พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1988 ไม่ยอมให้เขาได้กำเริบเสิบสาน
อวิ๋นจือชิวค่อนข้างประหลาดใจ “ในมือเจ้ามีของที่พระปีศาจหนานโปต้องการเหรอ?” จากนั้นก็เข้าใจทันที “เจ้าหมายถึงสถานที่ที่ศีลแปดฝึกวิชา? เขาจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้ารู้จักที่นั่น?”
เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ ขนาดตัวเองยังรู้สึกขำ ส่ายหน้าบอกว่า “พอได้ฟังเจ้าพูดแบบนี้ สงสัยในมือข้าจะไม่ได้มีของสิ่งเดียวที่พระปีศาจนั่นต้องการ แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคลังสมบัติหรอก พระปีศาจไม่รู้ว่าข้าเกี่ยวข้องกับคลังสมบัติ ตามหาข้าไม่เจอหรอก ที่เขาจะมาหาข้าก็เพราะต้องการของอย่างอื่น ยังจำสมุนไพรจิตวิญญาณที่ข้าได้มาจากมือปีศาจโลหิตได้มั้ย?”
“จำได้สิ ตอนแรกเจ้าบอกว่าเป็นสมุนไพรจิตวิญญาณ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าสมุนไพรจิตวิญญาณคืออะไรกันแน่ เขาจะเอาสิ่งนี้ไปทำอะไร?” อวิ๋นจือชิวสงสัย
เหมียวอี้ยื่นมือเชิญให้นางนั่งลงข้างโต๊ะน้ำชา แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มขื่นขม “เรื่องนี้พูดแล้วก็ยาว ปีศาจโลหิตกับศีลแปดเร่ร่อนไปอยู่ในสถานที่ผนึก ศีลแปดยังดีหน่อย ไม่ถูกมนต์คร่าชีวิตของพระปีศาจควบคุม แต่ปีศาจโลหิตกลับต้านไม่อยู่ ถูกพระปีศาจมอมเมา เปิดโปงกำพืดตัวเองหมดเกลี้ยง บอกพระปีศาจเรื่องที่ข้าปล้นสมุนไพรจิตวิญญาณไปจากค่ายกลมารโลหิตแล้ว ทีแรกข้าก็ไม่รู้ ตอนหลังพระปีศาจเอาใต้หล้ามาเป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยนกับสมุนไพรจิตวิญญาณ ข้าถึงได้แน่ใจว่าสมุนไพรจิตวิญญาณสามารถปลูกเนื้อหนังออกจากระดูก ฟื้นชีพคนตายได้ ตราบใดที่จิตวิญญาณไม่ดับสลาย ก็สามารถหล่อหลอมกายหยาบขึ้นมาใหม่ได้อีก ตอนแรกข้าก็ยังสงสัยอยู่บ้าง ตอนหลังอยู่ที่สถานที่ผนึกได้สักระยะ ก็อดไม่ได้ที่จะคุยเรื่องนี้กับปีศาจโลหิต ใครจะไปคิดว่าจะเป็นเรื่องจริง กายหยาบของพระปีศาจมีความพิเศษ ร่างกายคนทั่วไปไม่สามารถฝึกวิชาของเขาได้ หมายความว่าเขาไม่มีทางกลับมาอยู่จุดสูงสุดได้แล้ว สำหรับพระปีศาจที่มองว่าตัวเองเป็นเทพ นี้คือสิ่งที่ไม่มีทางยอมรับได้ ดังนั้นเขาหวังมาตลอดว่าจะเจอกายหยาบที่เหมาะสม ถ้าอยากจะหากายหยาบที่สอดคล้องกับเงื่อนไขของเขาโดยสมบูรณ์ก็ยุ่งยากมาก วิธีการที่สะดวกที่สุดก็คือใช้สมุนไพรจิตวิญญาณในมือข้า เสริมกับวิชาลับของพระปีศาจ ปีศาจโลหิตบอกว่า แบบนั้นการหล่อหลอมกายหยาบที่ตรงตามความต้องการของพระปีศาจก็ไม่น่าจะมีปัญหา”
“…” อวิ๋นจือชิวเหม่อไปพักใหญ่ ถามว่า “ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินเจ้าพูดเรื่องนี้เลย?”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “ตอนนั้นข้าไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ ถ้าไม่ใช่เพราะพระปีศาจมีโอกาสหนีออกมา เกรงว่าข้าก็คงฉุกคิดไม่ได้เหมือนกัน”
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วเงียบๆ ไม่น่าเชื่อว่าสมุนไพรจิตวิญญาณจะสำคัญกับพระปีศาจขนาดนี้ เช่นนั้นก็เกรงว่าพระปีศาจคงจะมาจริงๆ ใช่ว่า ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ จะไร้ชื่อเสียง ลองสุ่มถามนักพรตดูสักคนก็รู้แล้วว่าเป็นผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล หาง่ายเกินไปแล้ว
นางอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้ายิ้มเจื่อนเช่นกัน “หนิวเอ้อร์ สงสัยเจ้ากับพระปีศาจจะมีวาสนาต่อกันจริงๆ สุ่มเลือกของมาสักอย่างก็ทำให้เจ้ากับเขาเกี่ยวข้องกันได้แล้ว จะหลบก็หลบไม่พ้นจริงๆ”
“เฮ้อ!” เหมียวอี้ถอนหายใจอย่างอับจนปัญญา
ฝนโปรยปรายบนทะเลสาบนิ่งสงบ เรือน้อยลอยโดดเดี่ยว ชายชราที่ปล่อยใจไปกับธรรมชาติกำลังนั่งตกปลาอยู่บนเรือเพียงลำพัง ไม่ใช่ใครที่ไหน เซี่ยโห้วท่านั่นเอง
ซ่อนตัวอยู่ที่นี่มาหลายปี เขาได้ลองเปลี่ยนบทบาทไปมากมาย ตอนนี้กลายเป็นชาวประมงเฒ่าคนหนึ่งแล้ว
ระฆังดาราของเว่ยซูส่งข่าวมา เขาหยิบระฆังดาราออกมาทันที หลังจากได้ยินว่ามีเบาะแสเรื่องสถานที่ผนึก เขาก็ให้ความสนใจมากมาโดยตลอด จะเรียกว่ารอฟังข่าวจากเว่ยซูมาตลอดก็ว่าได้
หลังจากติดต่อเสร็จแล้ว เซี่ยโห้วท่าก็ถามทันท : สถานการณ์เป็นอย่างไร?
เว่ยซู : นายท่าน เกิดเรื่องใหญ่แล้ว วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปหลุดไปแล้วขอรับ
มือที่ถือคันเบ็ดสั่นอย่างรุ่นแรงพักหนึ่ง เซี่ยโห้วท่ารีบถามว่า : เจ้าพูดอะไร?
เว่ยซูรู้ว่าเขายอมรับสิ่งนี้ได้ยาก แต่ความจริงก็คือความจริง เขาไม่อาจพูดเหลวไหลตามใจได้ จึงย้ำอีกครั้งว่า : นายท่าน วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปหลุดไปแล้ว หนีไปแล้วขอรับ
เซี่ยโห้วท่ารีบเขย่าระฆังดารา : เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นประมุขชิงหรือประมุขพุทธะ ก็ล้วนเล่นงานเขาให้ถึงตายได้ทั้งนั้น เขาสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะหลุดเงื้อมมือสองคนนั้นไป ต่อให้ฆ่าไม่ได้ก็ต้องสกัดขวางไว้ได้สิ!
เว่ยซู : ตอนค่ายกลสถานที่ผนึกถูกทำลาย พระปีศาจใช้มนต์คร่าชีวิตควบคุมทัพใหญ่ที่อยู่รอบๆ ประมุขชิงกับประมุขพุทธะหาเรื่องใส่ตัว โดนทัพใหญ่ของตัวเองสกัดไว้ โดนพระปีศาจฉวยโอกาสแย่งร่างคนอื่นหนีไปแล้ว
เซี่ยโห้วท่าเบิกตากว้าง ดวงตาฉายแววคับแค้นปนโศกเศร้า : เลอะเลือน! ใช่ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าเรื่องมนต์คร่าชีวิตของพระปีศาจ อย่าบอกนะว่าไม่ได้ปิดประสาทสัมผัสการได้ยินล่วงหน้า?
เว่ยซู : นายท่าน นี่ก็คือกุญแจสำคัญของปัญหา ต่อให้ปิดประสาทสัมผัสการได้ยินแล้ว แต่ก็ต้านมนต์คร่าชีวิตไม่อยู่ พระปีศาจสามารถควบคุมคนผ่านจิตสำนึกได้ ตอนแรกพระปีศาจแสดงความอ่อนแอ รอให้ค่ายกลพพังก่อนถึงแสดงฝีมือที่แท้จริง ประมุขชิงกับประมุขพุทธะก็ตกหลุมพรางเขาเช่นกัน ถึงปล่อยให้เขาหนีไปได้ขอรับ
เซี่ยโห้วท่าตบคันเบ็ดในมือไปที่หัวเรือ แล้วก็กระโดดลงน้ำ ใบหน้าขาวซีด หายใจถี่กระชั้น ร่างกายสั่นเล็กน้อย
ผ่านอุปสรรคลมฝนมามากมาย เห็นพายุคลื่นยักษ์มาจนชิน เซี่ยโห้วท่าที่สุขุมเยือกเย็นมาตลอด ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้ในดวงตาจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ถ้าถามว่าในใต้หล้านี้ใครหวาดกลัวพระปีศาจหนานโปที่สุด นอกจากเขาที่เป็นคนทำให้พระปีศาจหนานโปตกต่ำถึงขั้นนี้ ก็ไม่มีคนอื่นแล้ว เขารู้ว่าพระปีศาจหนานโปจะใช้วิธีการแบบไหนมาล้างแค้น
ไม่ผิดหรอกที่เขาแกล้งตาย โลกภายนอกต่างก็คิดดว่าเขาตายไปแล้ว ตามหลักแล้วศัตรูก็น่าจะวางมือแล้วเช่นกัน
เขาเองก็จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ตามหลักแล้วก็ไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งนี้เท่าไรนัก
แต่คู่แค้นของเขาดันไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นพระปีศาจหนานโปที่ทำให้คนขนพองสยองเกล้า ในปีนั้นเขาคอยฟังคำสั่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของพระปีศาจหนานโป เข้าใจความน่าหวาดกลัวของพระปีศาจดีเกินไป ทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า ทำให้คนไม่กล้าแม้แต่จะพูดเสียงดัง คนที่สมมติตัวเองเป็นเทพได้ มีหรือที่ใช้แค่คำว่า “หลงระเริง” มาบรรยายแล้วก็จบ นั่นคือสุดยอดปีศาจร้ายที่ไม่เคยมีมาก่อน วิธีการสุดล้ำ วีรบุรุษนับไม่ถ้วนถูกเขาโจมตีจนหมอบ แล้วใครจะกล้าไม่ยอมแพ้ล่ะ?
เซี่ยโห้วท่าเข้าใจดีมาก ว่าถ้าพระปีศาจต้องการจะล้างแค้นเขา ต่อให้เขาตายไปก็ไม่มีประโยชน์ ตายก็แล้วก็ดึงเขากลับมาใหม่ได้ เพราะเขาเคยเห็นอภินิหารนี้ของพระปีศาจหนานโปมากับตาตัวเอง ศัตรูที่วนกลับมาเกิดร้อยชาติล้วนถูกปีศาจนั้นดึงกลับมา ฟื้นความจำของคนคนนั้น ทรมานจนอยู่มิสู้ตาย
ภาพอันโหดเหี้ยมนั้น พอเขามานึกดูตอนนี้ก็ยังขนลุก
บุคคลที่น่ากลัวขนาดนี้ เป็นบุคคลที่ทำให้เขาสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายได้บ่อยๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะหลุดออกมาแล้ว!
เซี่ยโห้วท่าเผยสีหน้าหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขากลัวแล้วจริงๆ กลัวจะตายอยู่แล้ว
ทว่าเขาก็รู้ว่ายามเผชิญหน้ากับคนอย่างพระปีศาจหนานโป ถ้าพระปีศาจหนานโปไม่อยากให้เขาตาย เขาก็ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะตายด้วยซ้ำ
ราวกับว่าเขาเห็นดวงตาที่มองคนเป็นเหมือนมดกำลังจ้องเขาแล้ว เซี่ยโห้วท่าหันขวับไปข้างหลัง เรือน้อยลอยโดดเดี่ยวอยู่บนทะเลสาบ แต่ข้างหลังไม่มีอะไรทั้งนั้น เขาเหงื่อโชกเต็มตัวแล้ว
เขารู้ว่าวันคืนที่ต้องทนรับความทรมานได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว…
ในจวนผู้สำเร็จราชการ สวนดอกไม้ เหมียวอี้ขมวดคิ้วเดินไปเดินมาอยู่คนเดียว
สมุนไพรจิตวิญญาณในมือจะทำอย่างไร? เขาจำเป็นต้องพิจารณาปัญหานี้ ถ้าพระปีศาจหนานโปหนีไปได้จริงๆ สมุนไพรจิตวิญญาณนี้ถ้าเก็บไว้ในมือก็จะเป็นหายนะ เขากำลังคิดว่าจะมอบให้ใครสักคนที่ตัวเองเหม็นขี้หน้าดีหรือไม่?
ในขณะนี้เอง หยางเจาชิงรีบเดินเข้ามาแล้ว กุมหมัดคารวะกล่าวว่า “นายท่าน เหวินเจ๋อขอพบขอรับ”
“อืม!” เหมียวอี้พยักหน้า นับว่าตอบรับแล้ว
ไปหยางเจาชิงออกไป ประเดี๋ยวเดียวก็นำเหวินเจ๋อเข้ามา
พอเหวินเจ๋อเข้ามา ก็รีบร้อนทำความเคารพ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “นายท่าน แย่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปหลุดไปแล้ว…”
เขาเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ ที่สำคัญคือได้รับแจ้งมาจากตำหนักสวรรค์ ให้แจ้งกำลังพลแดนรัตติกาลว่าให้เฝ้าระมักระวังอย่างสูง ดำเนินการตรวจสอบ พร้อมคิดหาทางป้องกันไม่ให้พระปีศาจหนานโปอาศัยช่องโหว่เข้ามาด้วย
เหมียวอี้แอบถอนหายใจ สงสัยปีศาจเฒ่านั้นจะหนีรอดไปได้แล้วจริงๆ เขาไม่เข้าใจ ขนาดประมุขชิงกับประมุขพุทธะออกโรงด้วยตัวเองแล้ว ทำไมยังปล่อยให้ปีศาจเฒ่านั่นหนีไปได้? เหวินเจ๋อพูดไม่ชัดเจน เขาเองก็ไม่สะดวกจะถามมาก คาดว่าเหวินเจ๋อคงรู้ข้อมูลจำกัดเช่นกัน หรือไม่ก็รู้อะไรที่ผิดข้อห้ามถึงไม่บอกตน จึงกะว่าเดี๋ยวจะติดต่อถามจากฮ่าวเต๋อฟาง
สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้เซ็งที่สุดก็คือเหวินเจ๋อ ตำหนักสวรรค์นี่ก็ไม่รู้ว่ามีเจตนาอะไร เขา ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ ต่างหากที่เป็นผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็บอกกับเหวินเจ๋อโดยตรง ทำเอาเหวินเจ๋อเหมือนเป็นผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลเสียเอง ถ้าไม่ใช่เพราะเหวินเจ๋อยังอ่านสถานการณ์ออก เขาก็จะต้องสั่งสอนตำหนักสวรรค์กลับเหวินเจ๋อสักหน่อย จะได้ไม่มองว่าเจ้าอาณาเขตยังเขาเป็นหุ่นเชิด
เหวินเจ๋อเองก็อึดอัดเพราะสายตาแปลกๆ ของเหมียวอี้เช่นกัน เขารู้ว่าเหมียวอี้กำลังคิดอะไร แต่เขาเองก็ไม่มีทางเลือก ตำหนักสวรรค์ดึงดันจะทำอย่างนี้ แล้วเขาจะทำอย่างไรได้? เขาถึงขั้นสงสัยว่าตำหนักสวรรค์กลัวว่าเขาจะเอนเอียงมาขอพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า ถึงตั้งใจจะเสี้ยมเขาควายให้ชนกันแบบนี้
พูดตามตรง ตอนนี้เขานึกเสียใจทีหลังที่มาที่นี่ นอกจากอำนาจผลประโยชน์ในจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลจะไม่ตกถึงมือเขาแล้ว ทางตำหนักสวรรค์ก็ยังระแวงเขาอีก ทำให้เขาทั้งนอกทั้งในล้วนไม่ใช่คน แต่ก็ดันไม่สะดวกจะขัดใจทั้งสองฝ่าย
“อืม!” เหมียวอี้พยักหน้า “แจ้งแม่ทัพทุกคนให้ไปที่ตำหนักประชุม”
จากนั้นแม่ทัพคนสำคัญก็ไปรวมตัวกันในตำหนักประชุมของส่วนผู้สำเร็จราชการ เหมียวอี้แจ้งสถานการณ์ทางฝั่งนี้ให้ฟัง แล้วสั่งให้เบื้องล่างป้องกันและตรวจสอบหน่วยของตัวเอง
สรุปก็คือ ข่าวนี้ของตำหนักสวรรค์มาทันเวลา อย่างน้อยก็สอนทุกคนว่าต้องทำอย่างไรถึงจะป้องกันไม่ให้พระปีศาจเจาะช่องโหว่เข้ามา
สำหรับข่าวนี้ บรรดาแม่ทัพตกใจขนาดไหนก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง
หลังจากประชุมจบ เหมียวอี้ก็นำหยางเจาชิงกลับมาในบ้าน พาไปหาอวิ๋นจือชิว
“ไม่ไป!”
พอได้ฟังว่าจะให้ตัวเองพาพวกหลินผิงผิงกลับไปหลบที่พิภพเล็ก อวิ๋นจือชิวก็ปฏิเสธทันที
“น้องชิว อย่าดื้อสิ!” น้ำเสียงเหมียวอี้ไม่ยอมให้ปฏิเสธ หันกลับมาบอกหยางเจาชิงว่า “เจ้าบอกทางหลินผิงผิงด้วย ให้นางรีบเก็บของเตรียมไปกับฮูหยิน”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับแล้วหันตัวเดินออกไป รู้ว่านายท่านหวังดีกับเขา เขาจะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง
อวิ๋นจือชิวจ้องเหมียวอี้พักหนึ่ง แล้วกัดฟันถามว่า “หนิวเอ้อร์ ในสายตาเจ้าข้าก็เป็นแค่ตัวภาระใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ส่ายหน้าถอนหายใจ “เจ้าคิดมากไปแล้ว ตอนนี้พระปีศาจหนานโปไม่เหมือนในปีนั้นแล้ว อาศัยกำลังของข้าตอนนี้ ข้าก็ไม่กลัวเขาเลย แต่ชื่อของคนก็เงาของต้นไม้ ปีศาจเฒ่านี่ต้องมีจุดที่ไม่ธรรมดาแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำให้ตำหนักสวรรค์เผชิญหน้ากับศัตรูที่ร้ายกาจแบบนี้ ถ้ามาอย่างเปิดเผยข้าไม่กลัว กลัวก็แต่พระปีศาจจะเล่นไม่ซื่อ ไม่ใช่แค่เจ้า ครั้งนี้เจ้าต้องพวกพวกจีเหม่ยลี่กลับพิภพเล็กด้วย น้องชิว ไม่เกี่ยวว่าเป็นภาระหรือไม่ ถ้าเจ้าหวังดีกับข้าจริงๆ ก็อย่าทำให้ข้าห่วงหน้าพะวงหลัง เจ้าอยู่ที่พิภพเล็กก็ยังสามารถติดต่อมาให้ความร่วมมือกับข้าได้” พูดจบก็หันตัวมองไปนอกประตู เอามือไขว้หลังพลางกล่าวช้าๆ “ต่อให้ไม่มีสมุนไพรจิตวิญญาณ ก็ยังมีบัญชีแค้นที่ข้าเคยทารุณเขาที่สถานที่ผนึก เรื่องบางเรื่องต่อให้หลบก็หลบไม่พ้น ถ้าให้เป็นฝ่ายรอถูกกระทำ ไม่สู้เป็นฝ่ายรุกโจมตีดีกว่า ครั้งนี้เขาไม่มาหาข้า ข้าก็จะต้องไปหาเขาดูสักหน่อย! ยุคของเขาผ่านไปแล้ว ไม่มีพลังชีวิตแล้ว ไม่ยอมให้ได้เขากำเริบเสิบสานหรอก!
…………………………