พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1982 การค้นพบของทัพใหญ่
เพียงแต่ก่อนที่ศีลแปดจะพาปีศาจโลหิตออกจากสถานที่ผนึก ก็หาอาวุธมาทุบผนังวัดอย่างบ้าคลั่ง
ท่ามกลางเสียงระฆัง พระปีศาจหนานโปที่อยู่ในวัดแต่โดยดีเอามือกุมหัวกรีดร้อง ไม่รู้ว่าตัวเองไปยั่วโมโหใครเข้า อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นหินแล้ว
ส่วนอาศรมซินหูก็ถูกอวี้หลัวช่าทำลายแล้วเช่นกัน เพื่อปิดบังร่องรอยที่ลูกชายตัวเองเคยอยู่ที่นี่ นางยอมทำให้ภูเขาและแม่น้ำเปลี่ยนทิศทาง ชะล้างกลบทำลาย
พอกลับมาที่น่านฟ้าเถาะติง อวี้หลัวช่าที่แยกจากกันตรงที่ลับตาคนก็มองเงาหลังของเหมียวอี้จากไป นางทำท่าเหมือนอยากจะร้องไห้ จากกันครั้งนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้พบลูกชายอีก หัวใจราวกับโดนมีดกรีด ยิ่งนึกเสียใจทีหลังกับการกระทำของตัวเองในปีนั้นเพื่อให้ประสบความสำเร็จ ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าตางดงามเกินไป วันนี้จะตกต่ำถึงขั้นนี้หรือ คงสามารถเก็บลูกชายไว้ข้างกายได้อย่างสง่าผ่าเผยแล้ว
เหมียวอี้ไม่ได้พาศีลแปดกลับพิภพเล็ก แต่ไปอีกเส้นทางหนึ่ง ไปที่แดนสุขาวดี กลับไปที่คลังสมบัติใต้ดินของดาวพิษอีกครั้ง
เมื่อเปิดประตูใหญ่คลังสมบัติเข้าไปแล้ว ศีลแปดก็หันตัวมา มองเหมียวอี้ที่อยู่ตรงประตูด้วยสีหน้าขื่นขม “พี่ใหญ่ ฝึกมาหลายหมื่นปีแล้วยังไม่ได้เรื่องอะไรเลย ช่างมันดีกว่าไหม”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าอุดอู้อยู่ที่นี่แล้วทรมาน แต่ถ้าเจ้าสงบใจฝึกตน ที่จริงเวลาก็ผ่านไปเร็วมาก ขายเองก็หวังดีกับเจ้าเช่นกัน!”
“เฮ้อ!” ศีลแปดถอนหายใจยาว แล้วก้มหน้าเดินเข้าไป
ในใจเหมียวอี้ก็อดทนไม่ไหวเช่นกัน รู้รสชาติของการขาดอิสระว่าทรมานขนาดไหน แต่ใครใช้ให้ศีลแปดเป็นคนไร้จิตสำนึกล่ะ ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่อย่างเขาคงให้ศีลแปดกลับมาเองแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาส่งด้วยตัวเองและขังศีลแปดไว้อีก
ประตูใหญ่คลังสมบัติปิดแล้ว เหมียวอี้หันตัวเดินจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว
เพียงแต่วันไหนถ้ารู้ความจริงขึ้นมาว่าประตูนี้ขังศีลแปดไม่ได้ พอเขาไปแล้วศีลแปดก็แอบออกมาทันที ก็ไม่รู้ว่าจะโมโหจนกระอักเลือดหรือเปล่า…
พอกลับมาถึงจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เหมียวอี้ก็ยังไม่ไปพิภพเล็ก เขาส่งซินหูและคนอื่นๆ ให้เหยียนซิว ให้เหยียนซิวไปส่งที่พิภพเล็กให้
ตอนนี้เขายังไม่คลิปจะกลับไปฝึกตนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ต้องคอยเฝ้าอยู่ที่นี่เพื่อรอให้เกิดเรื่องที่สถานที่ผนึก ถ้าเรื่องนี้สาวมาถึงตัวเขา เขาจะได้รับมือทันเวลา
บนเตียงนอน หลังจากทำกิจกรรมเสร็จแล้ว อวิ๋นจือชิวก็นอนหมอบอยุ่บนหน้าอกล่ำแน่นของเหมียวอี้ หลังจากได้ยินเหมียวอี้ค่อยๆ เล่าเรื่องที่ย้ายพวกไต้ซือศีลเจ็ด นางก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วถาม “ตระกูลโค่วให้ลูกน้องเก่าของเจ้าในกองทัพองครักษ์จับตาดูทิศทางความเคลื่อนไหวของอวี้หลัวช่า พวกเขาจะพบอะไรหรือเปล่า?”
สำหรับการเคลื่อนไหวลับของตระกูลโค่ว เหมียวอี้รู้ตั้งนานแล้ว ลูกน้องเก่ารายงานรับมาบอกเขาตั้งนานแล้ว ที่ไม่ได้บอกอวี้หลัวช่า ก็เพราะยังไม่อยากให้อวี้หลัวช่ารู้ว่าเขายัดสายลับไว้ที่กองทัพองครักษ์ นอกจากนี้ลูกน้องเก่าพวกนั้นก็ฟังคำสั่งเขา เขาไม่อาจช่วยตระกูลโค่วสืบความเคลื่อนไหวของอวี้หลัวช่า เมื่อตระกูลโค่วไม่ได้ข่าวที่เป็นประโยชน์ ก็ย่อมไม่เกิดภัยคุกคามต่ออวี้หลัวช่า
เหมียวอี้ส่ายหน้าเบาๆ “น่าจะไม่เกี่ยวข้องกับสถานที่ผนึก ไม่อย่างนั้นตระกูลโค่วคงไม่ทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ อย่างนี้ ข้าสงสัยว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับสมบัติลับสำนักหนานอู๋ ในปีนั้นที่ข้ากุเรื่องสมบัติลับขึ้นมาหลอกตระกูลโค่ว ก็ยังสงสัยว่าทำไมตระกูลโค่วไม่เคลื่อนไหวอะไร พอมาดูตอนนี้ ตระกูลโค่วรู้ความเคลื่อนไหวของอวี้หลัวช่า ก็ใช่ว่าจะไม่สนใจสมบัติหลัก ใช่ว่าจะไม่เคลื่อนไหวอะไร แต่แอบดำเนินการเรื่องนี้มาโดยตลอด ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลโค่วใช้สายลับในกองทัพองครักษ์ เราก็เหมือนถูกรุมอยู่ในกลองจริงๆ คงไม่รู้ว่าตระกูลโค่วแอบจับตาดูอวี้หลัวช่ามาโดยตลอด เป็นไปได้ว่าช่วงนี้อวี้หลัวช่าไปยังบริเวณจุดค้นหาบ่อย จึงทำให้ตระกูลโค่วสงสัย”
อวิ๋นจือชิวนอนหมอบครุ่นคิดอยู่บนตัวเขาเงียบๆ…
จวนอ๋องสวรรค์โค่ว ในหอสามรากฐาน โค่วหลิงซวีพี่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวและกำลังอบรมลูกชายทั้งสามสังเกตได้ว่าถังเฮ่อเหนียนที่เดินเข้ามาส่งสายตาให้เขา
จากนั้นก็ชี้แนะอะไรนิดหน่อย แล้วโค่วหลิงซวีก็โบกมือบอกว่า “เอาล่ะ พวกเจ้าสองคนกลับไปเถอะ”
โค่วฉินกับโค่วเหมี่ยนสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นทำความเคารพแล้วถอยออกไป เมื่อมองไปเห็นพี่ใหญ่โค่วเจิงยืนอยู่ในนั้นโดยไม่ขยับไปไหน รสชาติในใจเป็นอย่างไรพวกเขาย่อมรู้ดี
รอจนกระทั่งคุณชายทั้งสองออกไปแล้ว ถังเฮ่อเหนียนถึงได้โค้งตัวเล็กน้อยพร้อมรายงานว่า “ท่านอ๋อง อวี้หลัวช่าไปยังจุดค้นหาอีกแล้ว แต่นางก็กลับมาแล้ว”
โค่วหลิงซวีพลันหรี่ตา “ไปอีกแล้วเหรอ สงสัยคงจะมีปัญหาจริงๆ คนของพวกเราประจำที่หรือยัง?”
“กำลังพลที่รวบรวมไว้รีบไปยังจุดค้นหาแล้วขอรับ” ถังเฮ่อเหนียนตอบ
โค่วหลิงซวีพยักหน้า “ดี! ถ้าพบว่าอวี้หลัวช่าไปที่นั่นอีก ก็ต้องจับตาดูนางไว้”
“ขอรับ!” ถังเฮ่อเหนียนเอ่ยรับ
จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงที่นั่งสง่าอยู่ในศาลาใช้สองมือประคองเข่า สิบนิ้วกรีดขึ้นกรีดลง ขมวดคิ้วกล่าวอย่างสงสัยว่า “ตาแก่โค่วเล่นบ้าอะไร เป็นฝ่ายระดมกำลังพลสิบล้านไปเข้าร่วมกันค้นหาเหรอ? ช่วงนี้ภายนอกไม่มีอะไรน่าสงสัยใช่ไหม?”
โกวเยว่ส่ายหน้าอยู่ข้างๆ “ช่วงนี้ใต้หล้านับว่าสงบ มองไม่ออกว่ามีอะไรน่าสงสัย ที่น่าสงสัยก็คือการเคลื่อนไหวของโค่วหลิงซวีครั้งนี้”
ก่วงลิ่งกงลุกขึ้นยืน เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา พลางกล่าวอย่างลังเล “ตาแก่โค่วไม่ใช่คนที่ยิงธนูโดยไร้เป้า ทำแบบนี้เพราะมีเหตุผลบางอย่างแน่นอน แค่พวกเราไม่รู้ก็เท่านั้นเอง เอาอย่างนี้ ข้าก็จะรายงานขึ้นไปที่วังสวรรค์เหมือนกัน พวกเราก็จะส่งกำลังพลสิบล้านไปช่วยค้นหาเหมือนกัน จับตาดูคนของตาแก่โค่วเอาไว้ ข้าก็อยากไปเห็นว่าเขาจะเล่นตุกติกอะไรกันแน่”
“ก็ดีเหมือนกันขอรับ!” โกวเยว่พยักหน้า “จับตาดูพวกเขาไว้ ดีกว่าอยู่ที่นี่แล้วเดาไปเรื่อย อย่างน้อยถ้ามีเรื่องอะไรจะได้รับมือทัน”
ชั่วขณะนั้น ความเคลื่อนไหวของทัพเหนือโค่วหลิงซวีได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ ไม่ใช่แค่ทัพใต้ ตื่นก็แสดงปฏิกิริยาตอบโต้เหมือนกัน ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมวางตัวเองไว้นอกเรื่องนี้ ต่างก็กังวลว่าจะโดนทรยศแล้วไม่รู้ตัว
ยิ่งเป็นคนที่ตำแหน่งสูง ยิ่งกังวลว่าจะตามข่าวไม่ทัน
กำลังพลแต่ละสายเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ ไม่นานเรื่องก็มาถึงหูเหมียวอี้แล้ว
หยางเจาชิงที่รายงานเสร็จถอยออกไป อวิ๋นจือชิวยกน้ำชามาวางบนโต๊ะน้ำชาข้างกายเหมียวอี้ แล้วถามเสียงเบาว่า “ทำไมถึงเข้าไปประสมโรงกันหมด?”
เหมียวอี้ที่นั่งสง่าอยู่อย่างนั้นกล่าวช้าๆ “มีกำลังพลมากขนาดนี้เข้าร่วมในรวดเดียว สงสัยสถานที่ผนึกคงจะถูกเปิดโปงเร็วกว่าที่คาดไว้แล้ว”
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน
จุดค้นหาบริเวณอาณาเขตดาวนิรนาม จู่ๆกำลังพลกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในดาราจักรก็ฮือฮาวุ่นวาย มีคนตะโกนว่า “ผู้ตรวจการใหญ่มาแล้ว”
กลุ่มคนหลีกทางออกไปทางซ้ายและขวา มีคนหลายคนถลันเข้ามา ผู้ที่นำหน้ามาก็คือเทียนเจี้ยน เป็นผู้ตรวจการใหญ่ของหน่วยเจิ้นติง รูปร่างกำยำ จ้องมองดาวเคราะห์สวยงามที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตามั่นคง แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเหมาะกับการอยู่อาศัย
ทัพใหญ่ที่ค้นหามาหลายปีมีเขาเป็นผู้รับผิดชอบ ใช้กำลังคนและกำลังทรัพย์ไปเยอะมาก ค้นหาซ้ำไปซ้ำมาหลายหมื่นปี ดาวเคราะห์ที่เหมาะกับการดำรงชีวิตมีน้อยจนนับนิ้วได้ แต่ตราบใดที่หาเจอก็จะได้ผลงานใหญ่หนึ่งชิ้น หมายความว่าอาณาเขตดาวนิรนามผืนนี้มีจุดควบคุมแล้ว สามารถใส่เข้าไปเป็นพื้นที่ควบคุมในแผนที่ดาวอย่างเป็นทางการ
“ส่งคนไปตรวจสอบดูหรือยัง?” เทียนเจี้ยนเอ่ยถามเสียงเรียบ
แม่ทัพคนหนึ่งก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะทันที “รายงานตรวจการใหญ่ ทางนั้นยังมีอีกดวง ใช้เวลาเดินทางอีกประเดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้ว กำลังพลกลุ่มเล็กที่ส่งไปก็กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว เป็นดาวเคราะห์ที่เหมาะแก่การดำรงชีวิตแต่ยังไม่มีคนอาศัยอยู่สักคน”
เทียนเจี้ยนมองไปตามนิ้วที่เขาชี้
แล้วรายงานที่ตามมาติดๆ ก็ทำให้แม่ทัพคนนั้นเหมือนค่อนข้างกังวล “ดาวเคราะห์ดวงที่อยู่ตรงหน้า คนที่ส่งไปตรวจสอบขาดการติดต่อหมดเลย เป็นข้าน้อยเองที่เตรียมการไม่รอบคอบ “
เทียนเจี้ยนกวาดสายตาเย็นเยียบมองเขาแวบหนึ่ง ทำให้เข่าก้มหน้าอย่างอับอาย
เทียนเจี้ยนไม่ได้ตำหนิเขา ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ดึงกำลังพลธงหมาป่าไปตรวจสอบ ทุกคนที่ไปนำสัตว์พาหนะไปด้วย ปิดประสาทการได้ยิน”
“รับทราบ!” ทหารคนนั้นเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปปฏิบัติตาม
คนส่วนใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าทำไมเทียนเจี้ยนจึงออกคำสั่งแปลกๆ อย่างนี้ เป็นเพราะเรื่องบางเรื่องไม่ได้ประกาศอย่างเปิดเผยครบทุกด้าน กลัวจะทำให้เกิดความหวาดกลัว คนที่รู้เป้าหมายของการค้นหาครั้งนี้เหมือนเทียนเจี้ยนมีไม่เยอะ
ผ่านไปไม่นาน กำลังพลธงหมาป่าหนึ่งพัน ขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์หนึ่งพันตัว พุ่งเข้าไปในดาวเคราะห์นิรนามตรงหน้า
เทียนเจี้ยนไม่พูดอะไร เหาะรออยู่ในดาราจักรเงียบๆ จ้องมองดาวเคราะห์ที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่ละสายตา
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม กำลังพลสิบกว่าคนก็ขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์กลับมาจากดาวเคราะห์ดวงนั้น แล้วรายงานว่า “รายงานผู้ตรวจการใหญ่ ดาวเคราะห์ดวงนี้ค่อนข้างแปลก หลังจากเข้าไปแล้ว พวกเราก็ถูกจำกัดพลังอิทธิฤทธิ์ เสียความสามารถในการควบคุม ถ้าไม่ใช่เพราะมีเหยี่ยวมารวานรยักษ์ เกรงว่าคงประสบอุบัติเหตุไปแล้ว พวกข้าน้อยสำรวจตามกำลังพลกลุ่มหนึ่ง พบว่ากำลังพลกลุ่มแรกที่เข้าไปประสบหายนะหมด คงจะตกลงมากระแทกพื้นตาย ตรงที่เกิดเหตุพบศพเกลื่อนกลาด ยังมีกำลังพลกลุ่มหนึ่งที่ทิศทางไปไม่แน่นอนด้วย”
มีคนไม่น้อยหลังจากฟังรายงานจบแล้ว ก็มองไปที่เทียนเจี้ยนทันที ในใจระแวงสงสัยไม่หยุด หรือว่าผู้ตรวจการใหญ่จะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าดาวเคราะห์ดวงนั้นมีอะไรแปลกๆ ไม่อย่างนั้นทำไมเมื่อครู่ถึงออกนโยบายรับมือได้เหมาะเจาะขนาดนี้?
เทียนเจี้ยนเม้มริมฝีปากแน่น สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมไร้ที่เปรียบ สถานการณ์ประหลาดของดาวเคราะห์ดวงนี้สอดคล้องกับที่เขาได้รับคำสั่งมา เขากวาดสายตามองกลุ่มคน แล้วจู่ๆ ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดังว่า “สั่งให้กำลังพลทั้งหมดที่กำลังค้นหาหยุดค้นหาที่อื่น ให้มารวมตัวกันที่นี่ รวบรวมสัตว์พาหนะที่บินได้เอาไว้ใช้ด้วย!”
ตามคำสั่งที่ถ่ายทอดลงไป กำลังพลกองทัพองครักษ์ที่ค้นหาอยู่โดยรอยทยอยกันมารวมตัวที่นี่ ส่วนในมือเทียนเจี้ยนก็หยิบระฆังดาราออกมาเช่นกัน รีบรายงานขึ้นไปเบื้องบน
กำลังพลของสี่ทัพที่กำลังค้นห้า กำลังพลที่แดนพุทธะส่งมา ทั้งหมดสะเทือนกับเหตุการณ์นี้ ได้รับคำสั่งให้มารวมตัวที่นี่พร้อมกัน แม้ทัพใหญ่จะมาจากอำนาจต่างฝ่าย แต่การค้นหาในอาณาเขตดาวที่ใหญ่ขนาดนี้จะต้องมีการบัญชาการที่เป็นหนึ่งเดียว ถึงจะสะดวกต่อการกระจายกำลังค้นหาอย่างไร้ช่องโหว่ แล้วผู้บัญชาการก็คือเทียนเจี้ยนนั่นเอง
กำลังพลกลุ่มใหญ่เร่งตามมา ทยอยกันมารวมตัวกันที่นี่ สัตว์พาหนะที่บินได้เริ่มรวมตัวกันแล้ว
เทียนเจี้ยนออกคำสั่งอีกครั้ง จัดแบ่งกำลังพลที่มีสัตว์พาหนะเหมาะสม สั่งให้คนพวกนี้ปิดประสาทสัมผัสการได้ยิน กระจายกำลังค้นห้าดาวเคราะห์ที่อยู่ตรงหน้าทั้งหมด ใครหาวัดเจอจะตบรางวัลอย่างหนัก!
ชั่วขณะนั้น กำลังพลที่หนาแน่นนับไม่ถ้วนขี่สัตว์พาหนะที่บินได้ไปยังดาวเคราะห์ดวงนั้นอย่างโอ่อ่ายิ่งใหญ่
เทียนเจี้ยนลอยอยู่กลางอากาศ เม้มริมฝีปากแน่นจ้องดาวเคราะห์ตรงหน้า เขาเดาว่ามีความเป็นไปได้สูงที่สิ่งน่าหวาดกลัวจะอยู่บนดาวเคราะห์ดวงนี้
วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร ประมุขชิงที่วางแผ่นหยกลงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “กำลังพลที่ตาแก่พวกนั้นส่งไปให้ความร่วมมือในการค้นหาจริงเหรอ? มีจุดประสงค์อื่นหรือเปล่า?”
ซ่างกวนชิงตอบว่า “ตามข่าวที่ได้รับกลับมา ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ พวกเขาให้ความร่วมมือจริงๆ ขอรับ ทางนั้นก็จับตาดูอยู่ ถ้ามีความผิดปกติอะไรก็จะรายงานขึ้นมาทันที”
ประมุขชิงพิงบนเก้าอี้ ตรงหว่างคิ้วฉายแววครุ่นคิด พึมพำกับตัวเองว่า “แปลกจัง”
ซ่างกวนชิงหยิบระฆังดาราขอันหนึ่งขึ้นมา หลังจากตั้งใจฟังก็สีหน้าเปลี่ยนไปมาก รีบรายงานประมุขชิงทีกำลังครุ่นคิด “ฝ่าบาท อู๋ฉวี่ส่งข่าวมา บอกว่าทัพใหญ่ที่กำลังค้นหาพบสถานที่ผนึกแล้ว อู๋ฉวี่กำลังตามไปขอรับ”
…………………………