พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1983 หุบผาชัน วัด
ราวกับถูกตะโกนแสกหน้าเรียกสติ ประมุขชิงที่กำลังจมอยู่ในความคิดพลันเงยหน้า เบิกตากว้างจ้องซ่างกวนชิง ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ โดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ
แม้หลังจากรู้ข่าวสถานที่ผนึกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโป เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าถ้าหาไม่พบก็จะไม่หยุด ทว่ารอจนกระทั่งหาพบจริงๆ ในใจก็ยังรู้สึกกดดัน ถึงขั้นกังวลอยู่หลายส่วน ตั้งแต่ปกครองใต้หล้ามา ความรู้สึกนี้ไม่ปรากฏขึ้นนานมากแล้ว ความคิดของเขาย้อนกลับไปในอดีตที่ยาวนานมาก ในสายตาของเขา อาจารย์ของเขาคือเทพเซียนที่เป็นอมตะ…
ซ่างกวนชิงเองก็มองเขาเงียบๆ เช่นกัน
ทั้งสองเงียบไปพักหนึ่ง ประมุขชิงที่ได้รับข่าวทำลายความเงียบแล้ว หลังจากหยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมาติดต่อ ก็กล่าวช้าๆ ว่า “พี่ใหญ่พุทธะก็ได้รับข่าวแล้วเหมือนกัน ถามข้าว่าหาสถานที่ผนึกเจอแล้วจริงหรือเปล่า”
ผ่านไปไม่นาน โพ่จวินกับอู๋ฉวี่ก็มาพร้อมกัน ทั้งสองล้วนมีสีหน้าจริงจังหนักแน่น พอเข้ามาถึงก็ทำความเคารพพร้อมกัน
ประมุขชิงจ้องอู๋ฉวี่พร้อมถามว่า “แน่ใจนะว่าเป็นสถานที่ผนึกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโป?”
อู๋ฉวี่ตอบด้วยเสียงต่ำ “บอกได้เพียงว่ายังไม่สามารถยืนยันได้เต็มที่ขอรับ สถานการณณ์ของดาวเคราะห์ดวงนั้นเหมือนกับที่ปีศาจจิ้งจอกสามหางบอกทุกอย่าง โดยเฉพาะการตอบสนองที่ผิดปกติพวกนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าจะไม่ผิด ผู้ตรวจการใหญ่เทียนเจี้ยนของหน่วยเจิ้นอี่รวบรวมคนดำเนินการค้นหาต่อแล้ว ถ้าปีศาจจิ้งจอกสามหางไม่โกหก วัดที่ผนึกไว้อยู่ในหุบผาชันจริงๆ ก็น่าจะหาเจอเร็วๆ นี้ ฝ่าบาท ข้าน้อยแนะนำให้แดนพุทธะส่งปีศาจจิ้งจอกสามหางไปพิสูจน์ขอรับ”
หลังจากสอบสวนปีศาจจิ้งจอกสามหางเสร็จในปีนั้น ทางแดนพุทธะก็ขอตัวนางไป ปีศาจจิ้งจอกสามหางอยู่ที่แดนพุทธะมาตลอด
ประมุขชิงพยักหน้า “เตรียมกำลังคน ข้าจะไปดูด้วยตัวเอง”
อู๋ฉวี่กุมหมัดคารวะ “กำลังพร้อมเตรียมไว้พร้อมแล้ว ตอนข้าน้อยมาก็ถ่ายทอดคำสั่งไปแล้ว ฝ่าบาทสามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อขอรับ”
ประมุขชิงชี้โพ่จวิน “เจ้าอยู่เฝ้าที่นี่ คุมวังสวรรค์ไว้”
“รับทราบ!” โพ่จวินกุมหมัดเอ่ยรับ
คนกลุ่มหนึ่งเดินทางออกจากวังสวรรค์ เข้าไปในดาราจักรอันกว้างใหญ่อย่างรวดเร็ว…
บนฟ้าราวกับถูกระบายด้วยน้ำหมึก ทันใดนั้นก็ปรากฏกำลังพลกลุ่มใหญ่ ดำทะมึนเต็มท้องฟ้า
หลังจากทัพใหญ่ที่เข้ามาปรับตัวกับสถานการณ์ประหลาดของที่นี่ได้แล้ว ก็แบ่งกลุ่มกันอย่างรวดเร็ว แล้วแยกย้ายกันไปสี่ด้านแปดทิศ กระจายกำลังค้นหา
แสงแดดสดใส ด้านล่างมีภูเขาและแม่น้ำ มีพื้นที่ราบ สายน้ำไหลคดเคี้ยวอยู่ยนแผ่นดินใหญ่ ทิวทัศน์งดงามมาก
ใช้เวลาไม่นานเท่าไรนัก ทัพใหญ่ที่ค้นหามาตลอดทางก็พบความผิดปกติแล้ว ท้องฟ้าตรงหน้ามีบางสิ่งที่เหมือนเมฆกำลังไหลเชี่ยว หลังจากเข้าใกล้ถึงได้พบว่าเป็นค้างคาวที่รวมตัวกันบินอย่างหนาแน่น ตรงกลางรวมกันเป็นก้อนๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร
หัวหน้ากลุ่มส่งสัญญาณมือให้สมาชิก ทุกคนปิดประสาทสัมผัสการได้ยินหมดแล้ว ฟังไม่ได้ยินความเคลื่อนไหว ทำได้เพียงส่งสัญญาณมือ
จู่ๆ สมาชิกคนหนึ่งก็กระโดดลงจากตัวเหยี่ยวมารวานรยักษ์ คนข้างล่างยื่นมือคว้าไว้ ตกลงบนตัวเหยี่ยวมารวานรยักษ์ตัวหนึ่งข้างล่าง เหยี่ยวมารวานรยักษ์ข้างบนที่ไม่ได้แบกอะไรไว้แล้วเร่งความเร็วพุ่งออกไปทันที พุ่งเข้าไปในฝูงค้างคาวที่หนาแน่นนั้น
ฝูงค้างคาวถูกจู่โจม บินกระจัดกระจายไปทั่ว สมาชิกที่ที่ตรวจสอบความเคลื่อนไหวอยู่ข้างหลังตกใจมาก เห็นเพื่อนกองทัพองครักษ์หายไปในฝูงค้างคาว
คนคนนั้นจมหายเข้าไปในฝูงค้างคาว ค้างคาวจำนวนน้อยไม่มีทางทำให้เขาลอยได้อีก ร่วงลงบนพื้นดินที่กว้างใหญ่แล้ว
สมาชิกกองทัพองครักษ์สองคนขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์ไล่ตามลงไปทันที คว้าคนคนนั้นไว้ได้กลางอากาศ หยุดยั้งไม่ให้ร่วงลงไป ฉุดไว้บนตัวเหยี่ยวมารวานรยักษ์ แต่กลับพบว่าคนคนนั้นสายตาเลื่อนลอย ท่าทางเชื่องช้าเหม่อลอย ถามอะไรก็ไม่ตอบ
เมื่อมีบทเรียนแล้ว ทุกคนก็รู้แล้วว่าค้างคาวฝูงนั้นเป็นอย่างไร หัวหน้ากลุ่มโบกมือออกคำสั่ง ช่วยคน!
เหยี่ยวมารวานรยักษ์ตัวเปล่าตัวนั้นกรีดร้องเสียงแหลม พุ่งชนเข้าไปในค้างคาวฝูงใหญ่ ฝูงค้างคาวจะทนการรังแกจากมันไหวเสียที่ไหนกัน เห็นสมาชิกกองทัพองครักษ์ตกลงจากฝูงค้างคาวคนแล้วคนเล่า
กองทัพองครักษ์ที่อยู่ข้างหลังรีบขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์พุ่งลงไปช่วยชีวิตไว้ ช่วยชีวิตไว้ได้คนแล้วคนเล่า
และในขณะนี้เอง ‘เหยื่อ’ ทั้งหมดที่เห็นตรงหน้าหายไปหมดแล้ว จู่ๆ ฝูงค้างคาวก็เหมือนเป็นบ้า หลังจากรวมตัวกันบนฟ้าบินวนเป็นรูปเมฆ พวกมันก็พลันพุ่งกลับมา พุ่งชนกำลังพลที่กำลังค้นหาอย่างบ้าคลั่ง ชั่วพริบตานั้น ทุกคนตกอยู่ในวงล้อมของค้างคาวจำนวนนับไม่ถ้วน
ค้างคาวที่ไต่ขึ้นมาบนตัวคนเผยเขี้ยวคมร้องเสียงแหลม ท่าทางเดือดดาลไร้ที่เปรียบ แต่ละตัวราวกับเป็นหนู พออ้าปากได้ก็กัดเลย ทุกคนสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ควบคุมแล้ว แค่คิดก็รู้แล้วว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร บนตัวทุกคนโดนค้างคาวปกคลุมหนาแน่น โชคดีที่บนตัวทุกคนสวมเกราะรบ แต่เกราะรบก็ไม่ได้คลุมทุกส่วนของร่างกาย มีค้างคาวไม่น้อยเจาะเข้าไปใต้เกราะรบแล้ว บางตัวก็เจาะเข้าไปใต้รักแร้
สมาชิกที่นั่งอยู่บนเหยี่ยวมารวานรยักษ์ขนหัวลุกซู่ ปกติอาจไม่เห็นค้างคาวพวกนี้อยู่ในสายตา แต่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ นี่คือเรื่องที่ถึงตายจริงๆ แต่ละคนเอาแขนโบกปัดบนหน้าอย่างบ้าคลั่ง หรือไม่ก็ถือดาบถือทวนฟันมั่วๆ บางคนก็ทุบตีบนร่างกายตัวเอง ตีค้างคาวพวกนั้นที่เจาะเข้ามาในเกราะรบ
เหยี่ยวมารวานรยักษ์ผิวทนทานเนื้อหนา ไม่ได้หวาดกลัว พอกางปีกตีหนึ่งที ค้างคาวก็ร่วงลงเป็นฝูง
ที่ยุ่งยากก็คือสมาชิกกองทัพองครักษ์สิบกว่าคนที่ถูกช่วยชีวิตไว้ จู่ๆ พวกเขาก็เป็นบ้าตามค้างคาว กอดเพื่อนรวมทัพของตัวเองเอาไว้สุดชีวิต แล้วก็พากระโดดลงจากตัวเหยี่ยวมารวานรยักษ์พร้อมกัน เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ พวกเขาได้แต่ตกลงไปกระแทกพื้น เหลือเพียงเสียงกรีดร้องตกใจ
คนอื่นไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้ รีบขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์พุ่งขึ้นฟ้า พุ่งขึ้นไปบนความสูงที่ค้างคาวไม่อาจบินขึ้นไปถึง ค้างคาวถึงได้ทยอยกันบินหนีไปจากตัวพวกเขา ตอนนี้บนใบหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยรอยเลือดและรอยฟัน พากันสะบัดเกราะรบ เอาค้างคาวข้างในออกไป มีบางคนคว้าค้างคาวตัวเป็นๆ มาบีบจนตายคามือด้วยความแค้น
พอมองค้างคาวข้างล่างที่รวมตัวกันอีกครั้ง แต่ละคนก็ทำสีหน้าหวาดกลัว
หัวหน้ากลุ่มส่งสัญญาณมือให้ทุกคนรอ จากนั้นก็นำสมาชิกสองคนพุ่งฝ่าชั้นนบรรยากาศขึ้นไป
เมื่อทั้งสามมาถึงดาราจักรแล้ว ก็มาพบกับผู้ตรวจการใหญ่เทียนเจี้ยน เล่าสถานการณ์ที่ประสบให้ฟัง ที่ต้องเทียวไปเทียวมาก็เพราะไม่มีทางเลือก เข้าไปที่ดาวเคราะห์ดวงนี้แล้วไม่สามารถใช้ระฆังดาราติดต่อได้
หลังจากฟังรายงานจบ เทียนเจี้ยนก็ตรวจสอบร่างกายและใบหน้าของทั้งสามที่เต็มไปด้วยรอยกัดค้างคาว ก่อนตะหันกลับมาสั่งว่า “ส่งคนที่จัดการเดรัจฉานพวกนั้นได้ไปสักคน”
ข้างหลังมีคนก้าวออกมาอย่างรวดเร็ว เก็บเกราะรบบนตัว ร่างกายเลื้อยขยุกขยิกเป็นร่าง ชั่วพริบตาเดียวก็กลับร่างเดิมแล้ว กลายเป็นนกประหลาดที่บนหัวมีก้อนเนื้อสีดำและทมีขนสีแดงทั้งตัว กางปีกซ้ายขวายาวประมาณสี่จั้ง
เทียนเจี้ยนบอกหัวหน้ากลุ่มคนนั้นว่า “จำไว้ ทิศทางที่ค้างคาวพวกนั้นบินไปหาอาจจะเป็นสถานที่เป้าหมาย”
“ขอรับ! ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” หัวหน้ากลุ่มกุมหมัดคารวะ
“ไปเถอะ!” เทียนเจี้ยนโบกมือ
หัวหน้ากลุ่มนำผู้ติดตามสองคนขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์กลับไปทันที นกประหลาดขนแดงตัวนั้นตามหลังไป
พอฝ่าชั้นบรรยากาศ ก็ไปหาสมาชิกของตัวเองที่อยู่บนฟ้าสูง เห็นเพียงค้างคาวฝูงนั้นยังเฝ้าพวกเขาอยู่ เหมือนนิสัยบ้าคลั่งจะยังไม่หายไป
หัวหน้ากลุ่มชี้ค้างคาวข้างล่าง แล้วก็กุมหมัดคารวะนกประหลาด ถือว่าขอร้องแล้ว
นกประหลาดขนแดงกระพือปีกบินวนคนพวกนี้รอบหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็พุ่งลงข้างล่าง มุ่งตรงไปหาค้างคาวฝูงนั้น จากนั้นหัวหน้ากลุ่มก็โบกมือ นำสมาชิกตามไปเช่นกัน
จู่ๆ ข้างล่างก็ปรากฏเปลวเพลิงที่มีควันดำ เป็นสิ่งที่พ่นออกจากปากนกยักษ์ขนแดง ราวกับมังกรไฟ ไล่ตามกวาดล้างฝูงค้างคาวอย่างบ้าคลั่ง ค้างคาวจำนวนมากโดนเผาตกลงพื้นราวกับห่าฝน ไม่นานก็กวาดล้างปัญหาพัวพันพวกนี้ออกไปหมดแล้ว
หัวหน้ากลุ่มส่งคนสองคนลงไปสำรวจบนพื้นดิน ดูว่าสมาชิกที่ตกลงไปตายหรือยัง ส่วนที่เหลือก็ทำตามที่เทียนเจี้ยนแนะนำ ค้นหาตามฝูงค้างคาวไปตลอดทาง
ผลปรากฏว่าพอไปได้ครึ่งทาง ก็มีเหยี่ยวยักษ์สิบตัวโผล่มาอีก ทุกตัวใช้กรงเล็บใหญ่เกี่ยวสมาชิกกองทัพองครักษ์คนหนึ่งเอาไว้ เป็นสมาชิกกองทัพองครักษ์กลุ่มอื่นที่เข้ามาเป็นกลุ่มแรกและขาดการติดต่อไปนั่นเอง
เหยี่ยวมารวานรยักษ์ตัวหนึ่งพุ่งออกไปเพียงลำพัง บุกเดี่ยวสู้กับฝูงเหยี่ยวยักษ์ เหยี่ยวยักษ์พวกนั้นก็แค่ตัวใหญ่เท่านั้นเอง จะสู้สัตว์เทพที่มีพรสวรรค์อย่างเหยี่ยวมารวานรยักษ์ได้อย่างไร เหยี่ยวยักษ์ดูเผินๆ เหมือนมีอานุภาพมาก แต่ความจริงแล้วสู้ฝูงค้างคาวที่พัวพันไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่นานก็ถูกเหยี่ยวมารวานรยักษ์ฆ่าตายหมดแล้ว
เหยี่ยวมารวานรยักษ์หลายตัวพุ่งลงไปช่วยชีวิตสมาชิกกองทัพองครักษ์ที่ประสบภัยอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ทุกคนมีประสบการณ์แล้ว พอช่วยเหลือมาได้ก็ตีให้สลบ แล้ววางคนพวกนี้ไว้บนพื้นชั่วคราว เหลือคนเฝ้าไว้สองคน ส่วนคนที่เหลือก็ค้นหาตามเส้นทางต่อไป
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน ในที่สุดคนกลุ่มนี้ก็ตามมาถึงบนฟ้าเหนือหุบผาชันแล้ว เห็นวัดสีดำขลับที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแปลกประหลาดบนหน้าผาแล้ว
พวกเขามองหน้ากันเลิกลั่ก ก่อนจะเผยสีหน้าดีใจ ถ้านี่คือสถานที่เป้าหมาย เช่นนั้นพวกเขาก็จะได้ผลงานชิ้นใหญ่แล้ว สิ่งที่คนมากมายตามหามาหลายหมื่นปี แต่พวกเขาเป็นคนหาพบ แค่คิดก็รู้แล้วว่าผลงานนี้จะใหญ่ขนาดไหน
หลังจากจ้องสังเกตวัดได้พักหนึ่ง หัวหน้ากลุ่มก็บัญชาการฝั่งซ้ายฝั่งขวา ให้กำลังพลครึ่งหนึ่งคอยระวังอยู่บนฟ้า ส่วนที่เหลือก็ทยอยลงไปในหุบผาชัน เหยียบลงบนลานนอกวัด แล้วทุกคนก็ทยอยกันกระโดลงจากตัวสัตว์พาหนะ ถืออาวุธเข้าไปใกล้ตรงประตูวัด ข้างในดำมืด มองไม่เห็นสภาพภายในเลย พวกเขาใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ด้วย
ในขณะนี้เอง จู่ๆ ในความมืดก็มีดวงตาคู่หนึ่งเบิกโพลง ดวงตาเหมือนเปลวเพลิงสีทอง สายตาน่ากลัวมาก
ทุกคนตกใจทันที รีบพากันถอยหลังอย่างระวังตัว แต่ดวงตาคู่นั้นก็ปิดลงและหายไปอีก ทุกคนมองไปข้างในทางซ้ายทางขวาแต่ก็ไม่เห็นอะไรแล้ว
หัวหน้ากลุ่มโบกมือไปทางซ้ายและขวา ส่งสัญญาณมือให้เข้าไปในวัด บอกใบ้ให้คนสองคนเข้าไปดูก่อน
คนที่ถูกเรียกรู้สึกกังวลในใจ แต่อยู่ในกองทัพองครักษ์หากขัดคำสั่งก็จะโดนลงโทษร้ายแรงมาก ทั้งสองจำต้องแข็งใจเดินเข้าประตูวัดไป
สองคนที่เดินขึ้นบันไดไปหยุดอยู่หน้าธรณีประตูแล้วสำรวจข้างในให้ละเอียด แต่ก็ยังเห็นไม่ชัด ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง เตรียมจะเดินตามกันเข้าไป จะได้คุ้มกันให้กันและกันได้สะดวก พอเข้าไปคนหนึ่งแล้ว ใครจะคิดว่าตรงประตูเหมือนจะมีกำแพงล่องหนกันไม่ให้เขาก้าวเท้าเข้าไปในธรณีประตู แล้วก็มีแรงมหาศกรอกพุ่งเข้ามาเร็วมาก
ทุกคนข้างนอกเห็นเพียงตรงประตูมีคลื่นแสงไร้รูปร่างแวบขึ้นครู่หนึ่ง ราวกับคลื่นระเบิด กระแทกคนที่ก้าวเข้าประตูไปก่อน
ปั้ง! แม้แต่เสียงกรีดร้องก็ยังไม่ทันเปล่งออกมา คนคนนั้นระเบิดกลายเป็นละอองเลือดแล้ว เกราะรบบนตัวกระแทกคนที่อยู่ข้างหลัง ทำให้คนข้างหลังสะเทือนจนกระอักเลือดกระเด็นออกมา ชนคนล้มหลายคนติดต่อกัน
หลายคนที่โดนชนล้มบาดเจ็บหนักบ้างเบาบ้าง คนที่ถูกชนกระเด็นออกมากลับสะเทือนจนเลือดออกทวารทั้งเจ็ดและตายคาที่
ชั่วพริบตาเดียวสองชีวิตก็หายไปแล้ว คนที่ตกกระแทกพื้นร้องครางถูกลากไปสองฝั่งเพื่อช่วยชีวิตอย่างรวดเร็ว
วัดเงียบสงบเหมือนตอนแรกอีกครั้ง หัวหน้ากลุ่มจ้องเงียบๆ พักหนึ่ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่นี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาส่งสัญญาณมือให้ทุกคนเฝ้าอยู่ที่นี่และอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามอีก ส่วนเขาก็รีบกระโดดขึ้นเหยี่ยวมารวานรยักษ์ บินไปบนฟ้าแล้วเรียกนกประหลาดขนแดงให้ออกจากตรงนั้นไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว
…………………………