จวินโหรวเลย ถ้าขัดขวางเส้นทางของนางอีกก็เหมือนจะทำเกินไปหน่อย ภูมิหลังของหวงฝู่จวินโหรวก็เห็นๆ กันอยู่ ตอนนี้ตัวเองไม่มีทางแต่งงานเพื่อรับมาดูแลได้ แล้วทั้งสองก็ไม่สะดวกจะไปมาหาสู่กันบ่อยๆ เพราะง่ายต่อการถูกจับได้ เขาขมวดคิ้วลังเลหลายครั้ง จากนั้นก็ถอนหายใจอีก “เอาอย่างนี้มั้ย ข้าให้หุ้นท่านส่วนหนึ่ง ตกลงไหม?”
“นี่เจ้ากำลังทำเหมือนไล่ขอทานเหรอ?” หวงฝู่ตวนหรงกัดฟันถาม
เหมียวอี้กล่าวด้วยความจนใจ “โลกนี้จะมีขอทานที่ดูร่ำรวยขนาดนี้ได้ยังไง? หุ้นส่วนนี้ก็ไม่ได้ให้เฉยๆ ให้สมาคมวีรชนเอาทรัพยากรมาแลก”
หวงฝู่ตวนหรงถลึงตา พลันยืนขึ้นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “ช่างเป็นหนิวโหย่วเต๋อที่ดีนัก วันนี้นับว่าข้ารู้จักเจ้าแล้ว”
เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนตาม ใช้สองมือบอกใบ้ว่าอย่าใจร้อน “ทำแบบนี้ไม่ใช่ว่าไว้หน้าท่านหรือไง ถ้าข้าจะไม่ให้เลยสักนิด สมาคมวีรชนก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ข้าไม่กลัวที่จะบอกท่านหรอกนะ ขนาดซ่างกวนชิงฝากฝังให้คนมาบอกข้า ข้ายังไม่สนใจเลย ที่ให้หุ้นสมาคมวีรชนหนึ่งส่วนก็เพื่อจะให้ท่านกลับไปรายงานได้สะดวก นอกจากนี้ ข้าแอบแบ่งหุ้นหนึ่งส่วนไว้ให้จวินโหรวแล้ว ผลประโยชน์ส่วนนั้นข้าให้จวินโหรวคนเดียว ข้าไม่มีเหตุผลที่จะยกประโยชน์ทั้งหมดให้สมาคมวีรชน”
หวงฝู่ตวนหรงเบะปากเล็กน้อย ความโกรธหายไปในชั่วพริบตาเดียว แล้วก็นั่งลงช้าๆ อีกครั้ง กิจการใหญ่ขนาดนั้น ถ้าให้หุ้นมาหนึ่งส่วนก็ถือว่าเป็นรายรับที่เยอะมากจนน่าตกใจแล้ว ขุนนางใหญ่มากมายอยากจะได้หุ้นส่วนหนึ่งของร้านขายของชำแต่ก็ยังไม่ได้ ถ้าลูกสาวได้มาจริงๆ ทั้งชีวิตนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่ เสพสุขไม่รู้จบ นางคิดในใจว่าเจ้าเด็กนี่ก็ยังนับว่ามีมโนธรรม
เมื่อตกลงเรื่องนี้กันเรียบร้อยแล้ว หวงฝู่ตวนหรงก็รู้เช่นกันว่าคนตำแหน่งอย่างเหมียวอี้ไม่ว่างมาจัดการรายละเอียดเรื่องการเจรจาด้วยตัวเอง ตอนหลังย่อมส่งคนไปเจรจากับสมาคมวีรชนเอง นางถึงได้มมีอารมณ์จิบน้ำชาอย่างเอื่อยเฉื่อย พอวางถ้วยน้ำชาลง ก็เลิกคิ้วบอกว่า “ข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก ถ้าจะเดินเล่นสักหน่อยคงไม่ถือสาหรอกใช่มั้ย?”
“งั้นข้าจะเป็นเดินเล่นเป็นเพื่อนท่านเอง ตกลงมั้ย?” เหมียวอี้ถามกลั้วหัวเราะ
หวงฝู่ตวนหรงลุกขึ้นยืนอีกครั้ง “เรื่องนั้นไม่ต้องหรอก ผู้สำเร็จราชการผู้สง่าผ่าเผยอย่างเจ้า ถ้ามาเดินเล่นกับข้าด้วยตัวเอง เดี๋ยวคนจะสงสัยเอาได้ง่ายๆ ฮูหยินขอเจ้าอยู่ที่ไหน? ข้ายังไม่เคยคุยด้วยจริงๆ จังๆ สักที ไปเดินเล่นกับฮูหยินของเจ้าก็พอแล้ว” นางอยากจะสัมผัสใกล้ชิดกับอวิ๋นจือชิวสักหน่อย ดูว่าผู้หญิงคนนี้จะดีกว่าลูกสาวนางสักเท่าไรกัน อวิ๋นจือชิวมีสิทธิ์อะไรมาเสพสุขกับเกียรติยศความร่ำรวยอย่างสง่าผ่าเผย แต่ลูกสาวนางกลับทำได้เพียงหลบๆ ซ่อนๆ โดยไม่ให้ใครรู้
ปาดเหงื่อ! เหมียวอี้รีบบอกว่า “นางออกไปทำธุระข้างนอก ตัวไม่อยู่ ให้ข้าไปเป็นเพื่อนท่านเถอะ”
“ทำไมลาะ? ซ่อนไว้ไม่กล้าให้ข้าเจอ กลัวข้าจะหลุดปากพูดอะไรหรือยังไง?” หวงฝู่ตวนหรงแสยะยิ้ม
เหมียวอี้แอบร้องในใจทันที “นางไม่อยู่จริงๆ ข้าไม่ได้โกหก หรือไม่อย่างนั้นท่านก็พักอยู่ที่นี่สักคืน เดี๋ยวนางก็คงจะกลับมาแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยให้นางเดินเล่นเป็นเพื่อนท่านตกลงมั้ย?”
เมื่อเห็นว่าเขาดูไม่เหมือนกำลังโกหก หวงฝู่ตวนหรงก็โบกมือ “ช่างเถอะ ข้าก็พูดไปอย่างนั้นเอง คนฐานะอย่างข้ามาว่างเดินเล่นอยู่ที่นี่คงไม่เหมาะสม ไม่รบกวนดีกว่าฃ”
บทจะไปก็ไป เหมียวอี้อยากจะให้นางไปจะแย่อยู่แล้ว กลัวว่านางจะกลับมาแล้วเจออวิ๋นจือชิว กอปรกับอยากจะหลบเลี่ยง จึงไม่ได้ออกมาส่งด้วยตัวเอง ให้หยางเจาชิงไปส่งแทน
ขณะมองคล้อยหลังนางจากไป เหมียวอี้ก็เอามือตบหน้าผาก จะให้หุ้นหนึ่งส่วนนั่นกับหวงฝู่จวินโหรวอย่างไรก็ยังเป็นปัญหา จะให้คนอื่นรู้ไม่ได้ ยังต้องคิดให้ดีอีกทีว่าจะดำเนินการอย่างไร
หวงฝู่ตวนหรงไปได้ไม่นาน ก็มีแขกมาอีกแล้ว นับว่าเป็นแขกผู้มีเกียรติ โค่วเจิงมาเยือนด้วยตัวเอง
แม้จะไม่ได้มีบุญคุณติดค้างอะไรกับตระกูลโค่วแล้ว แต่ในนามก็ยังเป็นญาติกัน โค่วเจิงเองก็เป็นถึงท่านโหว สิ่งที่ภายนอกควรจะทำก็ยังต้องทำ เหมียวอี้ออกมาต้อนรับด้วยตัวเองอีก
“พี่ใหญ่มาที่นี่ได้ นับว่าเป็นแขกที่หายากยิ่ง เชิญด้านใน!” นอกจวนผู้สำเร็จราชการ เหมียวอี้กุมหมัดคารวะต้อนรับ
“เหอะๆ!” โค่วเจิงตบบ่าเขาด้วยรอยยิ้ม เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ก็ยังวางมาดสูงส่งและเห็นเหมียวอี้เป็นน้องชาย เขาเอามือไขว้หลังมองไปรอบๆ “ไม่รีบหรอก เป็นครั้งแรกที่มาที่นี่ เดินเล่นเป็นเพื่อนข้าให้ทั่วสักหน่อยเถอะ”
…………………………