พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1969 ระฆังดาราแบบใหม่
ท่าทีที่ดูอวดดีนิดๆ ของเขาทำให้พวกหยางเจาชิงข้างๆ รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นลูกน้องของเหมียวอี้ ฝั่งนี้ไม่ได้ถูกควบคุมโดยตระกูลโค่ว ผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านพ่อบุญธรรมอย่างโค่วหลิงซวีปฏิบัติต่อฝั่งนี้อย่างไรทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจ จะมาวางมาดอะไรกันที่นี่
ที่จริงโค่วเจิงก็ตั้งใจทำอย่างนี้ โค่วเจิงเอ็งก็ไม่ใช่คนที่ขาดการอบรมอะไร เพียงแต่ตอนนี้ในใจรู้สึกไม่พอใจเหมียวอี้มาก จากมุมมองของเขา ถ้าไม่มีการช่วยเหลือจากตระกูลโค่ว เหมียวอี้อาจไม่รอดชีวิตมาถึงทุกวันนี้ก็ได้ แต่ยามที่เหมียวอี้จะแปรพักตร์ก็ไม่มีไมตรีเลยสักนิด ในสายตาเขาถือว่ากินบนเรือนขี้บนหลังคา ดังนั้นจึงอยากทำตัวกำเริบเสิบสานกดเหมียวอี้สักหน่อย
“ได้!” เหมียวอี้พยักหน้ายิ้ม ตอบรับอย่างตรงไปตรงมา
โค่วเจิงเองก็ไม่กลัวอันตราย โบกมือบอกผู้ติดตามว่าไม่ต้องตามมา เหาะออกไปกลับเหมียวอี้ตามลำพัง
ทั้งสองเที่ยวดูจนทั่วรอบหนึ่ง เที่ยวชมทุกแห่ง โค่วเจิงวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ของที่นี่ตลอดทาง
ตอนที่ไปชมทิวทัศน์บนยอดเขา ในที่สุดโค่วเจิงก็เอ่ยถึงประเด็นหลักแล้ว “น้องเขย เจ้าทำแบบนี้กับเรื่องของสำนักลมปราณ ความเสียหายของตระกูลโค่วที่ร้านขายของชำซื่อตรงไม่น้อยเลยนะ!”
เหมียวอี้ยิ้มเยาะในใจ ตอนที่พวกเจ้าข่มแย่งคว้าชิง พวกเจ้าเคยเห็นความเสียหายของคนอื่นเป็นเรื่องใหญ่บ้างหรือเปล่าล่ะ? เพียงแต่ปากกลับถอนหายใจแล้วบอกว่า “พี่ใหญ่ ข้าเองก็ทำตามใจไม่ได้เหมือนกัน ครั้งนี้ข้าเตรียมของขวัญส่วนหนึ่ง ถือเป็นการชดเชยต่อท่านพ่อบุญธรรม”
โค่วเจิงเรียบๆ “คนครอบครัวเดียวกันไม่พูดจาเป็นอื่น ของขวัญน่ะช่างเถอะ ตระกูลโค่วมีหุ้นสองส่วนอยู่ที่ร้านขายของชำซื่อตรง หลังจากเจ้าสร้างร้านค้าใหม่ขึ้นมาแล้ว ตระกูลโค่วก็จะครองหุ้นสองส่วนนั้นเหมือนกัน ถือว่าเป็นการสนับสนุนเจ้าก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นถ้าไม่มีอำนาจหนุนหลังสักหน่อย เนื้ออ้วนชิ้นใหญ่ขนาดนี้เจ้ากลืนคนเดียวไม่ไหวหรอก จะมีคนมาก่อกวนอย่างเลี่ยงไม่ได้”
พอเอ่ยปากก็จะเอาหุ้นสองส่วนเลย เหมียวอี้เงียบไปอย่างเห็นได้ชัด รู้ว่าสิ่งที่บอกว่าก่อกวนหมายถึงอะไร สุดท้ายแล้วตลาดสวรรค์ในทัพเหนือก็ยังอยู่ในอาณาเขตของอีกฝ่าย เขาจึงตอบเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่ คนที่มาขอหุ้นจากข้าไม่ได้มีท่านคนเดียว มีเยอะมาก!”
โค่วเจิงเหล่ตามองเขา คิดในใจว่า นี่เป็นเรื่องของเจ้า ใครใช้ให้เจ้าไม่มีศักยภาพนั้นแต่กลับโลภอ้าปากกว้างล่ะ “ความสัมพันธ์ของเราทั้งสองเหมือนกับพวกเขาเสียที่ไหนล่ะ?”
เหมียวอี้เดือดดาลในใจ แต่ภายนอกตอบอย่างใจเย็น “หรือว่าเอาอย่างนี้ไหม ยังไม่ทันก่อตั้งร้านค้าขึ้นมาเลย พี่ใหญ่อย่ารีบร้อน เดี๋ยวฝ่ายข้าจะรวบรวมหุ้นของฝ่ายต่างๆ แล้วนำมาเจรจาด้วยกันดีไหม?”
“กับคนอื่นเจ้าค่อยๆ เจรจากับพวกเขาไปเถอะ ข้ามาด้วยตัวเองแล้ว เจ้าให้คำตอบที่แน่นอนกับข้าไม่ได้เหรอ?” โค่วเจิงถาม
“ให้ค่าพิจารณาอีกสักหน่อยเถอะ” เหมียวอี้กล่าว
“ได้! ให้เวลาเจ้าค่อยๆ พิจารณาหนึ่งชั่วยาม” โค่วเจิงตอบด้วยน้ำเสียงปกติ
เหมียวอี้เหลือบตาขึ้นมองเขา โค่วเจิงสบตาเขา แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมหรอ? หรือว่ามีปัญหา? งั้นให้เวลาเจ้าอีกหนึ่งชั่วยามเป็นไง?”
เหมียวอี้กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้าบอกแล้วว่าเรื่องนี้เดี๋ยวค่อยเจรจากันอีกที!”
โค่วเจิงหรี่ตา “น้องเขยจะให้เข้ามาเสียเที่ยวเหรอ?”
“เรื่องนี้เดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลัง ไม่ง่ายเลยกว่าพี่ใหญ่จะมาสักครั้ง ตั้งใจเดินเล่นที่ดีเถอะ ข้ายังมีงานต้องทำอีก อยู่เป็นเพื่อนท่านไม่ได้แล้ว!” เหมียวอี้ทิ้งไว้อย่างเย็นชา พลันตะโกนว่า “ทหาร!”
กำลังพลที่ตามอยู่ไกลๆ ถลันตัวเข้ามาทันที ชิงเยว่นำหน้ามากุมหมัดคารวะ “นายท่าน!”
“เจ้าเดินเล่นเป็นเพื่อนท่านโหวโค่วหน่อย” เหมียวอี้ส่งสายตาให้ชิงเยว่ พูดทิ้งท้ายไว้แล้วก็เดินไปทันที
โค่วเจิงทำสีหน้าโกรธเคือง จะตามไปถามเหมียวอี้ว่าหมายความว่าอะไร แต่ใครจะคิดว่าชิงเยว่จะยื่นมือขวาง “ท่านโหว อย่าเพ่นพ่านไปทั่วจะดีกว่า”
“หลีกไป!” โค่วเจิงตะคอก
ชิงเยว่มองประเมินเขาศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “อยู่ที่นี่ไม่ถึงคราวให้เจ้ามาออกคำสั่งหรอก นายท่านไว้หน้าเจ้า แต่ข้าไม่ไหวหน้าเจ้าหรอกนะ เป็นตัวอะไรในสายตาแม่ล่ะ!”
ใบหน้าโค่วเจิงฉายแววดุร้าย แต่พอเห็นคนสิบกว่าคนข้างกายชิงเยว่ แต่ละคนวรยุทธ์สูงกว่าเขา จำเป็นต้องข่มความโกรธแค้นนี้ไว้ ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่อาณาเขตของตระกูลโค่ว
ยังจะเดินเล่นอะไรอีก โค่วเจิงยังจะมีอารมณ์มาเดินเล่นได้อย่างไร เดินออกไปพร้อมไฟโกรธที่สุมทรวงแล้ว
ภาจใต้แสงจันทร์ เหมียวอี้กำลังเดินไปเดินมาเพียงลำพังอยู่ในสวนดอกไม้ของจวนผู้สำเร็จราชการ เขาขมวดคิ้วมุ่น เมื่อผ่านสองเรื่องนี้มาแล้ว เขาก็สามารถจินตนาการได้เลย ว่าร้านค้าใหม่นี้คงไม่ได้มีเพียงสมาคมวีรชนและตระกูลโค่วเท่านั้นที่จับจ้อง เกรงว่าพวกอ๋องสวรรค์คงจะไม่หยุดแน่ ที่สำคัญคือตลาดสวรรค์ส่วนใหญ่อยู่ในอาณาเขตของคนพวกนั้น อีกฝ่ายมีวิธีการก่อกวนอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องตลาดสวรรค์จึงทำให้เขาปวดหัวมาก
เขาเริ่มจะหมดความอดทนกับตลาดสวรรค์แล้ว ที่สำคัญก็คือหมดความอดทนกับวิธีการอ้อมค้อมของหยางชิ่ง เขาไม่ชอบอ้อมค้อมแบบนี้ แต่ไหนแต่ไรมาลักษณะการทำงานของเขาก็คือรัวดาบตัดฟ่อนฟาง แก้ไขปัญหาให้ฉับไว เขาเองก็ยอมรับว่าปัญหาที่ตัวเองสร้างขึ้นมาแทรกทำให้เรื่องพัง ถ้าเสียเวลาต่อไปแบบนี้ ก็จะถ่วงกำลังวังชาของเขาในระยะยาว ช่วงนี้เขาไม่มีแม้แต่เวลาจะฝึกตนด้วยซ้ำ
ต้องพยายามทำสถานการณ์ให้สงบโดยเร็วที่สุด!
เมื่อครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา เหมียวอี้เงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน สายตาเริ่มแน่วแน่ขึ้นเรื่อยๆ ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว!
หยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิว : จะกลับมาเมื่อไร?
อวิ๋นจือชิว : พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว มีเรื่องอะไร?
เหมียวอี้ : เอาตัวอย่างระฆังดาราแบบใหม่กลับมาด้วย
หลังจากติดต่อกันจบแล้ว เหมียวอี้ก็เดินเข้ามานั่งในศาลาอย่างเชื่องช้า แล้วก็จมอยู่ในความคิดอีกรอบ
ข้อความจากซูอวิ้นดึงเขาออกจากความคิดแล้ว
เหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมา พอนึกถึงความสัมพันธ์ของท่านนี้กับฮ่าวเต๋อฟาง เขาก็หลุดขำออกมา เขย่าระฆังดาราถามว่า : พ่อบ้านซูมีอะไรจะกำชับ?
ซูอวิ้น : จะกล้ากำชับได้ยังไง แค่รู้สึกว่าในเมื่อเป็นเพื่อนบ้านกัน ก็ควรจะไปมาหาสู่มากๆ หน่อย ไม่ทราบว่านายท่านผู้สำเร็จราชการยินดีต้อนรับหรือเปล่า?
ไม่ต้องบอกก็รู้ ต้องมาเพราะเรื่องหุ้นแน่นอน เหมียวอี้ตอบว่า : ไม่กล้ารบกวนให้พ่อบ้านซูวิ่งเต้นหรอก เอาอย่างนี้มั้ยล่ะ ข้าจะไปเยี่ยมท่านอ๋องด้วยตัวเอง ไม่ทราบว่าพ่อบ้านซูยินดีจะพบหรือเปล่า?
ซูอวิ้นอึ้งไปชั่วขณะ หันกลับไปมองฮ่าวเต๋อฟางที่ดื่มสุราอยู่ข้างๆ : “ท่านอ๋อง ฟังจากที่หนิวโหย่วเต๋อพูด เหมือนเขาจะอยากพบท่าน”
ฮ่าวเต๋อฟางเอียงหน้ามองมาช้าๆ พ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “เขายังกล้ามาเจอข้าอีกเหรอ ไม่กลัวว่าจะกลับไปไม่ได้เหรอ? ขอให้เขากล้ามาเถอะ!”
ตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ดีเท่าไร เพื่อเรื่องไม้ไม่ผุ ตอนนี้อำนาจแต่ละฝ่ายสร้างความวุ่นวายอยู่บนอาณาเขตเขา กอปรกับเพิ่งประกาศก่อนหน้านี้ ถ้าเป็นคนที่รู้เรื่องราวเบื้องลึก ไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้นว่าเขาเสียเปรียบด้วยน้ำมือหนิวโหย่วเต๋อ
ซูอวิ้นเขย่าระฆังดาราตอบ : ในเมื่อนายท่านผู้สำเร็จราชการเอ่ยปากแล้ว ก็ได้ จะมาเมื่อไรล่ะ ข้าจะได้จัดเตรียมเวลาให้นายท่านผู้สำเร็จราชการได้สะดวก
เหมียวอี้ : ถ้าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย ภายในสามวัน ถึงตอนนั้นจะแจ้งพ่อบ้านซูล่วงหน้า!
ซูอวิ้น : ได้ งั้นก็เอาตามนี้
ในเมื่อเหมียวอี้บอกว่าจะมา ตอนนี้ก็ยังไม่เอ่ยถึงเรื่องหุ้น ซูอวิ้นเก็บระฆังดาราแล้วบอกฮ่าวเต๋อฟางว่า “หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าภายในสามวัน”
ฮ่าวเต๋อฟางวางจอกสุรา แล้วถามอย่างฉงนใจ “เขาจะมาหาข้าทำไม?”
“ไม่ได้บอกค่ะ คาดว่าคงไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้ามา” ซูอวิ้นกล่าว
ฮ่าวเต๋อฟางเงียบไป แล้วพยักหน้าเบาๆ “เจ้าจัดการตามเห็นสมควรเถอะ”
สองวันหลังจากนั้น อวิ๋นจือชิวก็นำตัวอย่างระฆังดาราแบบใหม่กลับมาจากพิภพเล็ก เหมียวอี้นำคนออกจากแดนรัตติกาล มาที่ดาวอ๋องสวรรค์ฮ่าวตามนัด เดิมทีไม่ได้ชื่อนี้ ฮ่าวเต๋อฟางเปลี่ยนชื่อหลังจากมาสร้างจวนที่นี่
นอกจวนอ๋องสวรรค์ ซูอวิ้นออกมาต้อนรับด้วยตนเอง กุมหมัดคารวะด้วยรอยยิ้มสนิทสนม “ผู้สำเร็จราชการหนิว รอมานานแล้ว ท่านอ๋องเชิญ!” นางยื่นมือและหลีกทางให้
ทหารยามนอกจวนท่านอ๋องดูตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าคนที่พ่อบ้านซูมาต้อนรับด้วยตัวเองจะเป็นหนิวโหย่วเต๋อ คนทั่วไปไม่ได้รับการปฏิบัติแบบนี้จากท่านโหว
“รบกวนแล้ว!” เหมียวอี้ยิ้มอย่างสุภาพ จากนั้นก็บอกพวกชิงเยว่ที่อยู่ข้างหลังว่า “รอด้านนอกเถอะ”
ซูอวิ้นแววตาวูบไหว เจ้านี่ใจกล้าไม่เบา จะบุกเดี่ยวเข้าถ้ำเสือชัดๆ นางเองก็ใจกว้าง โบกมือบอกทหารยามที่กำลังจะค้นตัวว่า “เป็นเพื่อนบ้านกัน ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเกินความจำเป็น” นางจะสื่อว่าไม่ต้องตรวจค้น
“รับทราบ!” ทหารยามเอ่ยรับแล้วถอยออกไป
ทั้งสองเดินเคียงข้างกันเข้าไป
ทิวทัศน์อันงดงามหรูหราในจวนท่านอ๋องก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง ทุกที่มีทหารยามจ้องมองอย่างดุร้าย สาวใช้แล้วบ่าวรับใช้เดินกันขวักไขว่ ยังมีสายตาคนของไม่น้อยมองมาทางนี้อย่างเงียบๆ มีคนทำท่าครุ่นคิด บางคนก็สงสัย ไม่รู้ใครที่ทำให้ซูอวิ้นมาเดินเป็นเพื่อนได้ คนที่มาพูดคุยยิ้มแย้มกับซูอวิ้น เหมือนจะสนิทกันมาก
พอมาถึงโถงหลัก ซูอวิ้นก็เชิญให้เหมียวอี้นั่งลงก่อน หลังจากวางน้ำชาแล้ว ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้สำเร็จราชการหนิวรอสักครู่ ข้าจะไปเชิญท่านอ๋อง”
“ได้!” เหมียวอี้พยักหน้า
ผลปรากฏว่าการรอครั้งนี้ รออยู่นานมากก็ยังไม่เห็นเงาคนปรากฏตัว เหมียวอี้เองก็ไม่รีบร้อน คาดว่าฮ่าวเต๋อฟางคงจงใจจะกลั่นแกล้งตน จึงหลับตานั่งสมาธิฝึกตน
เป็นเวลาหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ที่โถงด้านหลังมีเสียงฝีเท้าคนดังมา เหมียวอี้ลืมตามอง เห็นเพียงซูอวิ้นเดินตามหลังฮ่าวเต๋อฟางที่มีแววตาคมกริบเปี่ยมพลังอำนาจออกมา
เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนทักทายทันที “หนิวโหย่วเต๋อคารวะอ๋องสวรรค์”
“มีธุระนิดหน่อยเลยช้าไป ให้ผู้สำเร็จราชการหนิวรอนานแล้ว” ซูอวิ้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านอ๋องมีงานต้องทำมากมายในแต่ละวัน สามารถเจียดเวลามาพบได้ก็ถือว่าไว้หน้าข้าแล้ว” เหมียวอี้ยิ้ม
ฮ่าวเต๋อฟางสะบัดแขนเสื้อ ขณะกำลังนั่งลง ก็กล่าวเสียงเย็นว่า “อย่าเปลืองคำพูดเลย ขอพบข้าด้วยธุระอะไร?”
เหมียวอี้ตามใจเขา ไม่เปลืองคำพูดจริงๆ ด้วย หยิบระฆังดาราออกมาแล้ว
ฮ่าวเต๋อฟางกับซูอวิ้นราวกับมีคบเพลิงในดวงตา ค้นพบทันทีว่าระฆังดาราอันนี้ไม่เหมือนระฆังดาราทั่วไป
“มอบของขวัญเล็กน้อยให้ท่านอ๋อง” เหมียวอี้มอบระฆังดาราในมือให้
ฮ่าวเต๋อฟางกับซูอวิ้นสบตากันเวลาหนึ่ง รู้สึกสงสัยนิดหน่อย ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร
ซูอวิ้นรับระฆังดารามาไว้ในมือ ตรวจสอบดูรอบหนึ่ง พบว่าโครงสร้างในระฆังดารานี้แตกต่างกับระฆังดาราทั่วไปมาก นางส่งต่อให้ฮ่าวเต๋อฟางพร้อมถ่ายทอดเสียงเตือน
ฮ่าวเต๋อฟางรับมาตรวจดูในมือเหมือนกัน พบว่ามีลับลมคมในจริงๆ
“ผู้สำเร็จราชการหนิว ของขวัญนี้หมายความว่าอะไร?” ซูอวิ้นแปลกใจ
เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม “หลายปีมานี้ข้ารวบรวมคนมีฝีมือจำนวนหนึ่งไว้ หลอมสร้างระฆังดาราแบบใหม่ขึ้นมา ระฆังดาราทั่วไปติดต่อกันได้คนต่อคนเท่านั้น แต่ระฆังดาราประเภทนี้ใช้อันเดียวก็สามารถติดต่อคนได้พร้อมกันหนึ่งหมื่นคน”
พอได้ฟังแบบนี้ ฮ่าวเต๋อฟางกับซูอวิ้นก็ทำสีหน้าตกตะลึง รู้สึกตกใจมาก ต่างก็รู้ว่าสิ่งนี้หมายความว่าอะไร หมายความว่าจะมาแทนที่ระฆังดาราที่ทุกคนใช้กันตามปกติ เมื่อนำออกมาขาย มูลค่าจะต้องไม่น้อยแน่นอน
ฮ่าวเต๋อฟางพลิกดูระฆังดารา แล้วถามว่า “ใช้งานยังไง?”
เหมียวอี้คอยอธิบายอยู่ข้างๆ แล้วหยิบระฆังดาราอีกอันที่เหมือนกันออกมา ให้ทั้งสองทดสอบ
ฮ่าวเต๋อฟางกับซูอวิ้นลงตราอิทธิฤทธิ์ลงในระฆังดาราไม่ร้อย ส่งข้อความตามวิธีการ พบว่าเป็นอย่างที่บอกจริงๆ
ย่อมไม่ต้องพูดถึงว่าในใจทั้งสองตกใจขนาดไหน แต่ทั้งสองขมกลั้นไว้ ฮ่าวเต๋อฟางวางระฆังดาราบนโต๊ะน้ำชาข้างๆ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยๆ “เจ้าคิดจะส่งวิธีการหลอมสร้างระฆังดาราให้อ๋องผู้นี้หรือ?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “มอบวิธีการหลอมสร้างให้ท่านอ๋อง ข้าก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยสักนิด ถ้าจำหน่ายในอาณาเขตทัพใต้ ก็จะแบ่งกำไรกับท่านอ๋องคนละครึ่ง!”
“แบ่งกันคนละครึ่ง?” ฮ่าวเต๋อฟางหรี่ตา “จำหน่ายในอาณาเขตทัพใต้เหรอ?”
เหมียวอี้พยักหน้า “ไม่ผิดหรอก! ขายแค่ในอาณาเขตทัพใต้!”
…………………………