พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1975 เทพสตรีผู้พิทักษ์
พอเงาหงส์ฟ้าโผล่ออกมา หงส์อัคคีน้ำแข็งที่เข้ามาล้อมก็หยุดอยู่กลางอากาศทันที จากนั้นก็แตกสลายเร็วมาก หงส์อัคคีน้ำแข็งกระจายเป็นอัคคีน้ำแข็งร่วงลงไปที่ภูเขาน้ำแข็ง ราวกับเป็นฝนไฟสีฟ้า หลังจากจุดแสงสีรุ้งโผล่มาแล้วก็บินถอยหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว
ราวกับทำให้ปัญหายุ่งยากตรงหน้าหายไปในฉับพลัน เฮยทั่นสั่นหัวส่ายหาง พูดประจบอย่างตื่นเต้นดีใจมากว่า “นายท่านก็ยังคงเป็นนายท่าน พอนายท่านออกโรงเองทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา”
เหมียวอี้ที่ถูกล้อมอยู่ท่ามกลางเงาหงส์ฟ้ายังไม่ได้เก็บหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง เขายิ้มบางๆ พร้อมบอกว่า “ไปกัน!”
กระแสอากาศหมุนขึ้นหมุนลง เฮยทั่นที่อยู่บนฟ้าพุ่งตัวออกไปราวกับลูกธนูที่ยิงออกจากสาย เดินทางไปข้างหน้าต่อ
เห็นปราณชั่วร้ายพุ่งขึ้นฟ้าตั้งแต่ไกลๆ เหมียวอี้ที่อยู่ท่ามกลางลมหนาวรู้ว่ามาถึงรังหงส์แล้ว
ภูเขาน้ำแข็งที่มีลักษณะเหมือนฟันปลาปรากฏอยู่ในสายตา ชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้าแล้ว ร่างกายยาวของเฮยทั่นลอยลงไปข้างล่าง ไปเหยียบลงท่ามกลางรูปสลักน้ำแข็งหงส์เฟิ่งหวงบนทุ่งน้ำแข็ง จุดแสงสีรุ้งกะพริบวิบวับอยู่ท่ามกลางรูปสลักน้ำแข็ง
เหมือนรู้ว่ามีแขกมาเยือน ประตูน้ำแข็งที่ใหญ่หนาบนบันไดเปิดออกอย่างช้าๆ สาวน้อยสองคนที่สวมชุดกระโปรงยาวสีรุ้งเดินเนิบนาบออกจากตำหนักน้ำแข็ง
เหมียวอี้งุนงง เป็นสาวน้อยสองคนที่งดงามมาก สวยงามมีเสน่ห์ สดใสเย็นสบายตา แฝงความงามเย้ายวนเหมือนดอกไม้ตูมที่รอวันบาน ราวกับคนที่อยู่ในภาพวาด
สิ่งที่ดึงดูดสายตาเป็นพิเศษก็คือดวงตาหงส์คู่นั้น ตอนขยับดวงตาดูวิบวาบราวกับดาวบนฟ้า มีเอกลักษณ์มาก ไหนจะผิวกายที่ขาวกว่าน้ำแข็ง ขาวหมดจนแทบโปร่งแสง ไม่เห็นจุดด่างดำแม้แต่น้อย เหมียวอี้ยังไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนผิวสวยขนาดนี้มาก่อน
เมื่อเห็นผู้หญิงสองคนนี้ เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสองพี่น้องหวนหลาง ตรงหน้านี้ก็คงจะเป็นพี่น้องฝาแฝดเหมือนกัน เพียงแต่คนหนึ่งสีหน้าท่าทางเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง ส่วนอีกคนก็ใบหน้าอมยิ้มอยู่ตลอด
ถึงแม้จะอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล แต่เหมียวอี้ก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดาจากตัวสองคนนี้ บรรยายไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ในความอ่อนเยาว์เหมือนเผยกลิ่นอายบรรพกาล ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า
“เฮื้อก” เฮยทั่นมองตาปริบๆ พลางกลืนน้ำลาย ราวกับได้เห็นอาหารเลิศรสถูกปาก มองอย่างซื่อบื้อ
เหมียวอี้สะอิดสะเอียนกับการกระทำของมัน จากนั้นก็แววตาวูบไหว เห็นคนรู้จักเก่าเดินออกมาแล้ว เดิมทีเป็นวิญญาณน้ำแข็งที่เฝ้ารังหงส์ หลิงหลัน
หลิงหลันยิ้มบางๆ เดินไปยืนอยู่ข้างๆ สาวน้อยสองคนนั้นอย่างเคารพ แสดงท่าทางชัดเจนว่าอยู่ใต้สังกัดนั้น
เมื่อเห็นท่าทีแบบนี้ เหมียวอี้ก็แอบสงสัย อย่าบอกนะว่าสาวน้อยสองคนนี้คือหงส์น้อยในปีนั้น?
ไม่มีใครบอกเรื่องที่หงส์น้อยกลายร่างเป็นคนแล้ว เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะชำเลืองเฮยทั่น ถ้าเป็นหงส์น้อยจริงๆ ก็แสดงว่าเฮยทั่นไม่ได้เรื่องเกินไปแล้ว ขนาดอีกฝ่ายฟักออกจากไข่ทีหลังยังกลายร่างเป็นคนแล้ว แต่เจ้ากลับยังโดนคนด่าว่าสัตว์เลื้อยคลาน
หลังจากทั้งสองสบตากันพักหนึ่ง สาวน้อยที่อมยิ้มก็เปล่งเสียงนุ่มนวลไพเราะออกมา “มีแขกมาเยือน ขออภัยที่ไม่ได้ไปรับตั้งแต่ไกลๆ!”
เหมียวอี้ถลันตัวขึ้นไปเหยียบบนบันไดทันที แล้วกุมหมัดคารวะ “ขออนุญาตรบกวนถาม ไม่ทราบว่าทั้งสองคือ?” สายตาไปหยุดที่หลิงหลัน หวังว่านางจะอธิบายได้
หลิงหลันกลับยิ้มโดยไม่ตอบอะไร
“พวกเราเคยพบกันแล้ว พี่ชายเป็นคนพาพวกเราไปส่งที่ถ้ำมังกรด้วยตัวเอง” สาวน้อยที่อมยิ้มกล่าว
“อ้อ…” เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ “ทีแรกข้าก็สงสัยว่าเป็นพวกเจ้าหรือเปล่า นึกไม่ถึงว่าจะเป็นพวกเจ้าจริงๆ”
“เชิญแขกด้านใน” สาวน้อยที่อมยิ้มกับสาวน้อยใบหน้าเย็นชาหลีกทางให้ทางซ้ายและขวา แล้วยื่นมือเชิญ
“เกรงใจแล้ว” เหมียวอี้เดินตามเข้าไป แต่กลับได้ยินสาวน้อยใบหน้าเย็นชาด้านข้างตะคอกเสียงเย็นว่า “สัตว์เลื้อยคลาน ไสหัวไป ที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาได้”
เหมียวอี้หันกลับไปมองแวบหนึ่ง เห็นเพียงเฮยทั่นที่อยากจะตามเข้ามายืนเหม่ออยู่ตรงตีนบันได ได้แต่มองเหมียวอี้ด้วยแววตาน่าสงสาร กรงเล็บที่ยื่นขึ้นมาบนบันไดหดกลับเข้าไปแล้ว เหมียวอี้มองไปทางสาวน้อยใบหน้าเย็นชาอีกครั้ง พึมพำในใจว่า น้ำเสียงนี้ทำไมฟังดูคล้ายเศษวิญญาณเทพมังกร
ที่ทำให้เขาแปลกใจกว่านั้นก็คือ เฮยทั่นที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินเหมือนจะกลัวผู้หญิงสองคนนี้
สาวน้อยที่อมยิ้มปิดปากหัวเราะเบาๆ “พี่สาวปฏิเสธอย่างไม่เป็นมิตร พี่ชายอย่าถือสาเลยนะคะ เพราะตอนที่นางยังไม่ได้กลายร่างอยู่ที่ถ้ำมังกร สัตว์พาหนะของท่านรังแกพวกเราแรงมาก มักจะจับพวกเราถอนขน พี่สาวไม่พอใจมันนิดหน่อย ถ้าไม่ใช่เพราะมีแขกมาเยือน เกรงว่าพี่สาวคงไม่ให้มมันเข้าใกล้ที่นี่” พูดจานุ่มนวล แต่กลับไม่มีท่าทีว่าจะให้เฮยทั่นเข้ามา
ถอนขน? เหมียวอี้ปาดเหงื่อด้วยความอับอาย เขาหันตัวมา มองเฮยทั่นอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ได้แต่ยิ้มเจื่อนบอกว่า “โจรอ้วน เจ้ารออยู่ข้างนอกก่อนแล้วกัน”
เฮยทั่นหดหัวกลับไปแต่โดยดี หาที่ว่างด้านข้างนอกแล้ว
“เฮ้อ!” เหมียวอี้มองมันอย่างจนปัญหาพลางถอนหายใจ แล้วหันตัวเดินเข้าไปในตำหนักน้ำแข็งพร้อมสองพี่น้อง
หลังจากเข้ามาข้างในแล้ว สองพี่น้องก็นั่งลงบนเก้าอี้น้ำแข็งสลักรูปที่นอนหงส์ บนพื้นมีเก้าอี้สลักจากน้ำแข็งตัวหนึ่งยื่นขึ้นมาให้เหมียวอี้นั่ง
หลิงหลันนำเครื่องดื่มของทุ่งน้ำแข็งโบราณมารับแขก สาวน้อยที่อมยิ้มกล่าวอย่างสุภาพว่า “ไม่พบกันนาน พี่ชายน้อยมีสง่าราศีกว่าในปีนั้นเสียอีก”
พี่ชายน้อย? สำหรับคำเรียกนี้ เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ข้าดูแก่กว่าพวกเจ้าตั้งหลายปี ทั้งยังเห็นพวกเจ้าฟักไข่ออกมากับตาตัวเอง แต่เจ้ากลับเอาแต่เรียกข้าว่าพี่ชายน้อย คำพูดนี้ฟังดูคร่ำครึมากทีเดียว
ต้องการจะอาศัยถิ่นของอีกฝ่ายเพื่อฝึกตน อีกฝ่ายก็ไม่มีเจตนาจะดูหมิ่นเจ้าด้วย ทั้งยังสุภาพมาก ปัญหาเรื่องการพูดนี้เหมียวอี้ไม่เก็บมาใส่ใจ ถามไปว่า “ทั้งสองทำให้ข้ารู้สึกเหนือความคาดหมายนิดหน่อย ไม่ทราบว่าจะเรียกทั้งสองว่าอะไรดี?”
สาวน้อยที่อมยิ้มตอบว่า “พวกเราสองคนคือเทพสตรีผู้พิทักษ์ของเผ่าหงส์ ไม่มีชื่อเรียก สิ่งนี้อาจารย์ของท่านก็น่าจะรู้…อ้อ ลืมไปว่าอาจารย์ของท่านจากโลกนี้ไปนานแล้ว ขออภัยจริงๆ แน่นอน ตอนที่เจอคนนอก เพื่อให้คนนอกแยกแยะพวกเราได้สะดวก ถ้าจะต้องเรียกชื่อจริงๆ พี่สาวก็คือเฟิ่ง ส่วนข้าก็คือหวง ท่านสามารถเรียกพวกเราแบบนี้ได้”
เหมียวอี้กลับเบิกตากว้าง ถามอย่างตกใจว่า “พวกเจ้าก็คือเทพสตรีผู้พิทักษ์ของเผ่าหงส์เหรอ?”
หวงพยักหน้า “ใช่แล้ว”
เหมียวอี้กล่าวอย่างรู้สึกเหลือเชื่อ “ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าโดนพระปีศาจหนานโป…” เขาจำได้ชัดเจนว่าสองคนนี้ฟักออกมาจากไข่
หวงจริงใจต่อเขามาก ไม่ปิดบังอะไรทั้งนั้น “เผ่าหงส์ถือกำเนิดได้ตามโอกาส นอกเสียจากว่าฟ้าดินจะไม่ยอมให้ดำรงอยู่ ไม่อย่างนั้นก็ฆ่าไม่ตาย แม้จะสิ้นชีพด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโปไปแล้ว แต่กลับถูกฟ้าดินสร้างขึ้นมาได้ กำเนิดวิญญาณครรภ์จนกลายเป็นไข่ สามารถอาบไฟเพื่อเกิดใหม่ เมื่อโอกาสมาถึง เฟิ่งหวงนิพพาน!”
อธิบายเพียงไม่กี่คำก็เปิดเผยความจริง เหมียวอี้กระจ่างในฉับพลัน ไม่แปลกใจที่ให้ตัวเองนำไข่สองใบไปส่งที่หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ ที่แท้ก็เพื่อาบไฟเกิดใหม่นี่เอง
ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายเรียกตนว่าพี่ชายน้อย ในสายตาของอีกฝ่าย การเรียกตนว่าพี่ชายน้อยก็นับว่าเกรงใจแล้ว เขาจึงยืนกุมหมัดคารวะทันที ที่แท้ก็เป็น “ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสเทพสตรีทั้งสอง เป็นผู้น้อยเองที่บุ่มบ่ามเสียมารยาท”
หวงส่ายหน้ายิ้ม “ชาติก่อนและชาตินี้ ชาตินี้และชาติหน้า เหมือนสรรพสิ่งที่กลับชาติมาเกิดใหม่ ไม่มีอะไรต่างกัน ระหว่างเราไม่มีคำว่าผู้อาวุโสผู้น้อยอะไร ถ้าจะย้อนถึงต้นกำเนิดจริงๆ อดีตชาติของพี่ชายน้อยอาจจะช้านานกว่าพวกเราก็ได้ ยึดหลักตามชาติปัจจุบันเถอะ ไม่อย่างนั้นคงสับสนแย่”
เหมียวอี้หัวเราะแห้ง พยักหน้ายอมรับ
เฟิ่งที่เงียบมาตลอด จู่ๆ ก็เอ่ยว่า “ได้ยินว่าพี่ชายน้อยค่อนข้างมีตำแหน่งฐานะที่ตำหนักสวรรค์แล้ว ไม่ทราบว่าเผ่าหงส์ที่ไปเป็นทาสที่ตำหนักสวรรค์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”
“ถึงแม้จะเป็นทาส แต่ก็เป็นความหมายเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น ไม่นับว่าทรมานเท่าไรนัก…” เหมียวอี้เล่าสิ่งที่ตัวเองรู้ให้ฟังคร่าวๆ จากนั้นก็ถามอย่างแปลกใจอีก “ในเมื่อเทพสตรีทั้งสองสามารถเกิดใหม่ได้ ไม่คิดจะปลดพันธนาการทาสให้เผ่าหงส์บ้างเหรอ?”
หวงส่ายหน้า “เห็นปราณชั่วร้ายกำเริบเสิบสานที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ถ้าไม่มีเผ่ามังกรและหงส์คอยสลับสับเปลี่ยนกัน ความเมตตากรุณาไม่เพิ่มขึ้น ชะตาฟ้าดินก็ขาดความสมดุล ไม่ใช่แค่เผ่าหงส์ของข้า เผ่ามังกรก็อยากจะหลุดพ้นพันธนาการตั้งนานแล้ว แต่จนใจที่วรยุทธ์ของพวกเราสองพี่น้องไปเทียบกับปีนั้นไม่ได้ มิหนำซ้ำข้างนอกก็มีทหารที่แข็งแกร่งมากมาย ต่อให้เผ่ามังกรและหงส์ร่วมมือกัน แต่อานุภาพก็อ่อนแอยากจะพลิกสถานการณ์ได้ ตำหนักสวรรค์กำหนดเวลามาปราบเป็นระยะ เกรงว่าถึงตอนนั้นพวกเราสองพี่น้องยังต้องหลบเลย จะเอาความสามารถจากไหนไปปลดพันธนาการทาสให้เผ่าหงส์ ทำได้เพียงแค่รอจังหวะเวลา รอผู้ที่ถือกำเนิดขึ้นตามโอกาสปรากฏตัว”
เหมียวอี้เงียบไป คิดไปคิดมาก็เห็นด้วย อาศัยศักยภาพของเผ่ามังกรและหงส์ เกรงว่าแค่อาศัยทัพใหญ่แดนรัตติกาลในมือตนก็ยังกำจัดได้ง่ายๆ นับประสาอะไรกับตำหนักสวรรค์
หวงบอกอีกว่า “พูดสิ่งเหล่านี้ไปก็ไม่มีปรระโยชน์ ไม่ทราบว่าพี่ชายน้อยมาที่นี่ทำไม มาเพื่อฝึกตนเหรอ?”
เหมียวอี้ดึงสติกลับมา แล้วพยักหน้าตอบว่า “ต้องการจะอาศัยทำเลทองของที่นี่เพื่อฝึกตน ไม่ทราบว่าทำได้หรือเปล่า?”
หวงชำเลืองมองเฟิ่งที่เย็นชานิ่งเงียบแวบหนึ่ง เมื่อเห็นนางไม่คัดค้าน ก็ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “เผ่ามังกรและหงส์กับพี่ชายน้อยมีไมตรีให้กันมาตลอด ยิ่งไปกว่านั้นพี่ชายน้อยยังมีบุญคุณยิ่งใหญ่ด้วย ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ในอาณาเขตทุ่งน้ำแข็งโบราณนี้ พี่ชายน้อยเลือกสถานที่ตามสะดวกได้เลย”
เมื่อเจรจาเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็โล่งใจ แล้วพูดตามมารยาทอีกสองสามประโยค ก่อนจะออกจากรังหงส์
พอออกมาข้างนอกแล้วเห็นเฮยทั่น ก็สั่งว่า “เป็นอย่างที่คาดไว้ ข้ายังจะไม่ออกจากที่นี่ จะอยู่ฝึกตนที่นี่สักระยะหนึ่ง เจ้ากลับไปฝึกตนที่ถ้ำมังกรก่อนเถอะ”
เฮยทั่นลุกขึ้นมาทันที แล้วสะดวกส่ายหางบอกว่า “อย่าเลย! ที่นี่ก็มีปราณชั่วร้ายให้ข้าฝึกตนเหมือนกัน ท่านช่วยข้าคุยกับนกไก่น้อยสักหน่อยเถอะ ให้ข้าอยู่ฝึกตนที่นี่ด้วย”
เหมียวอี้เลิกคิ้วบอกว่า “นี่คือแดนปราณหยินบริสุทธิ์ แดนหยางบริสุทธิ์น่าจะเหมาะกับการฝึกตนของเจ้ามากกว่าไม่ใช่เหรอ?”
เฮยทั่นหัวเราะแห้ง “นายท่าน ต่างกันไม่มากหรอก มันก็เหมือนกันนั่นแหละ” พูดด้วยท่าทางหน้าด้านไร้ยางอาย
เหมียวอี้กลับแปลกใจแล้ว “โจรอ้วน ทำไมข้ารู้สึกว่าเจ้ากลัวพวกนางสองคนล่ะ?”
เฮยทั่นยอมรับทันที “ท่านอย่าไปมองว่าพวกนางฝึกตนมาไม่นาน เพราะเวลาสู้กันขึ้นมาข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกนางเลย ต้องทำตัวซื่อสัตย์อยู่แล้ว”
เป็นการยอมรับที่ตรงไปตรงมาเกินไป เหมียวอี้สงสัย “นี่ไม่เหมือนลักษณะนิสัยของเจ้าเลยนะ ตอบมาอย่างซื่อสัตย์ เรื่องเป็นยังไงกันแน่?”
เฮยทั่นส่ายหน้า “ชายชาตรีเมื่อรู้ว่าเสียเปรียบก็ควรถอยไง จะมีเรื่องอะไรได้อีกละ นายท่าน ช่วยคุยให้อีกฝ่ายยืดหยุ่นให้ข้าหน่อย”
เหมียวอี้เชื่อมันก็แปลกแล้ว “อย่ามาเล่นลูกไม้นี้ คิดว่าข้าโง่เหรอ ถ้าเจ้ากลัวพวกนางจริงๆ ก็หลบไปสิ ยังจะหน้าด้านอยู่ต่อทำไม?”
“เหอะๆ…” เฮยทั่นหัวเราะเจ้าเล่ห์ เหมือนรู้สึกอับอายนิดหน่อย หัวมังกรใหญ่เลี้ยวซ้ายแลขวาอย่างลับๆ ล่อๆ ทำให้เสียภาพลักษณ์อันน่าเกรงขามของมังกรมาก เหมือนเป็นมังกรโจรมากกว่า มันยื่นปากใหญ่เข้ามาใกล้หูเหมียวอี้ แล้วกระซิบเบาๆ ว่า “นายท่าน ท่านไม่รู้สึกหรือว่าพวกนางสวยมาก? ท่านคิดดูสิ ถ้าข้าแต่งงานกับพวกนางสองคน จะไม่ใช่เรื่องที่งดงามหรอกเหรอ สวยทั้งพี่ทั้งน้อง!”
“…” เหมียวอี้ตกตะลึงอ้าปากค้าง รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฟ้าผ่า ตกตะลึงไม่เบา มองเจ้าหัวใหญ่ตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ สงสัยเจ้าเวรนี่จะตกหลุมรักสองคนนั้นแล้ว นั่นคือเทพสตรีผู้พิทักษ์ของเผ่าหงส์เชียวนะ เจ้าเวรนี่พูดจาน่าตกใจจริงๆ โลภไม่เบา!
…………………………