พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1989 ร่วมแรงร่วมใจเป็นหนึ่งเดียว
อวิ๋นจือชิวเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ข้าอยู่ที่นี่มีผลกระทบกับเจ้าเหรอ?”
“มี!” เหมียวอี้หันตัวมา ยื่นมือไปคว้ามือเรียวงามของนางไว้ สบประสานสายตาพร้อมกล่าวว่า “ก็เพราะข้าห่วงใยเจ้า ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่จะทำให้ข้าเสียสมาธิ”
ธรรมชาติของผู้หญิงยากจะต้านทานคำพูดหวานๆ แค่ประโยคที่บอกว่า ‘ข้าห่วงใยเจ้า’ ก็ทำให้อวิ๋นจือชิวควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่แล้ว หัวใจราวกับมีคลื่นซัด ในดวงตาฉายแววหวานละมุนละไม เพียงแต่ภายนอกกลับยังบ่นว่า “เจ้าไม่เคยเอาจริงเอาจังขนาดนี้มาก่อน ต่อให้รู้ว่าสี่ทัพจะร่วมมือกันโจมตี แต่เจ้าก็ไม่ได้ให้พวกจีเหม่ยลี่หนีไปด้วย ปากเจ้าก็บอกว่าไม่ยอมให้พระปีศาจกำเริบเสิบสาน แต่ที่จริงแล้วเจ้าไม่มีความมั่นใจใช่มั้ย? ก็เหมือนที่เจ้าบอก ปีศาจเฒ่าต้องมีจุดที่ไม่ธรรมดาแน่ ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำให้ตำหนักสวรรค์เผชิญหน้ากับศัตรูที่ร้ายกาจขนาดนี้”
เหมียวอี้ย่อมไม่ยอมรับอยู่แล้ว “ที่ให้พวกเจ้าหนีไปก็เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ขนาดเขาไม่มีกายหยาบกับพลังอิทธิฤทธิ์แล้วยังรอดมือประมุขชิงกับประมุขพุทธะได้ แค่นี้ก็เห็นถึงความคิดชั่วร้ายแล้ว วันนี้เขาไม่เหมือนในอดีตแล้วก็จริง แต่พลังอิทธิฤทธิ์ไม่มีแล้ว กายเนื้อก็ยากจะหวนกลับคืนมา ถ้าสู้ตัวต่อตัวกับข้า เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าเลย ถ้าพูดถึงอำนาจและกำลังพล เขามีอะไรบ้างล่ะ? ตอนนี้ใต้หล้าไม่ใช่ของเขาอีกแล้ว แนวโน้มใจคนก็ไม่มีใครหวังให้เขากลับมาเป็นใหญ่ ตำหนักสวรรค์ก็ออกนโยบายป้องกันอย่างเข้มงวด แม้แต่เข้าใกล้ข้าเขายังทำได้ยากเลย เขาไม่กล้าโผล่หน้ามาแล้ว ไม่เป็นโล้เป็นพายแล้ว วิธีการชั่วร้ายเจ้าเล่ห์ของเขาใช้ไม่ได้ผลกับข้าหรอก แต่ข้ากังวลว่าเขาจะหาช่องโหว่มาถึงตัวพวกเจ้า”
อวิ๋นจือชิวเงียบอีกครั้ง ต้องยอมรับว่าที่เหมียวอี้พูดมีเหตุผล ด้วยศักยภาพของพระปีศาจในตอนนี้ เกรงว่าคงไม่กล้าปะทะกับเหมียวอี้ซึ่งๆ หน้า แต่ถ้าอยากได้ของจากมือเหมียวอี้ ก็ต้องคิดทำทุกวิถีทางเพื่อลงมือกับคนข้างกายเหมียวอี้แน่นอน แล้วคนในใต้หล้าก็รู้ทั้งนั้นว่าเหมียวอี้ยอมทำศึกเลือดเพื่ออวิ๋นจือชิว นางต้องเป็นเป้าหมายแรกที่พระปีศาจจะลงมือด้วยแน่นอน
เมื่อชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย อวิ๋นจือชิวก็เป็นผู้หญิงที่อ่านสถานการณ์เป็นคนหนึ่ง หลังจากเงียบไปก็ยอมแล้ว “ข้างกายเจ้าต้องมีคนคอยดูแลสิ ให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์อยู่ปรนนิบัติเจ้าเถอะ”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก มีเฟยหงก็พอแล้ว ถ้าไม่กลัวทางหน่วยตรวจการซ้ายสงสัย ทางที่ดีก็พาเฟยหงไปด้วย”
ในเวลาแบบนี้ อวิ๋นจือชิวทำตามการตัดสินใจของเหมียวอี้ นางไปคุยรายละเอียดกับเฟยหง เตือนเฟยหงให้ระวังตัวและต้องดูแลเหมียวอี้ให้ดี
สำหรับสิ่งนี้ เฟยหงย่อมไม่ปฏิเสธ อย่างน้อยช่วงเวลานี้ผู้ชายคนนี้ก็เป็นของนางคนเดียว ยามปกติต่อให้อยากจะดูแลเหมียวอี้ แต่โอกาสที่จะถึงคราวของนางก็มีไม่มาก ถึงอย่างไรภรรยาเอกก็อยู่ตรงนั้น ด้วยภูมิหลังของตัวเองทำให้ไม่มีความมั่นใจที่จะแย่งชิงความรัก
หลังจากนั้นไม่กี่วัน พิภพเล็ก แดนอู๋เลี่ยง อวิ๋นจือชิว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ หลินผิงผิง จีเหม่ยลี่ สองพี่น้องหวนหลาง อวี้หนูเจียว พวกฝ่าอินก็เหาะลงจากฟ้าพร้อมกัน
“ฮูหยิน!” ฉินเวยเวยที่ได้รับข่าวล่วงหน้านำหงเฉินและเยว่เหยามารอต้อนรับตรงประตูใหญ่ด้วยกัน
สายตาอวิ๋นจือชิวไปหยุดอยู่บนตัวเยว่เหยา ในใจนางรู้สึกปลง นี่มันเรื่องอะไรกัน!
นางนึกเสียใจทีหลังนิดหน่อยที่ตอนแรกรับปากให้เหมียวอี้แต่งงานกับเยว่เหยา ตัวเองก็เลอะเลือนเช่นกัน เพราะพบว่าเหมียวอี้ผ่านด่านในใจตัวเองไม่ได้ ไม่ได้ปฏิบัติต่อเยว่เหยาเหมือนผู้หญิงเลย ตามที่นางรู้มา จนป่านนี้เหมียวอี้ก็ยังไม่เคยแตะต้องเยว่เหยา เวรกรรมแท้ๆ!
และในหลายปีมานี้ นิสัยกล้าท้าชนของเยว่เหยาก็ถูกกาลเวลาขัดเกลาไปแล้วไม่น้อย ลักษณะท่าทางอ่อนโยนสุขุม ไม่ได้รู้สึกรำคาญอวิ๋นจือชิวเหมือนในปีแรกๆ อีก บางทีอาจจะยอมรับชะตากรรมแล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่ สงบจิตสงบใจฝึกตน
อวิ๋นจือชิวรู้ดี ว่าสำหรับคนที่ดาบต้องเติมเลือดอย่างเหมียวอี้ การให้ชีวิตแบบนี้กับเยว่เหยา ถือว่าเป็นชีวิตที่ดีแล้ว มีอันตราย สงบสุข แต่สำหรับอวิ๋นจือชิวแล้ว ก็ต้องด่าว่าเหมียวอี้ไม่เข้าใจผู้หญิง เกรงว่านี่อาจไม่ใช่ชีวิตที่เยว่เหยาต้องการก็ได้
“พวกเราพี่น้องไม่ได้มารวมตัวกันบ่อยๆ ไม่ต้องมากพิธี” อวิ๋นจือชิวก้าวขึ้นมาประคองฉินเวยเวย แล้วก็บอกใบ้ให้ผู้หญิงคนอื่นยืนตัวตรง
ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเข้ามาข้างใน เตรียมงานเลี้ยงต้อนรับไว้เรียบร้อยแล้ว
เมื่อมาถึงถิ่นของบ้านตัวเอง ก็รู้สึกปลอดภัยไร้กังวล อวิ๋นจือชิวประกาศในงานเลี้ยง ว่าช่วงนี้จะไม่ได้กลับไปพิภพใหญ่อีกสักระยะ อยู่ที่พิภพเล็กทุกคนอยากจะไปไหนก็ได้ทั้งนั้น ถือโอกาสให้ทุกคนได้ผ่อนคลายสักหน่อย
เพียงแต่วันต่อๆ มา อวิ๋นจือชิวกลับไปพูดคุยเปิดใจกับพวกนางทีคน นางเองก็อยากจะถือโอกาสนี้ทำความเข้าใจความคิดของผู้หญิงแต่ละคนสักหน่อย นางพยายามทำให้ในบ้านสงบมั่นคง…
ข่าวที่พระปีศาจหนานโปถือกำเนิดอีกครั้งกระจายไปทั้งใต้หล้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ แตกตื่นกันทั้งใต้หล้า คนรุนหลังส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินชื่อบุคคลนี้มาก่อนด้วยซ้ำ ข่าวต่างๆ ที่ร่ำลือกันครั้งนี้ทำให้ทุกคนได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่แล้ว ที่แท้ในอดีตใต้หล้าก็เคยมีตัวละครที่ร้ายกาจขนาดนี้อยู่ด้วย
นอกประตูดวงดาว มีคนจำนวนมากมาด้วยกัน กำลังพลตำหนักสวรรค์กลุ่มหนึ่งโบกมือสกัดไว้ “หยุดก่อน! แสดงสัญลักษณ์พลังตรงแท่นจิต!”
หลายคนที่เหาะมาปิดบังไว้ ตอนนี้จำเป็นต้องเผยออกมา เผยสัญลักษณ์พลังตรงหว่างคิ้วแล้ว
หลังจากยืนยันแล้ว กำลังพลตำหนักสวรรค์ที่เฝ้าประตูดวงดาวถึงได้ปล่อยไป
ไม่ใช่แค่ที่นี่ ประตูดวงดาวในอาณาเขตทั้งหมดของตำหนักสวรรค์ล้วนส่งคนมาประจำการและสอบสวน คนที่เดินทางมาก็รู้เช่นกันว่าเพราะอะไร
ตรงประตูตลาดสวรรค์ มีคนสัญจรไปมา คนที่เข้าเมืองก็ต้องแสดงสัญลักษณ์พลังตรงหว่างคิ้วก่อนถึงจะเข้าไปได้
“ท่านลูกค้า ขออภัยด้วย กรุณาเผยสัญลักษณ์พลังตรงแท่นจิตสักหน่อย”
คนงานตรงประตูร้านค้าร้านหนึ่งกุมหมัดขออภัยลูกค้าที่จะเข้าร้าน
ดาวสยบใต้ นอกประตูใหญ่สำนักลมปราณ ศิษย์ที่เฝ้าประตูใหญ่ยื่นมือขวางเป่าเหลียน “ศิษย์อา รบกวนท่านเผยสัญลักษณ์พลังตรงแท่นจิตสักหน่อยเถอะ”
เป่าเหลียนถลึงตาใส่ “ข้าจะเป็นตัวปลอมได้เชียวเหรอ? หลีกไป!”
ศิษย์ที่เฝ้าประตูยิ้มเจื่อนพลางโค้งกายคารวะ “ศิษย์อา เจ้าสำนักถ่ายทอดคำสั่งแล้ว ใครฝ่าฝืนมีโทษหนัก พวกเรารับผิดชอบไม่ไหวหรอก ท่านยืดหยุนให้พวกเราหน่อยเถอะ”
ในศาลาที่อยู่ไม่ไกล แม่ทัพคนหนึ่งที่มาจากแดนรัตติกาลเดินออกมา แล้วตะโกนบอกว่า “แม่นางเป่าเหลียน นี่เป็นคำสั่งของผู้ตรวจการใหญ่ โปรดให้ความร่วมมือสักหน่อย”
พอได้ยินคำว่า ‘ผู้ตรวจการใหญ่’ เป่าเหลียนก็มีน้ำโหทันที นางเผยสัญลักษณ์พลังบงกชรุ้งตรงหว่างคิ้ว แล้วตะคอกถามอย่างหงุดหงิด “ข้าเข้าไปได้หรือยัง?”
“ศิษย์อา เชิญขอรับ!” ศิษย์ที่เฝ้าประตูหลีกทางให้อย่างประหม่า
พอเข้าประตูใหญ่มาแล้ว เป่าเหลียนก็ตรงไปที่ตำหนักซื่อตรง ไปหาเจ้าสำนักอวี้หลิงเจินเหริน แล้วบ่นอย่างเดือดดาล “ท่านปู่ หนิวโหย่วเต๋อคิดจะทำอะไร แม้แต่ทหารก็ส่งมาที่สำนักลมปราณของเราแล้ว เขามายุ่งมากเกินไปหรือเปล่า?”
เจ้าสำนักอวี้หลิถอนหายใจ “เรื่องพระปีศาจหนานโปก็ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ ป้องกันเข้มงวดหน่อยก็ไม่ผิดอะไร ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ได้รบกวนอะไรด้วย ไม่ได้รบกวนชีวิตประจำวันของสำนักลมปราณ ก็แค่ตรวจสอบมากขึ้นอีกชั้นก็เท่านั้นเอง”
เป่าเหลียนแสยะยิ้ม “สำนักลมปราณของเราจะตรวจสอบเองอยู่แล้ว ไม่ต้องให้เขามาแทรกแซงหรอก ให้เขาถอนกำลังกลับไป”
เจ้าสำนักอวี้หลิงมองนางด้วยสายตาแปลกๆ เอามือลูบเคราเงียบๆ พักหนึ่ง แล้วถามหยั่งเชิงว่ “เรื่องในปีนั้น เจ้ายังเคืองเขาอยู่เหรอ?”
พอเป่าเหลียนได้ยินคำพูดพวกนี้ก็อึดอัดนิดหน่อย “ข้าไม่เข้าใจว่าท่านพูดอะไร”
เจ้าสำนักอวี้หลิส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “เรื่องบางเรื่องข้าก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากกับเจ้ายังไง ที่จริงอวิ๋นจือชิว ฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อเคยมาหาข้าเพื่อคุยเรื่องเจ้า”
เป่าเหลียนทำสีหน้าระแวงทันที “ผู้หญิงคนนั้นมาคุยเรื่องข้าเหรอ? ผู้หญิงคนนั้นคิดจะทำอะไร? ไม่ถูกชะตากับข้าหรือไง?”
“เฮ้อ! เจ้าอย่าเคืองมากขนาดนั้นเลย เจ้าเข้าใจผิดแล้ว คิดมากไปแล้วด้วย” เจ้าสำนักอวี้หลิงส่ายหน้า “หนิวฮูหยินมาขออภัย นางบอกว่าผู้สำเร็จราชการหนิวเป็นคนที่ทำอะไรเด็ดขาดรวดเร็วมาตลอด มักไม่สนใจรายละเอียด นางบอกเรื่องเหยียนเกาน่ะ เป็นผู้สำเร็จราชการหนิวที่พิจารณาไม่ถี่ถ้วนเอง ทำเอาข้างนอกมีข่าวลือไปทั่ว ต่างก็นึกว่าเจ้ากับหนิวโหย่วเต๋อมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน ทำเสียงของเจ้าเสียหาย ทำลายชีวิตการแต่งงานของเจ้า หนิวฮูหยินอยากให้ข้ามาถามความเห็นเจ้า ถ้าเจ้าไม่ถือสาที่จะเป็นอนุภรรยา นางก็สามารถตัดสินใจเรื่องนี้แทนได้ สามารถเลือกฤกษ์งามยามดีให้หนิวโหย่วเต๋อแต่งงานรับเจ้าเข้าบ้านอย่างมีหน้ามีตา รับรองว่าไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างขาดความยุติธรรมแน่ นางหนู พูดเปิดอกถึงขั้นนี้แล้ว ปู่อยากจะถามความเห็นของเจ้า ว่าเจ้ายินดีจะแต่งงานหรือเปล่า? ถ้าเจ้ายินดี ทางบ้านก็ไม่ขัด เดี๋ยวข้าจะได้ไปคุยเรื่องนี้กับหนิวฮูหยิน”
พอได้ยินแบบนี้ เป่าเหลียนก็หัวใจเต้นรัว รู้สึกกลัวนิดหน่อย หน้าแดงเหมือนก้นลิงในชั่วพริบตาเดียว แต่ยังปากแข็ง “ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้บริสุทธิ์ใจแน่”
เจ้าสำนักอวี้หลิงพยักหน้า “ถ้าดึงดันจะพูดอย่างนี้ ก็ไม่ได้บริสุทธิ์ใจจริงๆ หนิวฮูหยินพูดจาแฝงนัยยะ นางถือโอกาสเลยเรื่องสำนักลมปราณด้วย นางบอกว่าตามหลักแล้ว ถ้าคนของสำนักลมปราณบรรลุถึงระดับบงกชรุ้ง ก็จะต้องถูกตำหนักสวรรค์เรียกไปเป็นขุนนาง ฟังจากเจตนาของนางแล้ว หลังจากหนิวโหย่วเต๋อแต่งงานกับเจ้า คงจะหวังให้ข้าถอยออกจากตำแหน่ง คงจะหวังให้ข้ายกตำแหน่งเจ้าสำนักให้เจ้า ถึงตอนนั้นผู้สำเร็จราชการหนิวจะได้ช่วยสนับสนุนให้สำนักลมปราณเป็นสำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้าได้สะดวก”
เป่าเหลียนก้มหน้าพึมพำ “สิ่งที่นางทำต่างกับเกาเหยียนนั่นตรงไหน”
เจ้าสำนักอวี้หลิงบอกว่า “ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่จุดที่ต่างก็มีเหมือนกัน หนิวโหย่วเต๋อกับตระกูลก่วงนั้นต่างกัน อย่างน้อยเจ้าก็ชอบเขาไม่ใช่หรือ?”
เป่าเหลียนเงยหน้าทันที กล่าวด้วยสายตาหวาดกลัวว่า “ท่านปู่พูดเหลวไหลอะไรกัน ข้าไม่ได้ชอบเขาเสียหน่อย”
เจ้าสำนักอวี้หลิงพูดหยอก “นางหนู เราเองก็อายุไม่น้อยแล้ว กลายเป็นแม่นางคนหนึ่งแล้ว เจ้าตอบมาคำเดียว จะแต่งหรือไม่แต่ง?”
“ไม่แต่ง!” เป่าเหลียนพูดทิ้งท้ายแล้วลนลานหนีไป เขินอายจนหูแดงหมดแล้ว
“เหอะๆ!” เจ้าสำนักอวี้หลิงหัวเราะเบาๆ พลางส่ายหน้า ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เขาจะยังไม่รู้จักความคิดของหลานสาวเชียวหรือ แค่ยอมเสียหน้าไม่ได้ก็เท่านั้นเอง เมื่อก่อนฝั่งนี้เอ่ยเรื่องแต่งงาน แต่แต่หนิวโหย่วเต๋อไม่ตอบตกลง ตอนนี้เป็นฝั่งหนิวโหย่วเต๋อที่มาหาเองถึงที่แล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรยาก สามารถทำตามความปรารถนาของหลานสาวได้ สำนักลมปราณก็ต้องการการปกป้องจากหนิวโหย่วเต๋อเช่นกัน
เพียงแต่เรื่องนี้เขายังต้องพิจารณาให้ดีเสียหน่อย ต้องขอความเห็นที่เป็นเอกฉันท์จากคนอื่นในสำนัก ถึงจะตัดสินใจได้ เขารู้ว่าอวิ๋นจือชิวมาที่นี่บ่อยๆ ก็คงมองออกเช่นกันว่าเป่าเหลียนชอบหนิวโหย่วเต๋อ อีกทั้งอวิ๋นจือชิวก็เป็นฝ่ายเอ่ยเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เห็นได้ชัดว่าอยากได้สินสอดเดิมของเจ้าสาวอย่าง ‘สำนักลมปราณ’
ถ้าไม่สามารถขอความเห็นที่เป็นเอกฉันท์เพื่อให้เป่าเหลียนเป็นเจ้าสำนัก เมื่อเป่าเหลียนแต่งงานออกไปเมื่อไหร่ ก็เกรงว่าสำนักลมปราณจะต้องเผชิญวิกฤต หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนแข็งกร้าวขนาดนั้น จะต้องสนับสนุนให้เป่าเหลียนขึ้นตำแหน่งแน่นอน ถึงตอนนั้นถ้าสำนักลมปราณขัดขืน เกรงว่าอาจจะต้องมีล้างเลือดกันก็ได้ ดูจากลักษณะการทำงานที่ผ่านมาของหนิวโหย่วเต๋อ ถ้าไปยั่วโมโหแล้ว เขาก็จะทำเรื่องแบบนี้แน่นอน สำนักลมปราณจะต้านทัพใหญ่ในมือหนิวโหย่วเต๋อได้อย่างไร
อวี้หลิงไม่อยากเห็นสถานการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น เขาไม่สามารถนำหายนะเลือดมาสู่สำนักลมปราณเพียงเพื่อสนับสนุนให้หลานสาวขึ้นสู่ตำแหน่ง ทำอย่างนั้นต่อให้เป่าเหลียนจะได้ขึ้นสู่ตำแหน่งเจ้าสำนัก แต่ก็ได้มาอย่างไม่ชอบธรรม ดังนั้นเขาจึงยังไม่ตอบตกลงอวิ๋นจือชิว…
ไม่เพียงแต่สำนักลมปราณเท่านั้น ทุกสำนักในใต้หล้าล้วนต้องตรวจสอบเอง คนที่เข้าออกล้วนต้องพิสูจน์สัญลักษณ์พลัง ศิษย์ในสำนักล้วนต้องพิสูจน์ทุกวัน แต่ตำหนักสวรรค์ก็ยังส่งกำลังพลตรวจตราไปคุมตามสำนักต่างๆ ด้วย
ขั้นตอนการพิสูจน์ยืนยันแบบนี้ก็ถ่ายทอดไปยังทัพใหญ่สายต่างๆ เช่นั้น ตั้งแต่ข้างบนยันข้างล่างล้วนต้องปฏิบัติตาม ทัพใหญ่แดนรัตติกาลของเหมียวอี้ปฏิบัติตามกฏอย่างเคร่งครัด ทั้งยังเพิ่มระดับด้วย แม้แต่เหมียวอี้เองเวลาเข้าออกก็ล้วนเป็นฝ่ายให้ความร่วมมือก่อน
ประตูดวงดาวแต่ละแห่งล้วนมีกำลังพลตำหนักสวรรค์ตรวจสอบสัญลักษณ์พลังของผู้ที่สัญจรไปมา การเข้าออกตลาดสวรรค์ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน ร้านค้าเล็กใหญ่ล้วนปฏิบัติตาม รวมทั้งตลาดมืดแต่ละแห่งด้วย ตระกูลเซี่ยโห้วให้ความร่วมมือเต็มที่
ครั้งนี้อำนาจใหญ่ๆ แต่ละฝ่ายในใต้หล้าล้วนวางความขัดแย้งเอาไว้ก่อน พร้อมใจกันทำเรื่องนี้ ประสิทธิภาพดีจนน่าทึ่ง ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือไม่ให้โอกาสพระปีศาจหนานโปได้หวนกลับคืนมาอีก
…………………………