พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1984 กระเป๋าฟางสองใบ
ขากลับง่ายมาก ไม่ต้องค้นหาตลอดเส้นทาง ฝ่าชั้นบรรยากาศออกมาก็ถึงดาราจักรแล้ว ทิ้งสัตว์พาหนะไว้เพื่อกำหนดตำแหน่ง พลังอิทธิฤทธิ์กลับคืนมาแล้ว เหาะออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเทียบความเร็วยามเหาะในดาราจักร การเหาะบนดาวคราะห์ที่มีกระแสลมต้านเทียบไม่ติด หัวหน้ากลุ่มรีบเหาะไปหาผู้ตรวจการใหญ่เทียนเจี้ยน แล้วรายงานสถานการณ์ที่พบอย่างเร่งด่วน
เมื่อได้ฟังรายงาน เทียนเจี้ยนก็ขมวดคิ้วมุ่น คิดในใจว่าน่าจะไม่ผิดแล้ว
ถึงแม้คนตำแหน่งสูงมักจะไม่เสี่ยงอันตรายด้วยตนเอง แต่เขาก็ยังตัดสินใจจะยืนยันด้วยตัวเองก่อน แบบนั้นจึงจะสามารถรายงานขึ้นไปเบื้องบนอย่างเป็นทางการได้
เมื่อได้ยินว่าเขาจะไปด้วยตัวเอง ลูกน้องที่อยู่ทางซ้ายและขวาก็พากันห้าม ถึงอย่างไรดาวเคราะห์ดวงนี้ก็แปลกประหลาดเกินไป
เทียนเจี้ยนยกมือห้าม ลูกน้องทางซ้ายและขวาทำได้เพียงหุบปาก
หัวหน้ากลุ่มนำทาง เจอสัตว์พาหนะที่ทิ้งไว้กำหนดตำแหน่งล่วงหน้า ส่วนเทียนเจี้ยนก็ใช้นกประหลาดขนแดงเป็นสัตว์พาหนะ พุ่งฝ่าชั้นบรรยากาศเข้าไปโดยตรง
พวกเขาทยอยลงจากฟ้า ในที่สุดเทียนเจี้ยนก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกยามพลังอิทธิฤทธิ์หายไป สายตากำลังจ้องแผ่นดินใหญ่ที่มีภูเขาแม่น้ำข้างล่าง หุบผาชันแห่งหนึ่งเริ่มปรากฏตรงหน้าทีละนิด ทั้งยังมีวัดประหลาดสีดำมืดแห่งนั้นอีก
นกประหลาดขนแดงที่โหม่งหัวลงพลันเงยหน้า หยุดยั้งการดิ่งลง ค่อยๆ เหยียบลงบนลานนอกวัด
เทียนเจี้ยนกระโดดลง กลุ่มคนที่อยู่นอกวัดทยอยกันกุมหมัดคารวะ
สายตาเทียนเจี้ยนไปหยุดที่รอยเลือดบนพื้น แล้วก็มองหลายคนที่บาดเจ็บ จากนั้นโบกมือสั่งให้นำกลับไปรักษาตัวในดาราจักรก่อน
เหยี่ยวมารวานรยักษ์หลายตัวแบกคนเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว เทียนเจี้ยนเดินช้าๆ ไปถึงประตูวัด จ้องสำรวจเข้าไปในวัดสีดำมืด เขาเองก็เห็นสภาพของส่วนลึกภายในวัดไม่ชัดเจนเช่นกัน
หลังจากดูอยู่พักหนึ่งแล้วไม่ได้ผลอะไร เขาก็หันตัวเดินลงบันไดผ่านไป เดินมาข้างเกราะหัวบนพื้นอันหนึ่งที่มีรอยเลือด แล้วจู่ๆ ก็ยกเท้าเตะ เกราะหัวถูกเตะขึ้นมา ชนไปบนผนังของวัดเสียงดังปั้ง
ตุ้ง! ในวัดมีเสียงระฆังดังทันที คนที่อยู่ตรงนั้นไม่ได้ยิน แต่ทั้งหมดรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่ง
แต่ทุกคนกลับเห็นเงาสีทองกะพริบอยู่ในวัด แต่ละคนทำสีหน้าตกใจมาก เทียนเจี้ยนเองก็หรี่ตาจ้องเช่นกัน เห็นเพียงเงาคนสีทองเงาหนึ่งพลันโผล่อยู่ในวัดที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดมิด เงานั้นกำลังเอามือกุมศีรษะกรีดร้อง ท่าทางเจ็บปวดทรมานมาก
เทียนเจี้ยนรีบก้าวขึ้นบันได ไม่กล้าข้ามผ่านธรณีประตู ส่ายตาจับจ้องเงาคนสีทองในวัด พบว่าลักษณะเหมือนพระจริงๆ ด้วย
หลังจากเงาคนสีทองบรรเทาจากอาการเจ็บปวดทรมาน สองมือก็คลายออกจากศีรษะ แล้วเดินเข้ามาช้าๆ เดินมาถึงตรงประตูวัด
เทียนเจี้ยนแทบจะสบสายตากับเขา สายประสานสายตากับดวงตาเพลิงสีทองคู่นั้น ตรงกลางมีธรณีประตูกั้น ระหว่างทั้งสองห่างกันแค่ศอกเดียว
“เจ้าเป็นใคร?” เงาคนสีทองเอ่ยถาม
เทียนเจี้ยนไม่ได้ยินเสียงของเขา ไม่รู้ว่าเขากำลังพูดอะไร และไม่สนใจเท่าไรนัก หันตัวเดินออกมา กระโดดขึ้นตัวนกประหลาดขนแดง แล้วพุ่งขึ้นฟ้าออกไปโดยตรง
หลังจากมาถึงดาราจักรแล้ว เทียนเจี้ยนก็สั่งให้กำลังพลที่ค้นหาอยู่ในดาวเคราะห์เลิกค้นหาได้แล้ว ทั้งหมดไปรวมตัวกันเฝ้าที่หุบผาชันแห่งนั้น ถ้าไม่ได้รับคำสั่งก็ห้ามใครบุ่มบ่ามทำอะไรเด็ดขาด!
แม่ทัพทุกคนเอ่ยรับคำสั่ง เทียนเจี้ยนหยิบระฆังดาราออกมารายงานอู๋ฉวี่อีก รายงานอย่างเป็นทางการ ว่าพบสถานที่ผนึกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโป!
อู๋ฉวี่สั่งแค่คำเดียวว่า : รอก่อน!
วันต่อมา คนหลายร้อยเร่งเหาะอยู่ในดาราจักรอันกว้างใหญ่ มีทั้งพระกับฆราวาสอย่างละครึ่ง ประมุขชิงกับประมุขพุทธะมาด้วยกัน ทั้งสองนัดพบกันระหว่างทางแล้วมาด้วยกัน
เมื่อเห็นประมุขชิงกับประมุขพุทธะมาด้วยกัน มีคนไม่น้อยตกตะลึง พวกเขาพากันทำความเคารพ เสียงดังสนั่นดาราจักร
ประมุขชิงยกมือขึ้นสื่อว่าไม่ต้องมากพิธี จากนั้นจ้องเทียนเจี้ยนแล้วถามทันทีว่า “ยืนยันหรือยัง?”
เทียนเจี้ยนกุมหมัดคารวะ “ยืนยันแล้วขอรับ ไม่ผิดแน่!”
“สถานการณ์เป็นยังไง?” ประมุขชิงจ้องดาวเคราะห์ดวงนั้นพลางเอ่ยถาม
“ถูกขังอยู่ในวัดแห่งหนึ่งในหุบผาชันจริงๆ…” เทียนเจี้ยนเล่าสถานการณ์หลังจากหาพบให้ฟังคร่าวๆ รอบหนึ่ง
ประมุขชิงพยักหน้า แล้วมองประมุขพุทธะอีก ประมุขพุทธะโบกมือเบาๆ จากนั้นก็มีคนผลักปีศาจจิ้งจอกสามหางออกมาทันที
“ใช่ที่นี่หรือไม่?” ประมุขพุทธะถามเสียงเรียบ
ปีศาจจิ้งจอกสามหางจ้องดาวเคราะห์ดวงนั้นด้วยสายตาหวาดผวา ส่ายหน้าบอกว่า “ไม่รู้ ข้าไม่เคยสำรวจดาวเคราะห์ดวงนี้ละเอียด ยืนยันไม่ได้”
ประมุขพุทธะส่ายหน้าเบาๆ ปีศาจจิ้งจอกสามหางถูกพาลงไปอีก แล้วบอกประมุขชิงว่า “เจ้ากับข้าไปเองสักรอบเถอะ”
ประมุขชิงพยักหน้า แล้วกล่าวเสียงต่ำ “นำทาง!”
เทียนเจี้ยนยื่นมือเชิญทันที
ประมุขชิงบอกซ่างกวนชิงและอู๋ฉวี่ที่ตามาด้วยอีกว่า “พวกเจ้าสองคนไม่ต้องตามไป อยู่คุมที่นี่ จะได้เตรียมตัวรับมือสะดวก”
“รับทราบ!” ทั้งสองเอ่ยรับคำสั่ง รู้ว่าเขาสื่ออะไร ต้องการให้ทั้งสองอยู่ระวังเหตุไม่คาดคิดภายนอก
ขณะกำลังจะเข้าไปในดาวเคราะห์ดวงนั้น ประมุขชิงก็โบกมือปล่อยหงส์รุ้งที่มีขนสีสันแพรวพราวตัวหนึ่งออกมา แล้วเหาะขึ้นไปพร้อมประมุขพุทธะ ขี่ไปด้วยกัน
เทียนเจี้ยนเตือนด้วยความหวังดีอยู่ข้างๆ “ฝ่าบาท ได้โปรดปิดประสาทสัมผัสการได้ยิน”
ประมุขชิงกล่าวเสียงเรียบ “ไม่ต้องแล้ว มนต์คร่าชีวิตไม่ส่งผลกับพวกเราสองคน” ขณะที่พูด ผลไม้สีขาวหิมะผลหนึ่งก็ลอยเข้าปาก ประมุขพุทธะก็เป็นอย่างนี้เช่นเดียวกัน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เทียนเจี้ยนเองก็ไม่พูดอะไรแล้ว ปิดผนึกประสาทสัมผัสการได้ยินของตัวเอง แล้วขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์ฝ่าชั้นบรรยากาศนำไป คอยนำทางอยู่ข้างหน้า
รอบๆ หุบผาชันในเวลานี้มีกำลังพลกระจายตัวอยู่หนาแน่น ทุกที่มีสัตว์เทพบินลาดตระเวน ปิดล้อมไว้อย่างแน่นหนาจนแมลงวันตัวเดียวก็บินเข้ามาไม่ได้
การมาเยือนของประมุขชิงและประมุขพุทธะทำให้ทัพใหญ่วุ่นวายอยู่พักหนึ่ง ทยอยกันหันหน้าทำความเคารพหงส์รุ้งที่บินลงมา
ทั้งสองกระโดดลงจากตัวหงส์รุ้ง สายตามองไปทางประตูใหญ่ของวัดสีดำมืดพร้อมกัน
เทียนเจี้ยนเดินมาข้างๆ หยิบทวนยาวมาจากมือลูกน้องคนหนึ่ง เดินไปตีที่ผนังวัดอย่างแรง
ตุ้ง! ในวัดมีเสียงระฆังดัง ในวัดที่ดำมืดพลันเปล่งแสงสีทองวัด เงาคนสีทองปรากฏขึ้นแล้ว กำลังเอามือกุมศีรษะกรีดร้องอย่างเจ็บปวด
ประมุขชิงและประมุขพุทธะพลันเบิกตากว้าง แล้วรีบเดินขึ้นบันไดไปพร้อมกัน จ้องเงาคนสีทองที่อยู่ในนั้น
เทียนเจี้ยนที่อยู่ข้างๆ ส่งสัญญาณมือเตือนอีกครั้ง ว่าอย่าข้ามธรณีประตูนี้ไป
ประมุขชิงโบกมือสื่อว่ารู้แล้ว แต่สายตากลับจ้องเงาคนสีทองข้างในไม่ละไปไหน ทำสีหน้าเหมือนประมุขพุทธะ เคร่งขรึมจริงจังอย่างที่พบเห็นไม่บ่อย
เงาคนสีทองเริ่มบรรเทาจากอาการเจ็บปวด วางมือสองข้างที่กุมหัวลง เดินไปทางประตูช้าๆ
ตัวสูงใหญ่ ห่มจีวรเฉียงเปลือยไหลข้างเดียว เปลือยแขนและเท้า มีแสงสีทองเปล่งจากตัว ในดวงตาสองข้างราวกับสีเปลวเพลิงสีทองกระโดดในเบ้าตา ราวกับไม่มีลูกตา แต่ในแววตาเพลิงกลับน่าสะพรึงมาก
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของคนคนนี้ สอดคล้องกับเค้าโครงของคนในความทรงจำ เป็นคนคนนั้นจริงๆ ประมุขชิงกับประมุขพุทธะอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย
“พระปีศาจ!” ประมุขชิงกัดฟันอย่างเคียดแค้น
พระปีศาจหนานโปยืนอยู่ตรงหน้าประตู ดวงตาเพลิงมองผ่านกลางทั้งสองออกไป ไปหยุดจ้องบนต้วหงส์เฟิ่งหวงที่หยุดพักอยู่ข้างนอก เสร็จแล้วย้ายสายตากลับมากวาดมองทั้งสอง แล้วเปล่งเสียงดังก้องวัด “พวกเจ้าสองคนหน้าคุ้นๆ นะ เป็นเด็กข้างกายขู่หมิงกับชิงเทียนหรือเปล่า?”
ประมุขชิงแสยะยิ้ม “พระปีศาจ เจ้าก็มีวันนี้เหมือนกันนะ!”
สายตาของพระปีศาจหนานโปไปหยุดอยู่บนหน้าเขา “นึกออกแล้ว ข้างกายชิงเทียนมีเด็กอยู่หลายคน ประกาศต่อภายนอกว่าเป็นศิษย์ แต่ที่จริงแล้วเป็นลูกแท้ๆ ที่เกิดจากเขาทั้งนั้น เจ้าคงจะเป็นลูกชายคนเล็กสุดของเขาสินะ แบบนี้ เจ้ากับข้าก็มีความแค้นเรื่องสังหารบิดา หึหึ ถ้าไม่ใช่เพราะนอนกับแม่เจ้า เกรงว่าแม้แต่ข้าก็คงถูกปิดบังไปด้วย”
ประมุขชิงเผยสีหน้าดุดัน กำหมัดสองข้างไว้แน่น ดวงตาแทบจะลุกเป็นไฟ
ประมุขพุทธะตกใจจนมองเขาแวบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าชาติกำเนิดของประมุขชิงจะมีเรื่องนี้ปิดบังอยู่
พระปีศาจหนานโปกล่าวกลั้วหัวเราะ “น่าเสียดายนัก ตอนแรกกะว่าจะขุดรากถอนโคน แต่ใครจะคิดว่าพวกเจ้าสองคนจะหนีไปได้ พอมาดูตอนนี้ คงจะเป็นเจ้าเด็กนั่นของตระกูลเซี่ยโห้วที่วางอุบาย หึ! เจ้าเด็กนั่นของตระกูลเซี่ยโห้ว ช้าเร็วข้าก็ต้องให้เจ้าจ่ายค่าชดเชยที่ทรยศข้า!”
ประมุขพุทธะประนมมือ “น่าเสียดายที่เจ้าไม่มีโอกาสแล้ว เซี่ยโห้วท่าตายไปแล้ว”
“คนดีอายุไม่ยืน ทิ้งหายนะไว้ไม่จบไม่สิ้น เจ้าเด็กนั่นเจ้าเล่ห์ ไม่ตายง่ายขนาดนั้นหรอก” พระปีศาจหนานโปกล่าวเสียงเรียบ
“ตายแล้วจริงๆ ตายไปหลายหมื่นปีแล้ว” ประมุขพุทธะกล่าว
พระปีศาจหนานโปแสยะยิ้มไม่หยุด “ตายเหรอ? อยู่ต่อหน้าข้าใครกล้าพูดว่าตาย? ถ้าข้าไม่ให้เขาตาย เขาก็ตายไม่ได้ ช้าเร็วข้าก็ต้องตัดขาดการเวียนว่ายตายเกิดของเขา ให้เขาฟื้นความทรงจำในชาตินี้อีกครั้ง ให้เขาทนทรมานไปทุกชาติทุกภพไม่จบสิ้น ให้เขาร้องครวญครางอยู่ใต้เท้าข้าตลอดไป แล้วก็ศิษย์ทรยศพวกนั้นของข้าด้วย!”
ประมุขชิงกับประมุขพุทธะฟังจนหนังตากระตุก เสียวสันวาบนิดหน่อย เพิ่งนึกได้ว่าปีศาจตนมีมีพลังอภินิหารควบคุมการเวียนว่ายตายเกิดได้
ประมุขพุทธะประนมมือ “อามิตตาพุทธ ในเมื่อพวกเราสองคนมาแล้ว ก็ไม่ให้โอกาสพวกเจ้าออกไปก่อกรรมทำชั่วอีก”
“อไรคือความดี? อะไรคือความชั่ว? อาศัยคนอย่างพวกเจ้าน่ะเหรอ?” ดวงตาเพลิงของพระปีศาจหนานโปราวกับเหน็บแหนม แล้วจู่ๆ ก็บอกอีกว่า “ใช่แล้ว ได้ยินว่าพวกเจ้าสองคนกลายเป็นเจ้าแห่งใต้หล้าแล้ว ขนาดศิษย์ของไป๋เหมยที่ร่วมช่วงชิงใต้หล้ากับพวกเจ้าก็ยังโดนฆ่า ข้าน่ะแปลกใจนัก ศิษย์ของไป๋เหมยก็นับว่ามีฝีมืออยู่บ้าง ทำไมถึงตายด้วยน้ำมือกระเป๋าฟาง[1]อย่างพวกเจ้าสองคนได้? อ้อใช่สิ เจ้ากระเป๋าฟางสองใบนี้ สงสัยจะโดนเจ้าเด็กตระกูลเซี่ยโห้วหลอกใช้ประโยชน์แต่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ คนที่เจ้าเด็กตระกูลเซี่ยโห้วกลัวก็คือศิษย์ของไป๋เหมย ถึงได้ยืมมือพวกเจ้ากำจัดเขาทิ้ง พอไม่มีเจ้าเด็กตระกูลเซี่ยโห้วคอยเสี้ยมอยู่เบื้องหลัง อาศัยกระเป๋าฟางอย่างพวกเจ้าสองคน มีหรือที่จะสู้กับเขาได้?”
จะอ้าปากหุบปากก็พูดแต่กระเป๋าฟาง ทั้งสองฟังจนไฟโกรธสุมทรวง ประมุขพุทธะกล่าวเสียงเรียบว่า “ตามที่อาตมารู้มา เหมือนเจ้าจะไม่เคยเจอศิษย์ของไป๋เหมยนะ?” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ เจ้าไม่เคยเจอ แล้วมีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าพวกเราสู้เขาไม่ได้?
พระปีศาจหนานโปแสยะยิ้ม “ข้าก็เลยบอกว่าพวกเจ้าสองคนเป็นกระเป๋าฟางไง หลังจากศิษย์ของไป๋เหมยสังหารศิษย์ทรยศของข้าไปหลายคน ก็หาข้าพบแล้ว เจ้านั่นเปลี่ยนวิธีการขู่ข้า เรียนรู้วิชาจากข้าไปแล้วไม่น้อย ข้ารู้ว่าเขาอยากจะบีบคั้นขูดรีดข้าแล้วค่อยฆ่าทิ้ง แต่ก็มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ข้าต้องยอมรับ พรสวรรค์ของเขาไม่ธรรมดาจริงๆ…ข้ายังแปลกใจว่าทำไมตอนหลังเขาไม่มาแล้ว ที่แท้ก็ตายด้วยน้ำมือกระเป๋าฟางอย่างพวกเจ้าสองคนนี่เอง เขาหาข้าเจอนานแล้ว แต่พวกเจ้าเพิ่งจะเจอข้าตอนนี้ ห่างชั้นกันขนาดไหนก็ลองคิดเอาเอง พวกเจ้าใช่กระเป๋าฟางมั้ยล่ะ? แต่จะว่าไปก็ต้องขอบคุณพวกเจ้านะ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเจ้าสองคนทำให้งานเขาพัง เกรงว่าข้าคงตายด้วยน้ำมือเขาไปแล้ว ดังนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าไปสบาย!”
ประมุขชิงและประมุขไป๋หน้าบึ้งแล้ว สบตากันแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก ในดวงตาฉายแววโกรธแค้น นึกไม่ถึงว่าเจ้าสามเหล่าไป๋จะเจอสถานที่ผนึกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจนานแล้ว ในปีนั้นความสัมพันธ์ยังดีต่อกัน ยังไม่แตกคอกัน แต่ไม่น่าเชื่อว่าเหล่าไป๋จะไม่บอกพวกเขา
“ขนาดเขายังเรียนรู้จากข้าไปแล้ว พวกเจ้าจะไม่อยากเชียวเหรอ? อยากบรรลุระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จนเป็นอมตะมั้ย? ข้ามีวิชาลับอยู่นะ” พระปีศาจหนานโปหัวเราะเบาๆ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังหลอกล่อ
ประมุขชิงพูดแขวะ “สงสัยจะกลัวพวกเราฆ่าเจ้าน่ะสิ นี่เจ้ากำลังขอร้องพวกเราเหรอ?”
“ขอร้องพวกเจ้า? อาศัยกระเป๋าฟางอย่างพวกเจ้าคู่ควรด้วยเหรอ?” พระปีศาจหนานโปพูดเหยียด แล้วจู่ๆ ก็จ้องประมุขพุทธะพร้อมท่อง “ผู้อยู่ในอเวจีเป็นอมตะ อายุยืนยาวคือทุกข์เข็ญใหญ่ในขุมอเวจี อเวจีไร้ขอบเขต ไร้กาลเวลา ไร้ช่องว่าง แดนรับกรรมไร้ที่สิ้นสุด เวลาไร้จำกัด ช่องว่างไร้ขอบเขต รับกรรมไร้ขอบเขต…”
…………………………
[1] กระเป๋าฟาง 草包 เป็นคำด่า เปรียบเปรยถึงคนที่ไร้ประโยชน์ ไม่ได้เรื่อง