พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1991 ไร้ลักษณ์
อีกฝ่ายเปิดเผยหมดเปลือกขนาดนี้ ไม่ปิดบังเลยสักนิด ความมั่นใจที่ออกมาจากคำพูดเหล่านั้นเหมือนจะไม่ยอมให้นางปฏิเสธ สิ่งนี้ทำให้อิ๋งเยว่อึดอัดมาก รู้สึกว่าตัวเองเป็นแพะที่รอโดนเชือด
แต่ก็ทำให้อิ๋งเยว่เชื่อและเข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมาหาตน ที่แท้สำหรับอีกฝ่าย ตนก็ยังมีมูลค่าหลงเหลือให้ใช้ประโยชน์
อิ๋งเยว่กัดฟัน “ตอนนี้ทุกที่ล้วนกำลังตามหาเจ้า เจ้าปกป้องตัวเองยังลำบากเลย” นางกำลังสื่อว่า เจ้าอะไรเอาอะไรมาช่วยข้า
พระปีศาจหนานโปหันตัวมา แล้วกล่าวอย่างไม่เชื่องช้าและไม่รีบร้อน “ข้าสร้างเซี่ยโห้วท่าคนที่หนึ่งขึ้นมาได้ ก็สร้างเซี่ยโห้วท่าคนที่สองขึ้นมาได้เช่นกัน ขอเพียงเจ้าเต็มใจ”
ข้าจะกลายเป็นคนอย่างเซี่ยโห้วท่าเหรอ? อิ๋งเยว่ตาเป็นประกาย ใจสั่นเล็กน้อย นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้หญิงคนหนึ่งอย่างนางจะกลายเป็นคนแบบเซี่ยโห้วท่าได้ แต่เมื่อนึกถึงตัวตนของอีกฝ่าย ก็เหมือนจะโน้มน้าวได้นิดหน่อย กระบี่ในมือวางลงช้าๆ แต่ปากก็ยังไม่ยอม ลองดิ้นรนอยู่สักหน่อย “แล้วถ้าข้าไม่ตอบตกลงล่ะ?”
พระปีศาจหนานโปหันตัวมา แล้วชี้ที่หน้าอกตัวเอง “ถ้าไม่ตอบตกลงก็จะเหมือนเขา ยังไงเจ้าก็ยังจะทำอยู่ดี”
อิ๋งเยว่รีบวางกระบี่จ่อที่คอตัวเอง “คอยดูว่าเจ้าจะควบคุมคนตายได้ยังไง!”
พระปีศาจยิ้มเรียบๆ พลางส่ายหน้า “ตายเหรอ? สงสัยเจ้าจะยังไม่รู้จักข้าสินะ ช่างเถอะ ข้าไม่ขู่บังคับเจ้าหรอก…ตายแล้วทุกอย่างก็จบ แต่ความแค้นของตระกูลอิ๋งล่ะ ใครจะมาสะสางให้? คิดไปคิดมา ผู้หญิงของตระกูลอิ๋งที่อยู่แต่ในบ้านอย่างเจ้า เป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับเคล็ดวิชาฉบับสมบูรณ์จากอิ๋งจิ่วกวง ถ้าเจ้ายินดีคารวะข้าเป็นอาจารย์ ข้าก็จะถ่ายทอดเคล็ดวิชาพิเศษส่วนหนึ่งให้เจ้า ดีกว่าเคล็ดวิชาที่ประมุขชิงกับประมุขพุทธะฝึก เจ้าอยากได้มั้ยล่ะ?”
อิ๋งเยว่กัดฟัน จะบอกว่าไม่หวั่นไหวก็โกหกแล้ว แต่นางก็ได้ฟังตำนานเกี่ยวกับท่านนี้มาบ้าง คนที่ร่วมงานกับท่านนี้ไม่ต่างอะไรกับเจรจากับเสือเพื่อเอาหนังเสือ แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือ อาศัยความสามารถของนางคนเดียวก็ไม่สามารถล้างแค้นได้เลย ถึงขนาดว่าทั้งชีวิตนี้ไม่กล้าโผล่หน้าไปเจอสังคมอีกแล้ว
“ตระกูลอิ๋งมีคนบางส่วนหลบหนีการสังหารจากตำหนักสวรรค์ได้จริงๆ ข้าเองก็มีอิทธิพลกับพวกเขานิดหน่อย แต่ไม่ได้มากเท่ารุ่นผู้อาวุโสแน่นอน ข้าถึงขั้นสงสัยว่าพ่อแม่ข้ารวมทั้งคนตระกูลอิ๋งที่หนีไปตายด้วยน้ำมือพวกเขาแล้ว ต่อให้ข้ายินดีติดต่อพวกเขาไป แต่พวกเขาก็อาจไม่เชื่อฟังข้า ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่มาแอบอยู่ที่นี่โดยไม่กล้าไปพบคนหรอก” อิ๋งเยว่พูดแบบนี้เท่ากับตอบตกลงแล้ว กระบี่ที่พาดบนคอวางลงช้าๆ
พระปีศาจพยกหน้า “คนในครอบครัวเจ้าอาจจะตายแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไม่มาหาแค่เด็กสาวจากตระกูลอิ๋งอย่างเจ้าเหรอก”
อิ๋งเยว่กล่าวอย่างคับแค้น “ในเมื่อผู้อาวุโสรู้แล้ว ก็ควรจะเข้าใจ ว่าแม้กระทั่งคนในครอบครัวข้าเขายังกล้าฆ่า จะเชื่อฟังข้าได้ยังไง? ข้าจะไปอยู่กับศัตรูที่สังหารพ่อแม่ข้าได้ยังไง!”
พระปีศาจส่ายหน้าถอนหายใจ “นางเด็กโง่ ถ้าไม่มีศักยภาพที่จะล้างแค้น ต่อให้เคียดแค้นแล้วยังไงต่อล่ะ? จดบันทึกความแค้นเอาไว้ก่อนก็ได้ ฝังมันไว้ลึกๆ ก่อนชั่วคราว แสร้งทำเป็นไม่รู้ รอจนเจ้ามีศักยภาพมากพอที่จะล้างแค้นแล้ว ความแค้นทุกอย่างก็จะถูกแก้ไขด้วยคมดาบ ใช้ประโยชน์พวกเขาเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ให้ตัวเจ้าเอง แล้วค่อยสังหารศัตรูด้วยมือตัวเอง แบบนั้นไม่สะใจกว่าหรือ? มัวระทมทุกข์ไปก็ไร้ประโยชน์ มิหนำซ้ำพวกเขาสังหารคนในครอบครัวเจ้าจริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ขอเพียงเจ้ายินดีคารวะข้าเป็นอาจารย์ ข้าก็จะช่วยสืบให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่เจ้ากันแน่ ใครกันที่ฆ่าพ่อแม่เจ้า ข้าล้วนบีบความจริงออกมาได้ ไม่ให้ขาดตกสักคำ! เจ้าจะใช้ในชีวิตอยู่ในความอาฆาตพยาบาทแบบถอนตัวได้ยากตลอดไป หรือว่าจะใช้การลงมือปฏิบัติจริงมาสะสางความแค้น? ข้าว่าเจ้าคงตัดสินใจได้ไม่ยากหรอกนะ!”
อิ๋งเยว่ก้มหน้า แล้วก็เงยหน้าอีกครั้ง “หลายปีมานี้ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอาหลี่ดูแลข้า ข้าคงตกอยู่ในมือตำหนักสวรรค์ไปนานแล้ว ผู้อาวุโสได้โปรดปล่อยเขาไป!”
พระปีศาจพยักหน้า “กายหยาบของเขาไม่เหมาะกับข้า ข้าก็แค่ยืมใช้งานยชั่วคราว ข้ารับปากว่าข้าจะไม่ทำร้ายเขา”
“ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าท่านจะไม่กลับคำ?” อิ๋งเยว่ถาม
พระปีศาจเหล่ตามองอย่างเย็นเยียบทันที “นางหนู คำสัญญาของอาตมามีค่ายิ่งกว่าร่างกายนี้!”
แกร๊ง! กระบี่ตกลงพื้น อิ๋งเยว่คุกเข่า แล้วกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก “ท่านอาจารย์!”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางไม่มีทางเลือก ถ้ามีทางเลือกนางคงไม่ตกต่ำถึงขั้นนี้ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเหมือนจะเป็นเพียงความหวังเดียว ที่ก่อนหน้านี้ปากแข็งก็เป็นแค่ความดัดจริตเท่านั้น
พระปีศาจมองต่ำลงมาที่นาง “อาตมาไม่เอ่ยคำสัญญากับใครง่ายๆ ถ้าพูดแล้วก็ต้องทำให้ได้ ในเมื่อเจ้าคารวะข้าเป็นอาจารย์แล้ว ข้าบอกแล้วว่าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาฝึกตนที่เหนือกว่าประมุขชิงกับประมุขพุทธะให้เจ้า ก็ย่อมต้องทำตามสัญญา ประมุขพุทธะฝึกมหาเวทอเวจี ประมุขชิงฝึกเคล็ดวิชาฟ้าครามทั่วหล้า หลายปีมานี้ข้าเบื่อมาก ใช้ความคิดไปมากมายเพื่อหลอมรวมสองวิชานี้ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ชื่อว่า ‘ไร้ลักษณ์’ เจ้ายินดีจะรับไว้หรือเปล่า?”
ไร้ลักษณ์? อิ๋งเยว่อึ้งไปชั่วขณะ เรียกได้ว่าทั้งตกใจทั้งดีใจ ไม่รู้ว่าจริงหรือโกหก ไม่รู้ว่าเป็นเคล็ดวิชาที่ร้ายกาจเหมือนที่อีกฝ่ายบอกหรือเปล่า นางเก็บกระบี่ เอาศีรษะโขกพื้น แล้วกล่าวเสียงสั่นว่า “ศิษย์ยินดีรับไว้!” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวหรือว่าดีใจ
พระปีศาจค่อยๆ ก้าวมาข้างหน้า ยืนอยู่ตรงหน้านาง แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “เงยหน้าขึ้นมา!”
อิ๋งเยว่เงยหน้ามอง ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร
พระปีศาจบอกอีกว่า “หลับตา ตั้งสมาธิ!”
อิ๋งเยว่ไม่เข้าใจ กังวลว่าจะโดนทำร้าย แต่ไม่นานก็เปลี่ยนความคิด ถ้าอีกฝ่ายต้องการจะฆ่าตน ก็เหมือนไม่จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนี้ จึงแข็งใจเงยหน้าหลับตา พยายามทำจิตใจให้มั่นคง
เมื่อเห็นลูกตานางกลอกไปมา ก็รู้ว่านางสงบอารมณ์ได้ยาก พระปีศาจจึงประนมมือสองข้าง ท่องมนต์เบาๆ “มีมามีมาฮง!”
อิ๋งเยว่นางอยากจะลืมตาดูว่าเขากำลังทำอะไร แต่ถูกความง่วงนอนเล่นงาน ไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้เลย ในหัวราวกับมีคลื่นโหมซัด มีคลื่นยักษ์ซัดกระทบอยู่พักหนึ่ง เหมือนซัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดของนางไปในชั่วพริบตาเดียว จิตใจสงบมั่นคงแล้ว
พระปีศาจหลับตาลง ริมฝีปากขยับพึมพำอย่างรวดเร็ว เหมือนกำลังแอบท่องอะไรสักอย่างที่สอดคล้องกับความเคลื่อนไหว เขายื่นนิ้วนิ้วหนึ่งขึ้นมาช้าๆ ปลายนิ้วปรากฏแสงสีทอง แล้วแตะไปตรงหว่างคิ้วของอิ๋งเยว่ แสงสีทองซึมเข้าไปในแท่นจิตของนางแล้ว
อิ๋งเยว่เห็นเพียงในสมองที่ว่างเปล่ามีมังกรทองตัวหนึ่งบินออกมา บินร่อนบนท้องฟ้า ไม่นานก็บินมาทที่นาง บินวนรอบกายนางอย่างรวดเร็ว ขณะที่นางกำลังตาลาย จู่ๆ ก็พบว่ามังกรทองกำลังสร้างตัวอักษรที่ละตัวด้วย ตัวอักษรที่แวบขึ้นมาประทับลงในหัวใจนางแล้ว
หลังจากมังกรทองสร้างอักษรจบไปรอบหนึ่ง มันก็เริ่มใหม่อีกครั้ง ทำซ้ำไปซ้ำมา หมุนเวียนไม่หยุด วนซ้ำไปซ้ำมา
จนกระทั่งตัวอักษรเหล่านั้นฝังลึกในสมองนาง นางรู้สึกว่าท่องได้คล่องแล้ว จู่ๆ มังกรทองก็ระเบิดหายไป กลายเป็นผงผลึกสีทองสลายหายไป
การระเบิดนี้ทำให้นางตัวสั่น ตักใจจนเหงื่อท่วมตัว นางพลันลืมตาขึ้น ในที่สุดก็ได้สติกลับมาแล้ว
พอรำลึกถึงตัวอักษรในหัวอีกครั้ง นางก็พบว่าอักษรพวกนั้นก็คือ ‘ไร้ลักษณ์’ เหมือนจะเป็นเคล็ดวิชาที่พระปีศาจบอก
นางรีบหันมองไปรอบๆ แต่กลับพบว่าไม่เห็นเงาร่างชาวประมงเฒ่าแล้ว ฟ้าก็เหมือนใกล้มืด พอลองนับนิ้วคำนวณเวลา ก็พบว่าตัวเองนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนี้ไปสองชั่วยามโดยไม่รู้ตัว
นางรีบลุกขึ้นมา แล้วมองไปทั่วห้อง บังเอิญมองลอดหน้าต่างไปเห็นเงาร่างของชาวประมงเฒ่ายืนตรงอยู่ในป่าไผ่ มีใบไผ่ปลิวผ่านร่างของเขาเป็นครั้งคราว
อิ๋งเยว่รีบเดินออกจากประตู เดินไปทางเงาหลังของชาวประมงเฒ่า แล้วมองเงาหลังนั้นด้วยแววตาสับสน
นางรู้สึกตกตะลึงมาก ตกตะลึงถึงขั้นตอนการถ่ายทอดเมื่อครู่นี้ ไม่น่าเชื่อว่าทำแบบนี้ก็สามารถ่ายทอดวิชาให้ตนได้ เคล็ดวิชาที่อัศจรรย์ขนาดนี้ นางไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำ ตอนนี้เพิ่งได้รู้ถึงความไม่ธรรมดาของพระปีศาจ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้พระปีศาจไม่ได้อยู่ในช่วงสูงสุดของชีวิต แต่พอได้ลงมือแล้วกลับยังทำให้คนตะลึง แค่คิดก็รู้แล้วว่าในปีนั้นเป็นอย่างไร เรียกได้ว่ามองเห็นความหวังที่จะล้างแค้นแล้วจริงๆ
“ท่านอาจารย์!”
พอเดินมาถึงหลังพระปีศาจ อิ๋งเยว่เรียกอย่างเคารพเชื่อฟัง
“ไม่ได้ยินใครเรียกแบบนี้มานานมากแล้ว” พระปีศาจหนานโปยื่นมือรับใบไม้ที่ปลิวลงมา ทำได้อย่างนุ่มนวลเป็นธรรมชาติ ราวกับว่ามันปลิวตกใส่มือของเขาพอดี “ข้าเคยรับลูกศิษย์หกคน”
ลูกศิษย์หกคน? อิ๋งเยว่งงไปชั่วครู่ “ที่แท้ศิษย์ก็ยังมีศิษย์พี่อีกหกคน”
พระปีศาจชะงักไปชั่วครู่ แล้วจู่ๆ ยิ้ม “สงสัยคงมีคนไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องในอดีตของอาตมามากนัก ตอนหลังลูกศิษย์หกคนของข้าถูกพวกเจ้าเรียกว่าประมุขปราชญ์หกลัทธิ!”
อิ๋งเยว่ตะลึงงัน ไม่น่าเชื่อว่าประมุขปราชญ์หกลัทธิจะเป็นศิษย์ของพระปีศาจหนานโป? เมื่อก่อนนางไม่เคยได้ยินคนเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยจริงๆ
พระปีศาจหนานโปถามว่า “เจ้าเคยได้ยินเรื่องของข้ามายังไงบ้าง? ได้ยินมายังไงก็พูดมาอย่างนั้น พูดความจริง อย่าเอาคำโกหกมาปิดบังข้า”
อิ๋งเยว่ลังเลนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็แข็งใจตอบว่า “บอกว่าอาจารย์สมมติตัวเองเป็นเทพ มองสรรพสิ่งเป็นเหมือนมด ฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจ…” ไม่กล้าพูดมากกว่านี้แล้ว
“คงอย่างนั้นกระมัง!” พระปีศาจหนานโปถอนหายใจ สายตาดูเลื่อนลอย เหมือนกำลังอธิบายให้นางฟัง “พื้นเพกำเนิดของข้าขรุขระสุดๆ พ่อเป็นนักพรตมนุษย์ แม่เป็นนักพรตปีศาจ พรสวรรค์กรฝึกตนของข้าค่อนข้างดีมาตั้งแต่เด็ก ฝึกควบทั้งวิชามนุษย์และวิชาปีศาจ…ข้าในยุคนั้นไม่เหมือนกับตอนนี้ ตอนนั้นคือยุคที่เรียกว่าธรรมะและอธรรมตั้งตนเป็นศัตรูกัน ห่างไกลกับคำว่าธรรมะและอธรรมในตอนนี้มาก ในตอนนั้นธรรมะและอธรรมเป็นปฏิปักษ์ต่อกันทุกด้าน นักพรตในใต้หล้าล้วนเข้ามาเกี่ยวข้อง เข่นฆ่ากันไม่หยุด ไม่ใช่เจ้าตายก็เป็นเขาที่รอด เพียงแต่นั่นคือยุคที่เคล็ดวิชาฝึกตนเฟื่องฟูเหมือนร้อยบุปผาบานสะพรั่งประชันกัน ค่อนข้างให้ความสำคัญกับศักยภาพส่วนบุคคล ไม่ได้อาศัยกำลังอำนาจเหมือนตอนนี้ การที่พ่อกับแม่ข้าอยู่ด้วยกัน ไม่เป็นที่ยอมรับใน ฝ่ายธรรมะ และไม่เป็นที่ยอมรับในฝ่ายอธรรมด้วย สุดท้ายก็ถูกฆ่า ส่วนข้าที่รอดชีวิตก็กลายเป็นโศกนาฏกรรม เพียงแต่ตอนนั้นนิสัยข้าสดใสมองโลกในแง่ดี ไม่ได้สิ้นหวังในตัวเอง รู้สึกว่าการรอดชีวิตอยู่ในโลกอันวุ่นวายนี้ได้ก็ดีกว่าอะไรทั้งนั้น เพื่อที่จะมีชีวิตรอดต่อไป เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต ไม่ว่าจะยากลำบากขนาดไหนข้าก็ทนได้หมด ได้วิชาจากนักพรตผีมาวิชาหนึ่ง เนื่องจากฝึกสำเร็จแล้วใช้ปิดบังตัวตนได้ สุดท้ายก็ยอมใช้ร่างกายหยางฝึกเคล็ดวิชาของนักพรตผี เรียกได้ว่าโชคดีเอาชีวิตรอดมาได้ ตอนหลังพบว่าตัวเองยังไม่แข็งแกร่งพอ ไม่พอให้ปกป้องตัวเอง ก็เลยปิดบังตัวตนเที่ยวกราบอาจารย์ฝึกวิชาไปทั่ว เรียนวิชาปีศาจ สำนักถูกฝ่ายธรรมะกวาดล้าง โชคดีที่เคยฝึกวิชาของนักพรตผีมาก่อน จึงเปลี่ยนตัวตนได้ทันเวลา โชคดีรอดหายนะครั้งนั้นมาได้ พอฝึกวิชาเซียน สำนักก็โดนฝ่ายอธรรมกวาดล้างอีก แล้วข้าก็อาศัยเคล็ดวิชาหลบหายนะครั้งนั้นได้อีกครั้ง เรื่องซ้ำๆ แบบนี้ไม่ได้เกิดแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น
ตอนฝึกวิชาของฝ่ายธรรมะ เป็นเพราะข้าโดดเด่นจึงถูกพี่น้องร่วมสำนักกดขี่ทำร้าย แทบจะเอาชีวิตไม่รอด พอฝึกวิชาของฝ่ายอธรรม ก็เป็นเพราะพรสวรรค์โดดเด่น จึงโดนคนสำนักเดียวกันอิจฉาและทำร้าย บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับพื้นเพพ่อแม่ข้า ตัวอยู่ที่ฝ่ายธรรมะ แต่เป็นเพราะไม่ยอมสังหารฝ่ายอธรรม เลยโดนฝ่ายธรรมะขับไล่ออกจากสำนัก ตัวอยู่ฝ่ายอธรรม เนื่องจากไม่ยอมสังหารฝ่ายธรรมะ ก็ถูกฝ่ายอธรรมไล่ออกจากสำนักอีก ตอนหลัง เป็นเพราะสำนักหนานอู๋ชื่อเสียงโด่งดัง ข้านึกว่าชาวพุทธใจดี เลยคิดหาทางเข้าสำนักหนานอู๋ ข้าได้ใช้ชีวิตสงบสุขอยู่หลายปี เดิมทีคิดจะอยู่ที่นี่ไปทั้งชีวิต แต่ใครจะคิดว่าสำนักหนานอู๋ก็มีความสามารถอยู่บ้างมีอยู่ครั้งหนึ่งตอนทดสอบกลุ่มลูกศิษย์ ข้าโดนคนเปิดโปงกำพืด เลยถูกมองเป็นปีศาจมารร้ายทันที เผชิญหน้ากับยอดฝีมือมากมายของสำนักหนานอู๋ หนีไม่พ้น ทำได้เพียงคุกเข่าขอร้อง สาบานว่าไม่ได้มีเจตนาร้าย ยินดีชำระล้างจิตใจกราบพุทธศาสนา ทว่าสำนักหนานอู๋ก็ไม่ปล่อยไป ลงมือทำลายวรยุทธ์ที่ข้าฝึกมาอย่างยากลำบาก…สรุปก็คือฝ่ายธรรมะไม่ยอมรับข้าฝ่ายอธรรมก็ไม่ยอมรับข้า เรียกได้ว่าไปที่ไหนก็จนตรอก ใช้ชีวิตแบบเอาตัวรอดไปวันๆ ได้รับความอัปยศมาเต็มที่!”
…………………………