พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1972 เข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์อีกครั้ง
สามารถสัมผัสผลลัพธ์อันมหัศจรรย์ได้ทันที ความเย็นสบายสดชื่นของกายเนื้อเริ่มชัดเจนขึ้นทีละนิด ผู้หญิงที่สี่ที่อยู่ท่ามกลางควันไม้ปลาบปลื้มดีใจไม่หยุด
เหมียวอี้ไปพบเฉาหม่านเพื่อเจรจาธุระบางอย่าง แล้วกลับจากตลาดผีมาถึงหน้าประตูห้องสมาธิ เห็นเสวี่ยเอ๋อร์เฝ้าอยู่หน้าประตูแล้ว
“ฮูหยินฝึกตนอยู่ข้างในเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
เสวี่ยเอ๋อร์ส่ายหน้า แล้วตอบปนเสียงหัวเราะ “กำลังอาบควันหอมของไม้ไม่ผุอยู่ค่ะ จะดูว่าได้ผลจริงหรือเปล่า”
“ยืนยันได้หรือเปล่าว่าเป็นเรื่องจริง กล้าเอาตัวเข้าไปทดลองเองเลยเหรอ?” เหมียวอี้รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี สั่งว่า “ข้าจะเข้าไปดูหน่อย”
เสวี่ยเอ๋อร์รีบกางแขนห้ามเข้า “นายท่าน คนข้างในไม่ได้ใส่เสื้อผ้านะคะ”
“ไม่ใส่ก็ไม่ใส่สิ ใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็นสักหน่อย” เหมียวอี้กล่าวปนเสียงหัวเราะ
“ฮูหยินพ่อบ้านหยางก็อยู่ข้างในด้วยค่ะ” เสวี่ยเอ๋อร์กล่าว
“เอ่อ…” เหมียวอี้พูดไม่ออก หลินผิงผิงถอดเสื้อผ้าอยู่ข้างใน เขาเข้าไปไม่ได้จริงๆ แต่อดไม่ได้ที่จะถามว่า “แล้วเจ้าทำไมไม่เข้าไปล่ะ?”
เสวี่ยเอ๋อร์ตอบว่า “ข้างในเป็นอย่างนั้น ข้างนอกก็ต้องมีผู้หญิงที่ไว้ใจได้เฝ้าค่ะ ข้ากับพี่เชียนเอ๋อร์สลับกัน คราวหลังนายท่านก้ทดลองดูสักครั้งสิคะ เหมือนจะบำรุงความอ่อนเยาว์ได้ไม่เลวเลย” ขนาดนางยังไม่เคยทดลองก็ยังชมแล้ว แค่นี้ก็รู้แล้วว่ารู้สึกอย่างไร
“ให้ข้าทดลองสิ่งนี้น่ะเหรอ?” เหมียวอี้หลุดหัวเราะ ถ้าทำให้อายุยืนเป็นอมตะเขาก็จะลองอยู่หรอก แต่ไม่สนใจการบำรุงรักษาเพื่อความอ่อนเยาว์ เขาไม่ชอบเวลาเห็นตัวเองอ่อนเยาว์เกินไป เพราะถ้าเทียบกับอำนาจในมือแล้วเหมือนจะไม่เข้ากัน เขาอยากจะดูแก่ขึ้นัสกหน่อย ถ้าไม่ใช่เพราะอวิ๋นจือชิวไม่ยอม เขาต้องเริ่มไว้หนวดไว้เคราแล้วแน่นอน
เสวี่ยเอ๋อร์กลับพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “เป็นของดีนะคะ เป็นของดีที่คนอื่นนึกไม่ถึงด้วยซ้ำ”
“ข้าไม่สนใจของนี่หรอก เอาเถอะ พวกเจ้าค่อยๆ เล่นกันไปเถอะ” เหมียวอี้ส่ายหน้ายิ้มแห้ง โบกมือแล้วหันตัวเดินไป เห็นเสวี่ยเอ๋อร์มีท่าทางตื่นเต้นดีใจอย่างนั้น เขาก็ยอมผู้หญิงพวกนี้แล้วจริงๆ ขนาดเขายังไม่แน่ใจเลยว่าใช่ไม้ไม่ผุจจริงหรือเปล่า แต่ผู้หยิงพวกนี้เอาตัวเองมาทดลองแล้ว พบว่าผู้หญิงบ้าคลั่งความงามมากทีเดียว
ในห้องสมาธิ ร่างเปลือยเปล่าของหลินผิงผิงปรากฎวับแวมอยู่ท่ามกลางหมอกควัน นางกลับลนลานนิดหน่อย ได้ยินเสียงเหมียวอี้อยู่ข้างนอก จึงลุกลี้ลุกลนเก็บเสื้อผ้าบนพื้นขึ้นมา กลัวว่าเหมียวอี้จะเข้ามาข้างใน
เมื่อได้ยินว่าเหมียวอี้ออกไปแล้ว นางถึงได้โล่งอก นางยังอาลัยอาวรณ์กับหมอกควันอยู่เลย จึงถอดเสื้อผ้าออกอีกครั้ง อาบแช่อยู่ในควันต่อไป
“ผู้หญิงพวกนั้นบ้าไปแล้ว…” เจอหยางเจาชิงข้างนอก เหมียวอี้ก็เล่าเรื่องผู้หญิงพวกนี้ให้ฟังนิดหน่อย มองสำรวจเขาศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วถามหยอกว่า “เดี๋ยวรอบหน้าเจ้าก็จะทดลองด้วยใช่มั้ย?”
พอได้ยินว่าฮูหยินของตัวเองกำลังเข้าไปประสมโรงด้วย หยางเจาชิงก็ยิ้มเจื่อนเช่นกัน ส่ายหน้าบอกว่า “ช่างเถอะ ข้าน้อยไม่ดีกว่าขอรับ ไม่สนใจเรื่องรักษาความอ่อนเยาว์ ผู้หญิงก็เหมือนกันหมด นายท่านปล่อยพวกนางไปเถอะ ถ้าพวกนางมีความสุข พวกเราก็เป็นอิสระเหมือนกัน”
“เจ้าพูดจามีเหตุผล!” เหมียวอี้ตบบ่าเขาอย่างสะท้อนใจ ในจุดนี้พวกเขามีความรู้สึกร่วมกัน ไม่อย่างนั้นถ้าพวกผู้หญิงอย่างอวิ๋นจือชิวดุร้ายขึ้นมา เขาเองก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน…
ในจุดลึกของดาราจักร เงาคนสองคนแฉลบอยู่บนฟ้าอย่างรวดเร็ว มุ่งตรงไปยังดาวเคราะห์ที่รกร้างแล้วเหยียบลงบนยอดเขาแห่งหนึ่ง
ผังก้วน จอมพลสายเถาะเอามือไขว้หลังยืนอยู่บนยอดเขา กำลังทอดสายตามองดาวราจักรอันกว้างใหญ่ไพศาล ไม่แยแสสองคนที่เพิ่งเหาะลงมาเหยียบพื้น
ผู้ที่มาก็คือเหมียวอี้กับเหยียนซิวที่ใส่หน้ากากเปลี่ยนใบหน้าแล้ว เหมียวอี้ให้เหยียนซิวรออยู่ตรงนี้ ยกมือดึงหน้ากากลง เดินมาตรงหน้าผังก้วน แล้วกุมหมัดคารวะ “คารวะจอมพลผัง!”
ผังก้วนเอียงหน้ามองเขาแวบหนึ่ง “เจ้ากับท่านอ๋องฮ่าวนี่ยังไงกันแน่? ทำไมเขามาบอกข้าว่าจะให้เจ้าเข้าไปฝึกตนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์?”
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะกล้ารบกวนให้ท่านจอมพลมาด้วยตัวเองได้ยังไง” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ทำไมล่ะ มีความลับอะไรที่ไม่สะดวกจะบอกข้าเหรอ?” ผังก้วนถาม
“เป็นการรวมงานกันเพราะผลประโยชน์เท่านั้น ยังจะมีอะไรได้อีก” เหมียวอี้ตอบ
“เจ้าบอกเขาเรื่องที่ซ่อนสมบัติแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้วเหรอ?” ผังก้วนถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “เรื่องที่ซ่อนสมบัติข้ากับปากว่าจะแบ่งกับจอมพลผังแล้ว ข้าก็ย่อมไม่บอกคนอื่น ทางอ๋องสวรรค์ฮ่าวน่ะ ข้ารับปากเขาแล้วว่าจะให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลสนับสนุนเขา ใต้สังกัดเขาจะได้ไม่มีเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อคนที่สองโผล่มา”
ผังก้วนกระตุกคิ้วเล็กน้อย เหล่ตามองอย่างเย็นเยียบ เขาอยู่ในตำแหน่งที่อดีตคือเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋ออยู่พอดี
เมื่อเห็นปฏิริกิยาของเขา เหมียวอี้ก็พูดเสริมว่า “แน่นอน ถ้าจอมพลผังมีความคิดอะไรอย่างอื่น อาศัยความสัมพันธ์ของข้ากับจอมพลผัง การที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะสนับสนุนให้จอมพลผังกลายเป็นเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อคนที่สองก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
“ข้าว่าเจ้าคิดมาไปแล้ว จอมพลผู้นี้ไม่ได้มีใจทรยศ” ผังก้วนกล่าว
เหมียวอี้ไม่สนใจว่าเขาจะมีใจทรยศหรือเปล่า เขาพูดโดยตัดสินใจเอาเอง “หากวันไหนจอมพลต้องการการสนับสนุนจากข้า ก็สามารถเจรจากันได้ เรื่องที่ซ่อนสมบัติแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็สามารถเจรจากันได้เช่นกัน”
ผังก้วนเม้มริมฝีปาก แน่นอนว่าเข้าใจความหมายที่เหมียวอี้สื่อ ถ้าเขาอยากจะกลายเป็นเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อคนที่สอง เช่นนั้นเรื่องหาสมบัติที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะสู้ตายเพื่อเจ้าโดยไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลย
เพียงแต่ผังก้วนไม่พูดประเด็นนี้ต่อ และไม่ได้เอ่ยเรื่องแบ่งสมบัติจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ด้วย เท่ากับไม่แสดงท่าทีต่อคำพูดของเหมียวอี้ ควรค่าแก่การใคร่ครวญว่ามีแผนอะไร เขาพยักหน้าไปตรงทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ที่ถูกปิดผนึกไว้ “เตรียมทางเข้าไว้แล้ว เจ้าจะเข้าไปเมื่อไร?”
“ถ้าจอมพลไม่มีอย่างอื่นจะกำชับ ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาแล้ว” เหมียวอี้ตอบ
ผังก้วนหันกลับไปมองเหยียนซิวที่อยู่ไม่ไกล “ท่านอ๋องรู้แล้ว ให้เจ้าเข้าไปได้แค่คนเดียว”
“แน่นอนอยู่แล้ว” เหมียวอี้พยักหน้า กางแขนถามว่า “เข้าออกครั้งนี้ไม่ต้องค้นตัวอีกแล้วใช่มั้ย?”
ผังก้วนบอกว่า “เจ้าเองก็มีจิตสำนึกหน่อย ใส่หน้ากากแล้วค่อยเข้าไป ไม่ต้องพูดอะไรอีก ทางนั้นย่อมปล่อยผ่าน” ขณะที่พูดก็หยิบระฆังดาราติดต่อพยักหน้า
เหมียวอี้หันกลับไปพยักหน้าให้เหยียนซิว เหยียนซิวกุมหมัดคารวะ แล้วถลันตัวกลับไปแล้ว
รอจนกระทั่งเหยียนซิวหายไปในจุดลึกของดาราจักร เหมียวอี้ที่ใส่หน้าใหม่อีกรอบก็กุมหมัดอำลาผังก้วน “จอมพลรักษาตัวด้วย”
“ส่งตรงนี้” ผังก้วนกล่าวเสียงเรียบ
เหมียวอี้รีบแฉลบผ่านฟ้าไป เหาะไปยังทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ที่ปิดผนึกไว้โดยตรงทางเข้าที่หมุนวนอยู่ในดาราจักรชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ดาวหกดวงตรงทางเข้าเปล่งแสงสีขาว ตรงกลางปรากฏภาพดาวหกมุม พอแสงสีขาวตรงกลางหายไป ก็เผยสุญญากาศที่มีรอยแยกไม่ขาดสาย ทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์เกิดออกแล้ว
เหมียวอี้ไม่หยุดพัก ทะลุผ่านเข้าไปในชั่วพริบตาเดียว
“ปิด!” หัวหน้าทหารยามตะโกนเสียงดัง ทางเข้ามีลำแสงหมุนวน ทางเข้าอยู่ในสภาพปิดผนึกอีกครั้ง
ทหารคนหนึ่งเข้าใกล้หัวเราะ แล้วลองถามว่า “นายท่าน คนที่เพิ่งเข้าไปเมื่อครู่นี้คือใคร?”
ทหารหัวหน้าตะคอกเสียงเย็นเยียบ “เจ้าจะสนใจทำไมว่าเป็นใคร ถ้าอยากให้ตัวเองอายุยืนยาว เรื่องของเบื้องบนที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม เรื่องที่ไม่ควรพูดก็อย่าพูด”
“ขอรับ ข้าน้อยไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” ทหารคนนั้นตอบอย่างเก้อเขิน
ตัวพลิกหมุนอยู่ในช่องว่างที่มีรอยแยกไม่หยุด ตรงหน้าเห็นแสงสว่าง เหมียวอี้รีบผ่อนความเร็วในการเหาะ เคยมีประสบการณ์จากครั้งก่อนมาแล้ว เขารู้แล้วว่าต่อไปจะต้องเจอกับอะไร
เป็นอย่างที่คาดไว้ ทันใดนั้นตัวก็อยู่ท่ามกลางลำแสง พลังอิทธิฤทธิ์ที่ทำให้เหาะได้หายไปในชั่วพริบตาเดียว ตกลงกระแทกพื้นตามแรงเฉื่อย พอตกลงพื้นได้พักหนึ่ง วิ่งไถลไปตามแรงเฉื่อนแล้วถึงได้หยุดนิ่ง ครั้งก่อนตกลงมาแล้วคนล้มม้าพลิก ครั้งนี้แม้จะลดความเร็วล่วงหน้า แต่ก็ยังสะบักสะบอมอย่างเลี่ยงไม่ได้
เขาหยุดแล้วมองไปรอบๆ เข้ามาในแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว ตัวอยู่บนทะเลทรายหินรกร้างที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา สุญญากาศข้างหลังยังมีรอยแยกไม่หยุด ท้องฟ้าสีเทาขมุกขมัว รองข้างมีไอหมอกลอยเหมือนริ้วผ้า
เขาย่อมรู้ว่านั่นไม่ใช่ไอหมอก แต่คือสิ่งที่อันตรายถึงชีวิต
พอสะบัดแขนเสื้อ สัตว์ขนาดใหญ่มหึมาก็ปรากฏขึ้นบนฟ้า กระพือปีกพัดหินทรายปลิวขึ้นมา เป็นตั๊กแตนยักษ์ที่ขนาดตัวใหญ่สองจั้ง หน้าตาดุร้ายน่ากลัว บนตัวเป็นสีโลหะมันวาว
เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางหินดินปลิวว่อนมองเงามหึมาบนฟ้า เขายิ้มบางๆ คิดว่าบินได้ก็ดีแล้ว
อยู่ที่นี่ไม่สามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์เหาะได้ ครั้งก่อนแม้แต่เฮยทั่นก็ทำได้แค่วิ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะความลึกลับอะไร ครั้งนี้เขาจึงตั้งใจพาตั๊กแตนทมิฬมาด้วย พาสัตว์ปีกมาเองก็ย่อมไม่มีปัญหา
ก่อนหน้านี้ที่ถามผังก้วนว่าต้องค้นตัวมั้ยก็เพราะแบบนี้ ถ้าต้องค้นตัว เขาก็จะส่งตั๊กแตนทมิฬให้เหยียนซิวนำกลับไป เพราะเปิดโปงของสิ่งนี้ไม่ได้ง่าย เดิมทีเขาอยากจะพาเหยี่ยวมารวานรยักษ์มาสักตัว แต่เหยี่ยวมารวานรยักษ์เหมือนจะปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่นี่ไม่ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าตั๊กแตนทมิฬจะต้านทานพวกปราณมรณะของที่นี่ได้หรือไม่
“ไป!” เหมียวอี้โบกมือชี้
ตั๊กแตนทมิฬกระพือปีกบินไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว บินไปยังน่านฟ้าข้างหน้า ปราณสังหารสีชมพู ปราณอาฆาตสีขาว ปราณมรณะสีเทา ปราณเหี้ยมโหดสีดำ ตั๊กแตนทมิฬผ่านประสบการณ์ทีละสีไปรอบหนึ่ง
เมื่อทดสอบซ้ำไปซ้ำมาจนแน่ใจแล้วว่าตั๊กแตนทมิฬไม่ได้รับผลกระทบจากปราณชั่วร้ายพวกนี้ เหมียวอี้ก็อมยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้รับผลกระทบก็ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นรอบนี้ไม่มีเฮยทั่น เขาต้องใช้สองเท้าตัวเองวิ่งแน่นอน
ภายใต้การใช้พลังจิตควบคุม ตั๊กแตนทมิฬบินแฉลบกลับมาอย่างรวดเร็ว ปล้องขาขนาดยักษ์จมลงบนพื้นดิน เกาะลงข้างกายเหมียวอี้พร้อมลมแรง แล้วก็เก็บปีกกลับไปให้พอดีตัว
บินไม่ได้ เหมียวอี้วิ่งก้าวยาวๆ กระโจนตัวกระโดดขึ้นมา แล้วเหยียบลงบนหลังของตั๊กแตนทมิฬ
พรึ่บ! ตั๊กแตนทมิฬกางปีกอีกครั้ง กระพือปีกเหยียดเท้าทะยานขึ้นฟ้า หลังจากเหมียวอี้แยกแยะทิศทางแล้วก็ชี้บอก ตั๊กแตนทมิฬเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางแล้วพุ่งไปข้างหน้าราวกับลูกธนูที่พุ่งออกจากสาย เหมียวอี้ที่ยินอยู่บนหลังมันคอยรับลมตลอดทาง
ทิศทางไปก็คือถ้ำมังกรที่หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ เหมียวอี้ค่อนข้างเฝ้าคอย ถึงถึงภาพที่แยกจากกับเฮยทั่นในปีนั้น
แยกจากกันไปนานขนาดนี้ ไม่รู้ว่าตอนนี้เฮยทั่นจะเป็นอย่างไรบ้าง เฮยทั่นไม่สามารถใช้ระฆังดาราติดต่อกับเขาได้ด้วย ตอนนี้เขาไม่รู้สถานการณ์ของมันเลยสักนิด
ใจร้อนอยากจะพบเจอ แต่อาณาเขตของแดนมรณะดึกดำบรรพ์กว้างใหญ่เกินไปจริงๆ จำได้ว่าครั้งก่อนขี่อินทรีสามหัวที่กลายร่างมาจากวิญญาณมรณะไปที่ทุ่งน้ำแข็งโบราณ ก็ใช้เวลาไปครึ่งปีเต็มๆ แน่นอน ครั้งก่อนไปที่ทุ่งน้ำแข็งโบราณเขาอ้อมทางไม่น้อยเพื่อหลบหลีกอันตราย อาศัยความสามารถของเขาตอนนี้ เขาไม่กลัวอันตรายในแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว สามารถบินไปได้ในทางตรง แต่ความเร็วใบการบินของตั๊กแตนทมิฬเหนือกว่าอินทรีสามหัวไม่รู้ตั้งเท่าไร
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่รอจนเหมียวอี้ตัวอยู่บนฟ้าสูงแล้วเห็นยอดเขาสีดำขลับที่มีมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ก็เป็นเวลาสิบวันหลังจากนั้นแล้ว
อุณหภูมิบนฟ้าเปลี่ยนเป็นร้อนจี๋ราวกับจะย่างคน แม้ตั๊กแตนทมิฬที่เหมียวอี้ขี่จะเป็นสัตว์ที่กลายพันธุ์ ไม่กลัวหยินหยาง แต่ก็เหมือนจะทนรับสถานที่ที่มีหยางบริสุทธ์แบบนี้ไม่ไหว ยิ่งตอนเข้าใกล้ยอดเขาดึกดำบรรพ์นั่น มันก็ยิ่งกระสับกระส่าย สุดท้ายก็ถึงขั้นส่งเสียงร้องออกมา
…………………………