พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1992 เก็บงำความสามารถ
อิ๋งเยว่นึกไม่ถึงว่าพระปีศาจจะร่ายยาวบ่นเรื่องพวกนี้ให้นางฟัง นางฟังจนเพลิน นึกไม่ถึงว่ายุคนั้นจะวุ่นวายขนาดนั้น ตัวอยู่ในยุคนี้ ถ้าไม่ได้ฟังพระปีศาจพูดถึง นางก็ไม่มีทางจินตนาการออกจริงๆ
แต่สิ่งที่นางสงสัยก็คือหลังจากนั้น อดไม่ได้ที่จะถามว่า “อาจารย์ ท่านโดนสำนักหนานอู๋ทำลายวรยุทธ์ แล้วตอนหลังล่ะ?”
“ตอนหลังเหรอ?” พระปีศาจหนานโปแสยะยิ้ม “พวกเขาก็ไม่ได้ฆ่าข้าหรอก ที่จริงก็ต้องการฆ่าข้า แต่กลับมีคนหนึ่งเอ่ยปากขอร้องช่วยข้าไว้ ถึงได้โชคดีรอดชีวิตมาได้”
อิ๋งเยว่แปลกใจมาก ถามโดยไม่รู้ตัวว่า “ใครกัน?”
พระปีศาจเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวช้าๆ “ไป๋เหมย หนึ่งในสามเซียน เดิมทีไป๋เหมยเป็นศิษย์ถูกทิ้งสำนักหนานอู๋ ในปีแรกๆ ก็โดนสำนักบีบคั้นเพราะมีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนสูงเช่นกัน ด้วยความเดือดดาลจึงฆ่าเพื่อนร่วมสำนัก ตอนหลังอาจารย์ของเขายอมสละชีวิตปกป้อง อาจารย์เขาบอกว่าตัวเองสอนศิษย์ไม่ดี ใช้หนึ่งฝ่ามือตบศีรษะตัวเองจนตาย ใช้วิธีเอาชีวิตแลกชีวิตเพื่อปกป้องไป๋เหมยไว้ ไป๋เหมยถูกไล่ออกจากสำนักหนานอู๋ ตอนหลังไป๋เหมยมีโชคชะตาที่แตกต่าง มีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า กลายเป็นหนึ่งในสามเซียน หลังจากมีศักยภาพและชื่อเสียงนี้แล้ว สำนักหนานอู๋ก็ไปรังแกไม่ไหว ย่อมต้องปล่อยวางอดีต เปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหม ไม่เอ่ยถึงฐานะอู๋ศิษย์ถูกทิ้งสำนักหนานอู๋ของเขาอีก ส่วนกระดูกอาจารย์สำนักหนานอู๋ที่ใช้ชีวิตตัวเองปกป้องไป๋เหมยก็ฝังอยู่ที่สำนักหนานอู๋ ดังนั้นไป๋เหมยจึงไปกราบไหว้บ่อยๆ ถึงขนาดฝึกตนอยู่ที่สำนักหนานอู๋เป็นเวลานาน ส่วนสำนักหนานอู๋ก็ให้เกียรติฐานะของเขา จัดหาสถานที่ฝึกตนที่ลับตาคนให้เขา ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับข้า ไป๋เหมยก็อยู่ด้วยพอดี ไป๋เหมยบอกว่า ต้องใจกว้างให้อภัยคน’ อาศัยฐานะของไป๋เหมย สำนักหนานอู๋ก็ไม่สะดวกจะไม่ไว้หน้า พวกเขาถึงได้แค่ทำลายวรยุทธ์ ไม่ได้เอาชีวิตข้า”
อิ๋งเยว่ลองถามหยั่งเชิงอีก “แล้วตอนหลังล่ะ?”
พระปีศาจเล่าว่า “เรื่องนี้สะเทือนไปถึงเจ้าสำนักหนานอู๋เทียนอีแล้ว เทียนอีบอกว่าทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต หันกลับมาก็คือฝั่ง ตอนนั้นข้าตำหนิไปต่อหน้า ว่าข้าใฝ่หาพุทธะด้วยความจริงใจ เดิมทีคิดจะกลับตัว นึกว่าหันกลับไปแล้วจะเจอฝั่ง แต่ชาวพุทธกลับปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ ไหนล่ะฝั่ง? ตอนนั้นข้าถูกทำลายวรยุทธ์ ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ โมโหแค้นเคืองเกินไป จึงประกาศต่อหน้าทุกคนของสำนักหนานอู๋ ว่าวันหนึ่งจะสังหารสำนักหนานอู๋ให้สิ้นซาก ดังนั้นสำนักหนานอู๋จึงใช้ข้ออ้างสวยหรูว่าจะโปรดข้า จะกักบริเวณข้าไว้ที่สำนักหนานอู๋ แต่ตอนหลังไป๋เหมยก็พูดอีก บอกว่าในเมื่อเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้แล้ว ก็จะถือโอกาสเป็นธุระพาข้าไปกักบริเวณที่จักรวาลน้อยซึ่งเป็นที่พักของเขาที่สำนักหนานอู๋ หลังจากข้ามาที่จักรวาลน้อยได้แล้ว ไป๋เหมยเห็นวรยุทธ์ข้าถูกทำลายแล้วรู้สึกเสียดาย จึงขออภัยข้า บอกว่านี่คือเรื่องภายในของสำนักหนานอู๋ เขาไม่สะดวกจะแทรกแซงมาก เดิมทีไป๋เหมยกลัวสำนักหนานอู๋จะกลั่นแกล้งข้า ถึงได้พาข้ามาที่จักรวาลน้อย สำนักหนานอู๋เองก็ส่งคนมาที่จักรวาลน้อยทุกวันเพื่อใช้พุทธธรรม ‘มนต์ขับขานสวรรค์’ โปรดข้า ทว่าข้ามีความคิดดื้อรั้นเกินไป พุทธธรรมโปรดข้าได้ยากมาก แทนที่จะโปรดข้าได้ผล กลับถูกข้าค้นพบความลี้ลับที่อยู่ในนั้นเสียแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ไร้พลังอิทธิฤทธิ์ ไม่น่าเชื่อว่าข้าจะฝึกได้ ข้าได้ชื่อ ‘มนต์คร่าชีวิต’ มาจาก ‘มนต์ขับขานสวรรค์’ ข้าตระหนักได้ถึงความหมายอันลึกซึ่งของพุทธธรรมเช่นกัน จึงบุกเบิกวิธีการฝึกตนแบบใหม่ ช่วงที่ถูกกักบริเวณจึงใช้พุทธธรรมฟื้นฟูต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ที่ถูกทำลายไป แอบฝึกวิชาเพื่อรอโอกาสหนีไป แล้ววันหนึ่งข้าก็ได้โอกาส ไป๋เหมยไม่อยู่ บังเอิญว่าสำนักหนานอู๋มีเรื่องพอดี ไม่มีใครมาใช้พุทธธรรมโปรดข้า ข้าเลยฉวยโอกาสใช้ ‘มนต์คร่าชีวิต’ หนีออกมา หนีรอดจากสำนักหนานอู๋แล้ว”
อิ๋งเยว่แอบตกตะลึง พบว่าอาจารย์จอมเอาเปรียบท่านนี้มีประวัติความเป็นมาที่รันทดจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่ายามอยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น ก็ยังสามารถสร้างเคล็ดวิชาฝึกตนเองและได้รับชีวิตใหม่ได้ พรสวรรค์ด้านการฝึกตนนี้ จะเรียกว่าไม่สูงก็ไม่ได้ ขณะที่ตกตะลึงนางก็ลองถามอีกว่า “ดังนั้น ตอนหลังท่านอาจารย์ก็เลยกำจัดสำนักหนานอู๋แล้วจริงๆ?”
นางเคยได้ยินเรื่องที่หนานโปก่อกรรมทำเข็ญมาก่อน
พระปีศาจเองก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “หลังจากหนีออกจากสำนักหนานอู๋ เมื่อมีประสบการณ์ในการตระหนักรู้ด้วยตัวเองที่สำนักหนานอู๋แล้ว ข้าก็เรียนรู้จากประสบการณ์ขื่นขม กราบอาจารย์เพื่อเรียนวิชาไปทั่วทุกที่มาหลายปีขนาดนั้น ถ้าคิดจะขอร้องคนอื่น ก็ไม่สู้หวังพึ่งตัวเองดีกว่า บรรลุหลักธรรมเดียวก็บรรลุหมื่นหลักธรรม หากสัมผัสบางด้านได้แล้ว ที่เหลือก็ย่อมเชื่อมโยงถึงกัน กอปรกับหลายปีมานี้ข้าคลุกคลีกับเคล็ดวิชาของหกลัทธิมาไม่น้อย มีประสบการณ์ตระหนักรู้ด้วยตัวเองแล้ว ก็เลยตั้งใจคิดค้นเคล็ดวิชาฝึกตนขึ้นมาเองเสียเลย เมื่อมี ‘มนต์คร่าชีวิต’ คอยช่วย การจะหาทรัพยากรฝึกตนก็ไม่ยาก ตอนหลังวรยุทธ์พุ่งแบบก้าวกระโดด ตั้งแต่นั้นมา คนในโลกก็เรียกข้าว่าพระปีศาจ ทั้งฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมล้วนไม่ยอมรับข้า ข้าก็เลยสังหารทั้งฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรม ฝ่ายธรรมะและอธรรมจึงรวมกลุ่มกันโจมตี ข้าก็เลยใช้หมัดแลกหมัด ใช้เลือดแลกเลือก ถ้าไม่ยอมแพ้ข้า ข้าก็จะสู้จนกว่าพวกเขาจะยอมแพ้! กวาดล้างพวกโจรกระจอก กำจัดวีรบุรุษในใต้หล้าให้หมด กินตับมังกร ลิ้มรสน้ำดีหงส์ สังหารสามเซียน หกสำนัก สามสิบสองประมุขดาว ล้างแค้นอย่างสะใจ!”
ขณะที่อิ๋งเยว่ฟังจนเพลิน ก็อดไม่ได้ที่จะถามเสียงอ่อนปวกเปียก “ไป๋เหมยนับว่ามีบุญคุณที่ช่วยชีวิตท่านอาจารย์ อาจารย์ก็ฆ่าเขาด้วยเหรอ?”
พอพูดถึงไป๋เหมย พระปีศาจหนานโปก็เงียบไปอีก แล้วน้ำเสียงก็อ่อนลง “เดิมทีข้าก็ไม่อยากฆ่าเขาหรอก แต่เขาไม่ควรจะคิดว่าข้าเป็นภัยต่อใต้หล้าเหมือนกับคนอื่นๆ ไม่น่าเชื่อว่าคิดจะกำจัดข้า ตอนนั้นเขามีลูกชายคนหนึ่ง หลังจากเขาแพ้ด้วยน้ำมือข้าแล้ว ข้าบอกว่าเห็นบุญคุณในปีนั้น ให้เลือกว่าคนไหนจะอยู่? เขาบอกว่าเขาแพ้แล้ว กรรมที่ตัวเองก่อ ตัวเองจะรับเอง ไม่ควรให้เด็กน้อยมารับกรรมแทนเขา ให้ปล่อยลูกเขาไป ข้าก็เลยปล่อยลูกชายเขาไป แล้วฆ่าเขา!”
“ลูกชายของไป๋เหมยก็คือประมุขไป๋ใช่มั้ย?” อิ๋งเยว่ถามเสียงอ่อน
พระปีศาจหนานโปส่ายหน้า “ลูกชายก็คือลูกชาย ลูกศิษย์ก็คือลูกศิษย์ เป็นคนละคนกับที่เจ้าเรียกว่าประมุขไป๋ ข้าไม่ได้ปล่อยลูกศิษย์เขาไป เขาหนีไปเอง”
อิ๋งเยว่กะพริบตาปริบๆ “ลูกชายของไป๋เหมยคงไม่ธรรมดาแน่นอน ทำไมตอนหลังถึงได้ยินแค่ชื่อประมุขไป๋ ไม่เคยได้ยินชื่อลูกชายเขา?”
พระปีศาจหนานโปกล่าวอย่างไม่แน่ใจ “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ชัด ตอนหลังลูกชายเขาไปไหนแล้วข้าก็ไม่รู้ ในเมื่อข้ารับปากแล้วว่าจะปล่อยลูกชายเขาไป ข้าก็จะไม่เพ่งเล็งอีก ถ้าอยากจะล้างแค้นให้พ่อ ก็เข้ามาได้เลย ตอนหลังข้าก็ไม่มีโอกาสได้จับตาดูลูกชายเขาอีก ถึงแม้ตอนนั้นข้าจะสังหารไป๋เหมยไปแล้ว แต่ไป๋เหมยกลับมีศักยภาพไม่ธรรมดา สมกับเป็นคนหยิ่งผยองแห่งยุค มีความสามารถในการแย่งชิงหยินหยางฟ้าดิน โจมตีข้าจนสาหัส การต่อสู้ครั้งนั้นถึงอกถึงใจที่สุดตั้งแต่ข้าเป็นใหญ่ในใต้หล้า เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า จะเรียกเขาว่าเป็นยอดฝีมืออันหนึ่งแห่งใต้หล้าก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป ส่วนอีกสองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามเซียนเหมือนกันก็มีดีแค่ชื่อเท่านั้น ต่อให้เข้ามาพร้อมกันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ตาแก่ไป๋เหมยนับว่าเป็นคนใจกว้าง!”
อิ๋งเยว่กะพริบตา คุยมาเยอะขนาดนี้ นางพบว่าอาจารย์จอมเอาเปรียบท่านนี้เหมือนจะไม่ได้คุยยากเหมือนที่ร่ำลือกัน นางถามด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียกต่อไป “ว่ากันว่าหลังจากอาจารย์สู้กับไป๋เหมยแล้ว ก็ถูกหกปราชญ์ฉวยโอกาสลงมือ?”
พระปีศาจหนานโปไม่ได้ปฏิเสธ แค่แสยะยิ้มแล้วบอกว่า “เจ้าโง่หกคนนั่น ตกหลุมพรางโจรทรามเซี่ยโห้วแต่ไม่รู้ตัว บังอาจใช้ ‘ค่ายกลเมี่ยฝ่า’ มาคุมขังข้าไว้ ตอนนั้นข้าก็บอกพวกเขาหกคนไว้แล้ว ว่าช้าเร็วก็ต้องตายด้วยน้ำมือโจรทรามเซี่ยโห้ว ผลก็เป็นอย่างที่คาดไว้ โจรทรามเซี่ยโห้วสนับสนุนให้ศิษย์ของสามเซียนมากำจัดข้า จะว่าไปแล้ว ใช่ว่าข้าจะไม่ตกหลุมพรางโจรทราม ในปีนั้นตอนฝ่ายธรรมะและอธรรมรวมกลุ่มกันโจมตีข้า ข้าก็พบความไม่ชอบมาพากลแล้ว สังเกตได้ว่าข้างกายมีคนเที่ยวสร้างศัตรูแทนข้าไปทั่ว พอสืบแล้วก็เจอตระกูลเซี่ยโห้ว คนอื่นไม่มีความกล้านั้น ข้าก็ย่อมเดือดดาลเพราะเซี่ยโห้วฉางอันมีใจคิดเป็นอื่น ก็เลยฆ่าเซี่ยโห้วฉางอันซะ ตอนหลังที่โดนขังแล้วข้าถึงได้สติ ไม่หน้าเชื่อว่าเจ้าเด็กที่ดูไม่โดดเด่นนั่นของตระกูลเซี่ยโห้วจะคอยวางแผนอยู่เบื้องหลัง เป็นเรื่องของเวลาและโอกาสจริงๆ ข้าประมาทไปชั่วขณะ เลยโดนเขาปิดบังตาไว้ เดิมทีสามารถสืบให้ชัดเจนได้ แต่กลับไม่ได้สืบต่อไป ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะมาเรือล่มในคลองแคบ ตอนหลังข้ากับลูกศิษย์รวมเจ็ดคนก็ซวยด้วยน้ำมือโจรทรามนั่น น่าแค้น!”
อิ๋งเยว่ไม่ถามแล้ว แต่ปากยังขยับพึมพำ คิดในใจว่าการที่ศิษย์หกคนนั้นร่วมมือกันสู้กับเจ้าได้ เกรงว่าเจ้าก็คงมีจุดที่ควรพิจารณาตัวเอง
ใครจะคิดว่าพระปีศาจหนานโปเรากลับมีตาอยู่ข้างหลัง เหมือนเห็นปฏิกิริยาของนาง ถามว่า “เจ้ากำลังคิดว่า ลูกศิษย์หกคนนั้นไม่มีใครเข้าข้างข้าสักคน ต้องเป็นเพราะข้าที่ทำเกินไปแน่นอน ใช่ไหมล่ะ?”
อิ๋งเยว่รีบส่ายหน้า “เปล่าค่ะ”
พระปีศาจหนานโปบอกว่า “หลังจากที่ข้าถูกขัง ก็เคยถามพวกเขาหกคนเหมือนกัน ว่าทำไมถึงถูกโจรทรามเซี่ยโห้วมอมเมาง่ายขนาดนี้ เจ้าเดาซิว่าพวกเขาพูดว่ายังไง?”
อิ๋งเยว่ก็อยากรู้เช่นกันว่าศิษย์พี่หกคนนั้นคิดอย่างไร จึงตอบว่า “อาจารย์โปรดเปิดเผย”
พระปีศาจหนานโปถอนหายใจ “สิ่งที่พวกเขาบอกก็ไม่แตกต่างกับตำนานที่เจ้าเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้สักเท่าไหร่ คิดว่าข้าามองคนเหมือนต้นหญ้า คิดว่าตัวเองเป็นเทพ พวกเขาตกอยู่ในความหวาดกลัวมาตลอด กลัวข้าไง นี่แหละคือเหตุผล! ตอนนั้นพวกเขาก็ไม่คิดดูเสียบ้างว่าสภาพสังคมวุ่นวายขนาดไหน ข้าทนรับความขื่นขม สังคมวุ่นวายก็ต้องใช้การลงโทษที่รุนแรง ถ้าไม่ใช่เพราะฆ่าสังหารคนพวกนั้น ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายธรรมะและอธรรมจะสงบลงเร็วขนาดนี้หรือ? ตอนหลังพวกเขาจะสร้างระบบของหกลัทธิได้เร็วขนาดนั้นหรือ? ถ้าไม่มีค่าวางรากฐานให้ ตอนนี้ประมุขชิงกับประมุขพุทธะอะไรนั่นจะอาศัยอะไรมาสร้างระบบนี้ขึ้น? อย่าบอกนะว่าพวกเขาเก่งกว่าขู่หมิงกับชิงเทียน? ถ้าไม่มีข้าวางรากฐานให้ เจ้าหนิวโหย่วเต๋ออะไรนั่นจะอาศัยวรยุทธ์ระดับบงกชรุ้งมาเป็นเจ้าอาณาเขตได้เหรอ? ที่ข้าทำลายความขัดแย้งระหว่างฝ่ายธรรมะและอธรรมก็เพื่อให้ใต้หล้าสงบ ข้อใดความเป็นอมตะแล้ว ใต้หล้าไร้ศัตรู ที่บอกว่าเป็นใหญ่ในใต้หล้าไม่มีความหมายอะไรสำหรับข้าเลย ในตอนนั้นสายตาข้าเหนือกว่าดาราจักรผืนนี้แล้ว นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมข้าถึงรับพวกเขาหกคนเป็นศิษย์ วิเคราะห์วิชาของหกลัทธิมาถ่ายทอดให้พวกเขา เพราะต้องการให้พวกเขาควบคุมหกลัทธิ สร้างระบบนี้ขึ้นมาทีละขั้น!”
ในใจอิ๋งเยว่ค่อนข้างไม่สนใจ ไม่รู้ว่าเขากำลังพูดให้ตัวเองดูดีหรือเปล่า จะได้ทำให้นางทำงานรับใช้อาจารย์คนนี้อย่างจริงใจ
พระปีศาจหนานโปหันตัวมา “เจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ ข้าพูดไกลไปหน่อย ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้เอ่ยถึงศิษย์หกคนนั้น ก็เพราะอยากจะบอกเจ้าว่า ข้าเคยขาดทุนไปครั้งหนึ่งแล้ว ต้องเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้บ้าง วิชา ‘ไร้ลักษณ์’ ที่ถ่ายทอดให้เจ้าไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์ ข้าถ่ายทอดให้เจ้าแค่ครึ่งเดียว”
“ศิษย์เข้าใจ” อิ๋งเยว่ตอบอย่างเคารพ แสดงออกว่าไม่ได้รู้สึกน้อยใจอะไร เพียงแต่พูดดักไว้ก่อน นางมองสีหน้าหนานโปอย่างระมัดระวัง แล้วกล่าวเสียงอ่อนว่า “อาจารย์ ที่จริงตอนข้าอยู่ตระกูลอิ๋งข้าเรียกร้องอะไรไม่ค่อยได้ ลูกน้องเก่าของตระกูลอิ๋งไม่ฟังคำสั่งข้าหรอก”
พระปีศาจหนานโปบอกว่า “เจ้าโง่ถึงขนาดหนีออกมาแก้แค้นคนเดียว ข้าไม่หวังว่าเจ้าจะเรียกร้องอะไรได้หรอก แค่จะให้เจ้าเป็นธงผืนหนึ่งก็เท่านั้นเอง จะได้รวบรวมคนของตระกูลอิ๋งขึ้นมาใหม่ได้สะดวก พวกเขาไม่มีความหวังแล้ว ถ้าเจ้าตั้งธงของตระกูลอิ๋งขึ้นมาใหม่ สายตาของพวกเขาย่อมอดไม่ได้ที่จะมองมา”
“ต่อให้ข้ารวบรวมขึ้นมาได้ใหม่ แต่พวกเขาก็อาจไม่เชื่อฟังข้าก็ได้” อิ๋งเยว่ยิ้มเจื่อน ตอนนี้รู้จักเจียมตัวแล้ว
“ที่พวกเขาไม่เชื่อฟังเจ้า ก็เพราะเจ้าให้ความหวังกับพวกเขาไม่ได้ แต่มีข้ายืนอยู่ข้างหลังเจ้า นั่นก็ไม่เหมือนกันแล้ว” พระปีศาจหนานโปกล่าว
อิ๋งเยว่ถามหยั่งเชิง “บอกพวกเขา ว่าท่านคืออาจารย์ข้า ให้พวกเขามา?”
“ถ้าเจ้าพูดอย่างนั้นจริงๆ เกรงว่าพวกเขาคงกลัวจนหลบแทบไม่ทัน กลัวว่าหายนะจะมาถึงตัว มีแต่จะหนีไปไกลกว่าเดิม” พระปีศาจหนานโปตอบนาง
……………